หลายครั้งเลยค่ะที่แม่เข้าไปในห้องสัมภาษณ์แล้วเกิดบรรยากาศ " Dead Air " จนได้ยินเสียงกดชักโครกจากห้องน้ำตึกข้าง ๆ อย่างชัดเจน  มันหมายความว่าเราไม่รู้จะคุยอะไรต่อ หรือผู้สมัครคนนั้นอาจจะไม่ใช่สิ่งที่แม่คิดไว้ตั้งแต่แรก

ผู้สัมภาษณ์ หรือ HR เก่ง ๆ  นอกจากจะมีคำถามโรคจิต สถานการณ์ประหลาดเตรียมไว้ให้กับลูกแล้ว พวกนางยังสามารถ" สแกนกรรม "ลูก ๆ ได้อย่างแม่นยำอีกด้วยดังนั้นก่อนจะเข้าสู่พิธีสัมภาษณ์งาน ลูก ๆ ควรเสาะหากรรมดี ด้วยวิธีที่คุณแม่จะแนะนำดังต่อไปนี้เอาไว้ให้พวกนางได้สแกนเจอด้วยค่ะ  เพื่อทางเดินที่เต็มไปด้วยหนุ่มออฟฟิสหล่อ ๆ และบัตรเครดิต บัตรกดเงินสดทุกสิ้นเดือนค่ะ

1. รู้จักบริษัทที่เรียกเราไปสัมภาษณ์

รูปภาพ:http://cdn4.gurl.com/wp-content/uploads/2012/05/girl-detective.jpg

google

นี่แหละค่ะ ปังสุด!  ...ล้วงลับ ล้วงตับ ล้วงไต สาวไส้ ควักพุงมาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้เลยค่ะ  ทางที่ดีรู้กันให้หมดไปเลยตั้งแต่ผู้บริหาร ขนาดองค์กร วัฒนธรรมองค์กร ผลิตภัณฑ์หลัก ไปจนถึงภาระหน้าที่รับผิดชอบในตำแหน่งงานของเรา  ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะแปะหราในประกาศรับสมัครงานนั่นแหละค่ะดังนั้นวิธีการหนึ่งคือกลับไปอ่านประกาศรับสมัครงานของบริษัทนั้นอีกครั้งเพื่อความไม่โป๊ะนั่นเอง

แต่หากลูกได้ค้นข้อมูลมาแล้ว มันไม่ได้เยอะขนาดนั้นก็ไม่เป็นไรค่ะ แปลว่าบริษัทไม่ค่อยออกสื่อ ตรงนี้เราสามารถพลิกวิกฤตเป็นโอกาสในการซักถามเพิ่มภาพลักษณ์ให้เราได้ด้วยค่ะ

สำหรับลูก ๆ ที่ไม่ทำการบ้านมาก่อน แม่บอกได้เลยค่ะว่าถ้าหนูไม่ปังจริงระดับที่ทุกคนต่างรุมแย่งตัว ทึ้งหัวหนูเหมือนสินค้าเซลล์ 80% หนูตกรอบแน่ ๆ ค่ะ

การไม่ได้หาข้อมูลมาก่อน HR หัวโปกจะมองว่าลูกไม่สนใจบริษัทแต่ HR สายเจนจัดจะมองว่าลูกไม่วางแผน ซึ่งหมายถึงคนที่ทำงานไม่เป็นระบบ มีความคิดไม่เป็นระเบียบ หรือมีแนวโน้มว่าจะสติเฟื่องประมาณนั้นค่ะ

2. เตรียมของ

รูปภาพ:https://s-media-cache-ak0.pinimg.com/736x/23/ed/21/23ed214c5f952a451472ee8955fffaf6.jpg

2.1  ปากกาหัวเล็กขนาดประมาณ 0.5 mm. และปากกาลบคำผิด

เพราะสิ่งที่ลูกต้องเจอคือเอกสารสมัครงานที่ยาวมากค่ะ และบางที่ทำออกมาได้เล็กมาก สำหรับคนที่มีลายมือและปากกาขนาดมินิมอลเท่านั้น ซึ่งบริษัทส่วนใหญ่ก็จะเตรียมปากกาหัวบานอันบักเขื่องเอาไว้เรา เหมือนตั้งใจจะทดสอบอาการแอลกอฮอลลิซึม...และนอกจากพื้นที่เขียนอันคับแคบบนใบสมัครงานแล้วนางยังทำออกมาได้งงจนต้องเขียนผิดเขียนถูกเข้าสักที่ด้วยค่ะดังนั้นเตรียมปากกาลบคำผิดไปด้วยก็จะดีงามมากค่ะ

