การ

ออกกำลังกาย

เป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้าออกแล้วผิดวิธีก็อาจจะทำให้ไร้ประโยชน์ได้ สำหรับสาว ๆ ที่ต้องการออกกำลังกายเพื่อการดูแลรูปร่างและดูแลสุขภาพ แต่กลับไม่สามารถทำได้อย่างถูกต้อง การลดน้ำหนักและรูปร่างที่กระชับก็อาจจะไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่หวังไว้อย่างแน่นอน และอาจจะได้รับอาการบาดเจ็บกลับมาดูเล่นอีกด้วย เรียกได้ว่าไม่ให้ประโยชน์แล้วแถมโทษให้กับสุขภาพที่ทำให้สาวๆ อาจจะรู้สึกแขยงการออกกำลังกายไปอีกนาน

อย่ารีบด่วนตัดสินใจ! ว่าการออกกำลังจะไม่ได้ผล ลองมาดูก่อนว่าคุณออกกำลังกายแบบผิด ๆ หรือไม่ ถ้าไม่มั่นใจก็ลองมาเช็ค

7 เรื่อ

งก่อนออกกำลังกาย จะได้ไม่ต้องไปผิดทาง

มาฝากกันค่ะ

1. ยืดกล้ามเนื้อเพื่อป้องกันอาการบาดเจ็บ

รูปภาพ:https://s-media-cache-ak0.pinimg.com/564x/87/c3/f6/87c3f64c244812e5aeb84c4f0cd3e8c8.jpg

การยืดหยุ่นกล้ามเนื้อก่อนออกกำลังกาย เป็นเรื่องที่ควรต้องทำก่อนออกกำลังทุกครั้ง ควรใช้เวลาในการยืดหยุ่นกล้ามเนื้อประมาณ 15-30 นาที จากนั้นก็ให้ออกกำลังกายตามที่ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นการวิ่ง การเล่นฟิตเนส หรือแม้แต่การซิท-อัพ เป็นต้น และเมื่อจบการออกกำลังกายแล้วอย่าหยุดทันที ให้ทำท่ากายบริหารแบบช้าๆ ไปเรื่อยๆ เพื่อไม่ให้หัวใจทำงานหนักมากจนเกินไป เพราะการที่หัวใจเต้นแรงจากการออกกำลังกายมากๆ แล้วอยู่ดีๆ ก็หยุดนั่งพักทันที จะทำให้ให้หัวใจที่ทำงานหนักอยู่ ต้องผ่อนการทำงานลงอย่างรวดเร็ว

ซึ่งคนที่ออกกำลังกายอย่างผิดวิธี มักจะไม่มีการยืดหยุ่นกล้ามเนื้อก่อน คิดจะออกกำลังกายก็ออกเลยทันทีและเมื่อคิดจะหยุดก็หยุดทันทีด้วยเช่นกัน ถ้าทำแบบนี้ก็อาจจะทำให้ได้รับอาการบาดเจ็บได้ง่าย และอาจทำให้คนที่มีปัญหาสุขภาพ เกิดหัวใจวายได้ง่ายอีกด้วย

2. ออกกำลังกายในขณะท้องว่าง

รูปภาพ:https://s-media-cache-ak0.pinimg.com/564x/8f/84/16/8f8416153281a90d8219901256e097e2.jpg

มักจะมีความเชื่อว่าออกกำลังกายในขณะท้องว่าง จะทำให้เกิดการเผาผลาญพลังงานได้ดีกว่าช่วงเวลาอื่น ซึ่งในความเป็นจริงแล้วไม่ถูกต้อง เพราะเมื่อท้องว่างร่างกายก็จะดึงเอาคาร์โบไฮเดรตและไขมันออกมาเผาผลาญมากขึ้นก็จริง แต่เมื่อเลิกแล้วก็มักจะเกิดปัญหาที่ร่างกายอยากอาหารที่มากขึ้นกว่าเดิม เพื่อเข้าไปทดแทนสารต่างๆ ที่ร่างกายถูกเผาผลาญออกไป การออกกำลังกายในยามท้องว่างยังเป็นการทำร้ายหัวใจอย่างรุนแรงอีกด้วย

มีการวิจัยจากต่างประเทศ ที่นำหญิงสาว 2 กลุ่มมารับประทานอาหารที่ต่างกัน และออกกำลังกายในขณะท้องว่างเหมือนกัน โดยกลุ่มแรกเป็นสาวที่ทานทุกอย่างตามใจ ส่วนอีกหนึ่งกลุ่มเป็นสาวรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ เมื่อเวลาผ่านไป 3 สัปดาห์ ผลปรากฎว่าสาวทั้ง 2 กลุ่มมีน้ำหนักเท่ากัน นั่นก็หมายความว่าการออกกำลังกายในขณะท้องว่างไม่ได้ช่วยอะไรเลย แถมจะทำให้น้ำหนักพุ่งกว่าเดิมอีกด้วย

