สวัสดีค่าทุกค้นนนนนนนน ♥เปิดมาแบบสดใส ๆ แม้เนื้อหาบทความวันนี้จะค่อนข้างซีเรียสหน่อย ๆ เพราะวันนี้เราจะมาพูดกันถึง' ภาวะหมดไฟ 'หรือชื่อภาษาอังกฤษคือBurnout Syndromeนั่นเองค่า เชื่อเลยว่าหลาย ๆ คนในช่วงนี้ประสบปัญหานี้กันเยอะแน่ ๆ เลย เพราะด้วยการทำงานที่มีทั้ง Work From Home และต้องเข้าบริษัท หรือการเรียน การสอบออนไลน์ต่าง ๆ ยิ่งทำให้ภาวะนี้มันรุนแรงขึ้น ซึ่งหลาย ๆ คนเวลาประสบภาวะนี้ก็มักจะไม่ค่อยรู้ตัวกันสักเท่าไหร่ว่ากำลังเจอปัญหานี้ วันนี้เราก็เลยอยากจะพาทุกคนมารู้จักมันให้มากขึ้นพร้อมไปเช็กกันรึยังเอ่ย? ถ้าพร้อมแล้วก็ลุยเลยค่า ♥
♨ ♨ ♨ ♨ ♨ ♨ ♨ ♨ ♨ ♨ ♨ ♨ ♨ ♨ ♨ ♨ ♨ ♨ ♨
● ●● ●● ●● ●● ●● ●● ●● ●● ●● ●● ●● ●
' ภาวะหมดไฟ ( Burnout Syndrome ) 'กันเถอะ !● ● ● ●● ●● ●● ●● ●● ●● ●● ●● ●● ●● ●
♨ ภาวะหมดไฟคืออะไร ? ♨
ภาวะหมดไฟในการทำงานหรือการเรียนคือ ภาวะการเปลี่ยนแปลงทางด้านจิตใจ ซึ่งมีผลมาจากความเครียดเรื้อรังในที่ทำงานหรือที่โรงเรียนแล้วไม่ได้รับการจัดการหรือแก้ไขให้ดีขึ้นนั่นเอง โดยอาการจะแบ่งออกมาได้ 3 กลุ่มหลัก ๆ คือ
1. รู้สึกเหนื่อยล้า หมดพลัง สูญเสียพลังจิตใจ: ก็คือใจไม่เอาอะไรแล้ว ไม่มีแรงจูงใจ มีความช่างมันกับทุกสิ่งสูงมาก ๆ รู้สึกเหมือนไม่มีแรง ไม่มีพลังในการใช้ชีวิต
2. มีทัศนคติเชิงลบต่อความสามารถในการทำงานของตนเอง ขาดความมั่นใจ: เมื่อทำงานหรือเรียนไม่เป็นไปตามเป้าหมายก็ทำให้เกิดความรู้สึกเครียด ส่งผลให้เกิดความคิดเชิงลบ มองว่าตัวเองยังไม่เก่งมากพอ จนเสียความมั่นใจในตัวเอง
3. ประสิทธิภาพการทำงานลดลง: เมื่อเครียดก็ทำให้สมองไม่แล่น ทำงานออกมาได้ไม่ดีพอ แล้วก็อาจจะส่งผลให้ปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างมันค่อย ๆ แย่ลงด้วย
ใครที่เข้าข่าย 3 กลุ่มนี้ให้สันนิษฐานไว้เลยนะคะว่าเราอาจจะเริ่มมีภาวะหมดไฟแล้ว ...
♨ แบบไหนถึงจะเสี่ยงภาวะหมดไฟ ? ♨
คนที่ทำงานหรือกำลังเรียนอยู่อาจเสี่ยงต่อการเกิดภาวะหมดไฟได้ ถ้าหากรู้สึกหรือมีความคิดว่างานของตัวเองมีลักษณะแบบนี้ ...