2.2  เอกสารที่ทางบริษัทต้องการ

กลับไปอ่านประกาศรับสมัครงาน หรือโทรไปสอบถามทางบริษัทเลยค่ะ ว่าต้องนำเอกสารอะไรไปบ้างแล้วจัดแจงถ่ายเอกสารเอาไว้ให้เรียบร้อย เพราะหลาย ๆ ที่จะขอเอกสารเหล่านั้นไว้ค่ะ โดยเฉพาะสำเนาบัตรประชาชนเขียนกำกับไปด้วยนะคะว่าสำหรับสมัครงานที่บริษัทนี้เท่านั้น  เพราะมิเช่นนั้นบัตรใบแจ้งหนี้บัตรเครติดอาจจะตามไปถึงบ้านลูก ๆ ได้ค่ะ( กันไว้ดีกว่าแก้ค่ะ )

รูปภาพ:http://www.barnorama.com/wp-content/images/2011/04/B481/03.jpg

2.3 ปริ้น Resume / CV  เตรียม Portfolio ที่ดูได้สะดวก


ในบางบริษัท ถ้าลูกไม่ปริ้น Resume หรือ CV ออกมาให้ เขาจะปริ้นเอง ไม่ก็เอาโน้ตบุ๊คมาวางหน้าลูก การสื่อสารของลูกก็จะถูกขวางกันโดยโน้ตบุ๊คค่ะ ดังนั้นลูกจงพังกำแพงกรรมนั้นโดยการปริ้นมาให้พวกนางจะดีกว่า

Portfolio สำคัญมากค่ะสำหรับสายงานที่ต้องการ Portfolio ไม่ควรโหลดใส่มือถือเด็ดขาด ถ้ามีใครโทรเข้าลูกจะเงิบหากอยากให้ดูเป็นไฟล์ดิจิตอลควรให้ผู้สัมภาษณ์ดูผ่าน ipad, Tablet หรือ คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คเท่านั้นค่ะ หรือไม่ก็ปริ้นออกมาใส่แฟ้มให้เป็นระเบียบสำหรับ Portfolio ให้เรียงลำดับงานจากเก่าไปใหม่นะคะ แยกประเภทได้ แต่ต้องเรียงจากเก่าไปใหม่พร้อมวันที่ด้วยค่ะเพื่อให้ผู้สัมภาษณ์เป็นพัฒนาการของลูก

3. ตรงเวลา

รูปภาพ:http://image.naldzgraphics.net/2012/02/6-setting-time.jpg

4. แต่งกายให้งามตามสูตร

หลายครั้งที่หลาย ๆ บทความย้ำเตือนให้ลูก ๆ พุ่งตรงไปให้ถึงที่ก่อนเวลา 30 นาที  จริง ๆ แล้วมันสำคัญมากค่ะ เพราะลูกต้องใช้เวลานั้นในการกรอกประวัติส่วนตัว และใบสมัคร ประมาณ 5 หน้า! ( ในบางบริษัท )

ลูกต้องเข้าใจว่าเจ้าหน้าที่จะกำหนดตารางมาอย่างชัดเจน และอาจจะมีคิวอื่น ๆ รออยู่ในบริษัทที่ดีผู้สัมภาษณ์จะเป็นคนที่ทำงานร่วมกันกับลูก เป็นหัวหน้างาน พวกนางต้องสละเวลาต่อกรกับลูกค้าที่รัก ต่อรองกับบอสที่เคารพ และอีกหลายสิ่งจิปาถะ เพื่อสัมภาษณ์อนาคตแนวร่วมอย่างลูกดังนั้นอย่าให้พวกนางต้องแบกภาระเพิ่มเพราะความไม่ตรงต่อเวลาเลยค่ะ

แม่อยากให้ลูก ๆ ตั้งเวลาเผื่อในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉินไว้ด้วยยกตัวอย่าง  แม่จะไปก่อนเวลานัดหมาย 1 ชม. 30 นาที  หากไม่เกิดเหตุอะไรที่ทำให้สายไปกว่านั้น แม่จะนั่งจิบกาแฟ ชมหนุ่ม ๆ ออฟฟิสในอาคาร 1 ชม.  และเข้าไปที่สัมภาษณ์ก่อนเวลานัด 30 นาที

รื่องเวลาแม่เห็นตกรอบซ้ำซ้อนมาหลายนางแล้ว เรื่องนี้สำคัญมากนะคะ

รูปภาพ:https://s-media-cache-ak0.pinimg.com/736x/86/6e/19/866e19a163c61281e65abc8f1b3a2133.jpg

อันนี้เป็นหัวข้อที่อยากข้ามมากค่ะปกติแม่ไม่ค่อยเห็นใครแต่งกายป่วย ๆ มาสัมภาษณ์งานหรอกค่ะ  ยกเว้นว่านางคนนั้นจะไม่ปกติ  มีของ เล่นของ จนของเข้าตัวการแต่งกายขอแค่เป็นตัวเองในแบบฉบับที่สุภาพก็พอแล้วค่ะ