3. ติดตามอัตราการเต้นของหัวใจระหว่างการออกกำลังกาย

รูปภาพ:https://s-media-cache-ak0.pinimg.com/564x/47/85/9f/47859fb9ec7a25e6c7cd8a313368fe7d.jpg

สิ่งที่สำคัญในโปรแกรมการออกกำลังกาย คือการเช็คอัตราการเต้นของหัวใจ ควรสวมใส่ในขณะที่กำลังออกกำลังกายทุกครั้ง เพื่อให้เกิดการเตือนเมื่อถึงอัตราการเต้นของหัวใจที่ควรระมัดระวัง โดยใช้วิธีการคำนวณ คือ การนำเอาอายุของคุณมาลบออกจาก 220 ได้เท่าไหร่ก็คือช่วงของอัตราการเต้นของหัวใจที่ควรต้องระมัดระวัง ตั้งนาฬิกาเอาไว้ให้เตือนในช่วงที่อัตราการเต้นของหัวใจขึ้นแตะระดับที่กำหนดเอาไว้ เมื่ถูกเตือนก็ให้ผ่อนแรงในการออกกำลังกายลง

วิธีการนี้จะช่วยให้คุณได้ออกกำลังกายที่เหมาะสมกับร่างกายและสุขภาพของคุณ ไม่ทำร้ายหัวใจมากจนเกินไป และสามารถเผาผลาญพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย

4. การถือดัมเบลไปด้วย วิ่งไปด้วย

รูปภาพ:https://s-media-cache-ak0.pinimg.com/564x/ed/3f/9a/ed3f9a9f7b3361d45e38d5950fb014f5.jpg

มีความเชื่อในการออกกำลังกาย คือ การถือดัมเบลไปด้วยแล้ววิ่งไปด้วย จะช่วยให้เกิดการเผาผลาญพลังงานที่ดีเยี่ยม และทำให้การลดน้ำหนักเป็นไปอย่างรวดเร็ว แต่ในความเป็นจริงแล้ว ถ้าคุณถือดัมเบลที่น้ำหนักน้อยก็แทบไม่ช่วยอะไรเลย แต่ถ้าถือดัมเบลที่หนักไปก็จะทำให้แขนและข้อมือเกิดอาการบาดเจ็บได้อย่างง่ายดายอีกด้วย

การเดินให้เร็วขึ้น พร้อมกับเกร็งกล้ามเนื้อท้องในบางช่วงเวลา จะช่วยเผาผลาญไขมันและแครอลลี่ได้ดีกว่าการถือดัมเบลแล้วออกวิ่ง และไม่ต้องเสี่ยงต่ออาการบาดเจ็บที่ข้อมืออีกด้วย

5. ซื้อรองเท้ากีฬาให้เหมาะสม

รูปภาพ:https://s-media-cache-ak0.pinimg.com/564x/db/c5/ab/dbc5abfdc1b2716e940ef16cd133d2ea.jpg

ไม่ว่าคุณจะออกกำลังกายด้วยวิธีใด ก็ควรที่จะต้องซื้อรองเท้าให้ถูกต้องและเหมาะสม ทั้งต่อรูปร่าง รูปเท้า และกีฬาที่เล่น ไม่เช่นนั้นอาจจะสร้างความลำบากและอาการบาดเจ็บต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย ซึ่งผู้หญิงส่วนใหญ่มักชอบที่จะซื้อตามแฟชั่น แต่ไม่ใส่ใจต่อความเหมาะสม ยิ่งออกกำลังกายก็ยิ่งบาดเจ็บหรือยิ่งมีปัญหา แบบนี้ก็ถือว่าไม่ไหวดังเช่นรองเท้าใส่วิ่ง ที่ไม่ว่าจะวิ่งจริงจัง วิ่งชิลล์ๆ ตามสวนสาธารณะ หรือวิ่งในเครื่องวิ่งที่ฟิตเนส ก็ควรเลือกรองเท้าที่ด้านในมีความนิ่ม ไม่ทำให้เท้าบาดเจ็บ ใส่แล้วรู้สึกสบายและให้ความคล่องตัวเท่านั้น

6. ดื่มน้ำได้ ไม่จำเป็นต้องกระหาย

รูปภาพ:https://s-media-cache-ak0.pinimg.com/564x/89/30/da/8930da61c5f046b3dae60dae5734bfb7.jpg

