อิทธิพลของคำว่า “สายมู” ที่สอดแทรกทุกอณูของการใช้ชีวิต

สายมู ที่ใครๆ ก็รู้จักและเข้าถึงคำนี้ได้อย่างง่ายดาย ที่พึ่งทางจิตใจในยามผิดหวัง ไร้หนทาง สิ่งที่เชื่อว่าช่วยดันอำนาจด้านการงาน การเงินและความรัก

☸️☸️เมื่อยุคสมัยการใช้ชีวิตเปลี่ยนไป แต่ความเชื่อและการปฏิบัติยังคงเหมือนเดิม ก่อนหน้าที่จะเป็นสายมูนั้น จริงๆ แล้วก็คือการบูชา การไหว้สิ่งต่างๆ ที่มองไม่เห็นแต่เชื่อว่ามีอยู่จริง ขึ้นอยู่ว่าจะไปทางสายขาวที่ให้คุณ หรือสายดำเน้นให้โทษแก่ผู้ที่บูชา ในอดีตของขลังที่โด่งดังและกลายเป็นที่พูดถึงด้านเหนือทุกสรรพสิ่งมากที่สุด คือ ตะกรุด เบี้ย ยันต์ พระพุทธรูปแบบห้อยคอ ในปัจจุบันองค์เทพต่างๆ ยังกลายเป็นที่นิยมอย่างมากทั้งสายไทยและฮินดู

🛕🛕การใช้ชีวิตของเราย่อมมีการแข่งขันสูง โดยเฉพาะด้านการงาน คำที่ว่าไม่ได้ด้วยเล่ห์ต้องเอาด้วยกลนั้นมีอยู่จริง ความปรารถนาความต้องการอันแรงกล้า ที่ล้นออกมาจนต้องทำอะไรสักอย่าง ในสิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า เช่น โชคลาภ วาสนา บารมี ล้วนแล้วเป็นสิ่งที่ต้องหวังพึ่งอำนาจด้านที่จับต้องไม่ได้ด้วยเช่นกัน การบูชาเครื่องราง การไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ กลายเป็นคำตอบที่ชัดเจนมากที่สุดในทางปฏิบัติ เมื่อผู้คนรอบตัวไม่สามารถเอื้อต่อสิ่งที่เราต้องการ สิ่งที่หวังส่งแรงสนับสนุน หรือเป็นที่พึ่งทางใจให้เราได้ เราจึงต้องสร้างขึ้นมาเอง เพราะนั้นคืออำนาจทางจิตใจ

💙💛 คนที่จะให้กำลังใจ คอยสนับสนุนในสิ่งที่เราเลือกนั้นแทบไม่มี ต่างกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ทำให้เรารู้สึกว่าพร้อมรับฟัง มอบแรงสนับสนุนในสิ่งที่เราเลือกตลอดเวลา โดยมีสิ่งแลกเปลี่ยนเป็นการแก้บนตามที่พูดเพียงเท่านั้น ซึ่งก็ไม่เหลือบ่ากว่าแรงหากทำให้ทางเดินเราราบรื่นมากขึ้น

☸️😊 อย่างไรก็ตาม คำว่า สายมู คือคำที่เราใช้เรียกบุคคลที่หันหน้าเข้าหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ องค์เทพต่างๆ เพื่อการกราบไว้ บูชาสิ่งนั้นด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ พร้อมความปรารถนาอะไรบางอย่างต่ออนาคต ล้วนแล้วเพื่อให้ชีวิตของตนเองดีขึ้นไม่มากก็น้อย ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดอะไรหากไม่ได้เป็นการทำให้คนอื่นเดือดร้อน และยังดีต่อใจของเราอีกด้วย.

cr.เอ จักรพรรดิ

หยดน้ำ💧