อย่าได้ครหาว่าผู้สัมภาษณ์ดูคนแค่เปลือกเลยค่ะ  เพราะเราก็เริ่มดูกันตั้งแต่ภายนอกกันจริง ๆHR บางนางสามารถดูการแต่งกายประกอบการสนธนา แล้ววิเคราะห์สภาพจิตของลูก ๆ ออกมาเป็นMind mappingได้ด้วย

5. เจรจาพาที ดูสมประดี ไม่มีสิ่งใดขัด

รูปภาพ:http://pa1.narvii.com/5804/64ee7220b57b2d91cba98d3dd27b44513573b0ee_hq.gif

หลายคัมภีร์จะบอกลูกว่า ไม่เท้าโต๊ะ ไม่กอดอก ไม่สั่นขา บลา บลา บลา... จริง ๆ แล้วมันก็คือการไม่ทำพฤติกรรมแปลก ๆ ที่คนมีมารยาทไม่ทำกันนั่นแหล่ะค่ะจริง ๆ แล้ว HR หัวใหม่ไม่ค่อยจุกจิกกับเรื่องพวกนี้หรอก

HR เก่ง ๆ สามารถอ่านกิริยาเราได้นะคะ ว่าตอนที่เราพูด เรามีกิริยาอย่างนี้หมายถึงอะไร เช่นการกอดอกขณะพูด มันคือการป้องกันตัวเอง แปลว่าผู้สัมภาษณ์มีความกังวล ไม่ปลอดภัย อยากปิดบังอะไรบางอย่างอยู่การไม่สบตาโดยหรือพูดโดยมองไปทางอื่นในลักษณะที่ไม่ใช่กำลังครุ่นคิด คือความไม่มั่นใจเป็นต้น   ซึ่งในจุดนี้เพียงแค่เราเป็นธรรมชาติที่สุด ทำตัวให้ผ่อนคลายก็โอเคแล้วค่ะ

สำหรับใครที่รู้สึกตื่นเต้น ให้บอกผู้ที่สัมภาษณ์ไปเลยค่ะว่าเราตื่นเต้น เราจะคลายความกังวลได้ในระดับหนึ่ง

การให้สัมภาษณ์ควรเป็นตัวตนของเราค่ะ ตอบคำถามอย่างตรงไปตรงมา ตามความคิดของเราจริง ๆ ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้งาน เพราะถ้าบริษัทรับเราเข้ามาด้วยความเข้าใจผิดในตัวตนของเรา เราจะมีปัญหาในการทำงานในภายหลังค่ะการสัมภาษณ์ไม่ใช่การตอบคำถามเวทีนางงาม ไม่ต้องสร้างภาพลักษณ์อะไรขนาดนั้นค่ะ

รูปภาพ:http://i.imgur.com/WUfmz0M.gif

อาการประหม่า ไม่มั่นใจ เป็นสิ่งที่ทำให้ผู้สัมภาษณ์ หรือ HR ไม่เลือกลูกเข้าทำงานได้ง่ายที่สุดค่ะแม้ว่าบ้านเราจะสอนให้อ่อนน้อมถ่อมตน แต่มันไม่ใช่กับเวลานี้ค่ะ   อย่างไรก็ดีลูกไม่ควรแก้ปัญหาความไม่มั่นใจในการตอบคำถามด้วยการสวมหน้ากากแสร้งทำเป็นมั่นหน้านะคะ  การแก้ปัญหาที่ดีที่สุดคือการรู้จริงในเรื่องนั้นค่ะลูก

6. ผู้สัมภาษณ์ต้องการอะไรจากเราบ้าง?

รูปภาพ:https://usatcollege.files.wordpress.com/2016/01/tina.gif

6.1 ลูกมีความสามารถ เหมาะกับงานในสายงานนั้น ๆ หรือไม่

6.2 ลูกสามารถเรียนรู้ได้เร็วแค่ไหน

6.3 ลูกมีตรรกะความคิดเป็นเยี่ยงไร เรียงลำดับ ให้ความสำคัญ ตรงประเด็นแค่ไหน

6.4 ลูกมีบุคลิกอย่างไร เข้ากับคนง่าย เซ้นซิทีฟ มองโลกอย่างไร

6.5 ลูกมีกระบวนการแก้ปัญหาอย่างไร

6.6 ลูกมีความเข้ากับสภาพแวดล้อมและการทำงานของบริษัทหรือไม่

6.7 ลูกสติดีหรือไม่

นี่เป็นเรื่องหลัก ๆ ของสิ่งที่ HR ต้องการจากการสนธนาค่ะ หากลูก ๆ มีคุณสมบัติที่ดี มีความคิดปกติ มีความเข้ากันได้กับสภาพที่ทำงานนั้น ๆ แล้ว ลูกก็จะผ่านมันไปได้โดยง่ายค่ะ