ในช่วงที่เราออกกำลังกาย เรามักจะคิดว่าถ้าดื่มน้ำเข้าไปมากๆ ก็อาจจะทำให้เกิดอาการจุกเสียด จนไม่สามารถที่จะออกกำลังต่อได้ หรืออาจทำให้รู้สึกปวดปัสสาวะบ่อยครั้ง ซึ่งจะทำให้เสียเวลาในการออกกำลังกาย จึงไม่ยอมที่จะดื่มน้ำในระหว่างออกกำลังกาย ซึ่งความคิดนี้ถือว่าผิดและอันตรายอย่างมาก เพราะการทำให้ร่างกายขาดน้ำเป็นเวลานาน อาจจะทำให้เกิดปัญหาเรื่อง Heatstroke และเกิดอาการขาดน้ำอย่างรุนแรงได้

ถ้าไม่อยากจุกก็เพียงแค่จิบน้ำไปเรื่อยๆ ทีละเล็กละน้อย เพื่อให้ร่างกายได้ดูดซึมน้ำเข้าสู่ร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ และไม่ต้องกลัวว่าจะปวดปัสสาวะบ่อย เพราะเมื่อเหงื่อออกก็เหมือนกับการที่ร่างกายขับน้ำออกไปแล้วนั่นเอง ดังนั้นอย่าเลือกที่จะออกกำลังกายรวดเดียว 1-2 ชั่วโมงโดยไม่ดื่มน้ำอย่างเด็ดขาด

7. อย่าทานอาหารจำนวนมาก หลังออกกำลังกาย

รูปภาพ:https://s-media-cache-ak0.pinimg.com/564x/23/d4/79/23d479fe5b3865b7d0681e8ed6da7e48.jpg

นิยามของคนที่ออกกำลังกายแบบฉาบฉวย คือ เมื่อออกกำลังกายเสร็จแล้ว ผ่านไป 1 ชั่วโมง ก็นัดเพื่อนหรือคนรักไปทานข้าวและขนมหวานกันต่อแบบจัดเต็ม วันรุ่งขึ้นก็มาออกกำลังกายให้หนักขึ้นอีก แต่พอตกเย็นก็ยังคงนัดกันไปทานอาหารคาวและหวานอย่างหนักหน่วงเหมือนเดิม หรือความเชื่อที่ว่าเสียเหงื่อจากการออกกำลังกายแล้ว ก็ต้องรีบทานเนื้อสัตว์หนักเพื่อให้ได้โปรตีนอย่างเต็มที่ เพราะเห็นว่านักกีฬาทำกัน ซึ่งถือว่าคิดผิดอย่างมาก เพราะอาจจะทำให้ไม่ย่อยหรือย่อยยาก ทำให้ท้องอืด ท้องเฟ้อได้ และที่ออกกำลังกายมาทั้งหมดก็ถือว่าไม่มีประโยชน์เลยแม้แต่น้อย

นักกีฬาที่เราเห็นว่าทานเนื้อสัตว์ ดื่มนมช็อกโกแลต หรือต้องทานคาร์โบไฮเดรตหลังการออกกำังกายนั้น ไม่ใช่ว่าพวกเขาเลือกทานเอง แต่เป็นการจัดสัดส่วนจากนักโภชนาการมาแล้ว เพื่อให้เหล่านักกีฬามีรูปร่างและกล้ามเนื้อที่สมส่วน พร้อมไปด้วยพละกำลังที่แข็งแรงขึ้น แต่นอกเหนือจากนี้ที่ไม่ใช่อาหารถูกจัดมาก็ไม่สามารถที่จะรับประทานได้

การออกกำลังกายอย่างถูกวิธี จะช่วยให้รูปร่างและน้ำหนักที่ใฝ่ฝันถึงเป็นเรื่องจริงอย่างง่ายดายมากยิ่งขึ้น และสามารถที่จะให้ประโยชน์ได้ 100% แบบไม่ต้องกังวลเรื่องอาการบาดเจ็บใด ๆ ซึ่งทั้ง 7 ข้อนี้ เหล่าสาว ๆ ที่กำลังออกกำลังกายอยู่ ควรมาเทียบดูว่าเรามีหรือไม่ ถ้ามีก็ควรเริ่มปรับเปลี่ยนตั้งแต่ตอนนี้ เพื่อให้การออกกำลังกายของเราไม่ไเป็นไปอย่างเสียเปล่านั่นเองขอให้สาวๆ ซิสต้ามีหุ่นสวย หุ่นเป๊ะกันทุกคน หลังได้อ่านบทความนี้แล้วนำไปปรับใช้นะคะ ^^ แล้วกลับมาพบกันใหม่ บ๊ายบายค่า