เคยได้ยินเรื่องที่มีการสัมภาษณ์แบบดูถูกเหยียดหยามในบางที่ไหมคะ มันไม่ได้หมายความว่าเขาเกลียดลูกหรอกนะคะ แต่ในสายงานนั้นอาจจะต้องเป็นเบี้ยรองบาทาจากลูกค้าจริง ๆ จึงต้องทดสอบความอดทนกันหน่อย

7. เตรียมตัวกับคำถามยอดฮิต

รูปภาพ:http://www.reactiongifs.com/r/bsp.gif

" เวลาว่าง ทำอะไร ? "เขาอยากรู้ว่าลูกมีความสนใจในสิ่งใดอยู่ค่ะ ไม่จำเป็นต้องแสร้งทำเป็นว่าอ่านหนังสือทั้ง ๆ ที่หนึ่งปีอ่านไม่เกิน 3 บรรทัดก็ได้ค่ะ ตอบตามความจริง เพราะบางงานการปาร์ตี้หรือตามดาราสำคัญกว่าการอ่านหนังสือค่ะ

" บอกข้อดีข้อเสียของตัวเอง "เป็นคำถามที่ฮิตมากค่ะ จริง ๆ แล้วไฮไลท์อยู่ที่ข้อเสียมากกว่า เขาอยากรู้ว่าลูกมีข้อเสียอะไร และจะแก้มันอย่างไร แต่ลูกสามารถบอกเขาแบบเชิด ๆ ได้ว่า " หนูก็เป็นของหนูแบบนี้ ใครรับไม่ได้ก็ช่างมัน " หากลูกยังมีความต้องการที่จะเดินวิจัยฝุ่นต่อไป

" ทำไมเราถึงต้องรับคุณเข้าทำงาน "เป็นคำถามที่ทำให้คนตอบติดสตั้น 10 วิได้ง่าย ๆ เลยค่ะ แต่ใจความของมันคือ สิ่งที่ลูกทำได้ดีที่สุด และเป็นสิ่งที่มีอยู่ในตัวลูกคนเดียวเท่านั้น เช่น " หนูต่อรองเก่งมากค่ะ หนูสามารถได้อะไรก็ตามที่หนูต้องการมาได้โดยการต่อรอง "  แต่ถ้าเป็นสายแสบหน่อย " จริง ๆ คุณสมบัติต่าง ๆ ของหนูพี่ก็พิจารณาไปแล้ว ก็คงเห็นว่าหนูเหมาะกับงานนี้ในระดับหนึ่งใช่ไหมคะ  แต่ข้อดีของหนูนอกจากที่เขียนไปในนั้นก็มี....."  ตอบแบบนี้จะแสดงถึงความฉลาดของลูกด้วยค่ะ แต่ก็ดูนิดนึงนะคะว่า HR เป็นคนอย่างไร อาจจะโดนหมั่นไส้ได้" สิ่งที่ทำให้รู้สึกภูมิใจที่สุดในชีวิต "อันนี้ไว้ดูมุมมองของลูกค่ะ ลูกลำดับความสำคัญของอะไรบ้าง อะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตลูก

สุดท้ายก่อนจากกัน

แม่อยากให้ลูกคิดว่า การสัมภาษณ์งานคือการนัดบอดนะคะ เป็นการไปคุยเพื่อทำความรู้จักกัน ลูกจะขายออกหรือไม่ออกก็ขึ้นอยู่ว่าลูกสร้างความน่าประทับใจได้มากแค่ไหน  แต่นั่นหมายถึงลูกต้องเตรียมตัวมาอย่างดี

แต่ที่แม่อยากจะเตือนคือ อย่าสร้างตัวละครหรือบุคลิกใหม่ที่ไม่ใช่เราเพื่อเข้าสัมภาษณ์งาน เพราะเมื่อเราต้องเข้าไปใช้ชีวิต ที่เปรียบกับชีวิตคู่ หรือเข้ามาทำงานจริง ๆ แล้ว คนที่เหมาะกับที่นั่นจะกลายเป็นตัวละครสมมุติที่เราสร้างขึ้นมา ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของเรา

ขอให้ลูก ๆ ทุกคนสมหวังกับการสัมภาษณ์งาน มีเงินใช้ทุกสิ้นเดือน และได้แทะโลมหนุ่ม ๆ ออฟฟิสกันนะคะ

ด้วยรักและอยากสิง

แอนนา  เบลล์


บทความที่เกี่ยวข้อง