1. งานเยอะเกินไป: ได้รับมอบหมายงานมากเกินไปจนทำให้เกิดความเครียด ยิ่งถ้าต้องแข่งกับเวลา หรือตัวงานมีความละเอียด ยิบย่อยซับซ้อนด้วยละก็ยิ่งแย่เลยล่ะค่ะ
2. ขาดอำนาจในการตัดสินใจ: เราอาจจะไม่ค่อยได้มีปากเสียงในการเสนองานหรือขอลำดับงานอะไรเลย เพราะต้องทำตามเพื่อนหรือหัวหน้าสั่งตลอด ทำให้เราไม่ค่อยได้ตัดสินใจ ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เสี่ยงต่อการหมดไฟได้เหมือนกันนะ
3. ไม่ได้รับการตอบแทนที่คุ้มค่า: ถ้าการทำงานก็คืออาจจะไม่ได้คำชมหรือไม่ได้เงินมากพอ ส่วนวัยเรียนอาจจะไม่ได้คำชมและผลการเรียนที่น่าพึงพอใจ
4. รู้สึกไร้ตัวตนในหมู่เพื่อน ๆ: การที่เราทำอะไรก็ไม่มีใครสนใจ ทำให้สภาวะจิตใจเริ่มไม่ค่อยคงที่ ตรงนี้ก็เสี่ยงทำให้เรารู้สึกไม่แฮปปี้กับการทำงาน แล้วอาจส่งผลให้เกิดภาวะหมดไฟได้ด้วย
5. ไม่ได้รับความยุติธรรม ขาดความเชื่อใจ: เมื่อทำอะไรเพื่อน ๆ หรือคนในที่ทำงานไม่เชื่อใจก็ทำให้ส่งผลกับจิตใจเหมือนกันเน้อ
6. ระบบภายในที่ทำงานหรือโรงเรียนมีปัญหา: ทำให้เราเกิดความไม่พอใจในระบบ ส่งผลต่อการทำงานและการเรียนได้ด้วยเช่นกัน
♨ แล้วมันมีสัญญาณเตือนอะไรบ้าง ? ♨
แน่นอนว่าก่อนจะเข้าสู่การเป็นภาวะหมดไฟ มันจะต้องมีสัญญาณเตือนเพื่อให้เราพอจะรับรู้ได้แล้วว่ามันไม่ปกติโดยเราจะแบ่งออกเป็น 3 สัญญาณหลัก ๆ ก็คือ ...
• ทางอารมณ์: ก็จะเศร้า หดหู่ อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิด โมโหง่าย ไม่พอใจในงานที่ทำ
• ทางความคิด: เริ่มมองโลกในแง่ร้าย ระแวงง่ายขึ้น โทษคนอื่น ไม่มั่นใจในตัวเองและความสามารถตัวเอง หนีปัญหา
• ทางพฤติกรรม: เริ่มมีนิสัยผัดวันประกันพรุ่ง ไม่กระตือรือร้น ทำกิจกรรมต่าง ๆ น้อยลง เริ่มเข้าเรียนหรือทำงานสายบ่อย ๆ การบริหารจัดการเวลาแย่ลง
ใครที่มีอาการเหล่านี้ก็รับรู้ได้เลยนะคะว่าร่างกายของเราเริ่มส่งสัญญาณเตือนแล้ว T - T
♨ แล้วมันส่งผลกระทบกับสุขภาพไหม ? ♨
แน่นอนค่ะว่ามันเป็นภาวะที่เกิดจากความเครียดยังไงก็ส่งผลกระทบต่อร่างกายแน่นอน โดยส่งผลได้เป็น 3 ด้านหลัก ๆ ก็คือ ...
• ด้านร่างกาย: เราอาจจะมีอาการเหนื่อยล้าเรื้อรัง ปวดเมื่อย ปวดศีรษะ หรือเป็นออฟฟิศซินโดรมได้ เนื่องจากต้องโหมงานหรือปั่นงานหนัก ๆ ไปเรื่อย ๆ นั่นเอง
• ด้านจิตใจ: ด้านนี้เป็นด้านที่เรียกได้ว่าน่าจะหนักที่สุดเลยค่ะ คือบางคนก็สูญเสียแรงจูงใจ หมดหวัง รู้สึกว่ามันไม่มีทางจะดีขึ้นเลย แล้วยิ่งปล่อยไวนานวัน ก็จะยิ่งส่งผลให้มีอาการของภาวะซึมเศร้าและอาการนอนไม่หลับได้ ซึ่งบางคนอาจจะแก้ปัญหาด้วยการใช้สารเสพติดเพื่อจัดการกับอารมณ์ด้วย
• ด้านการทำงาน/การเรียน: พอทำงานหรือไปเรียนแล้วไม่มีความสุข มีแต่เรื่องเครียด ๆ ก็จะทำให้เราขาดงานบ่อย ขาดเรียนบ่อย ประสิทธิภาพการทำงานและการเรียนลดลง จนอาจจะคิดถึงเรื่องการลาออกในที่สุด
♨ วิธีแก้ไขภาวะหมดไฟล่ะ ? ♨
มีปัญหาก็ต้องมีทางแก้สิค้า~ ถ้าเรารู้สึกว่าเฮ้ย เนี่ยฉันเป็นตรงตามที่อ่านมาเป๊ะเลย ฉันต้องแก้ไขอะไรยังไงบ้างวิธีแก้ไขเบื้องต้นเลยก็คือ ...1. เราต้องพัฒนาทักษะในการจัดการปัญหา และความยืดหยุ่นต่อสถานการณ์ต่าง ๆเพื่อให้เราลดหย่อนความตึงเครียดลงไปได้ รวมถึงทักษะการสื่อสาร อย่างการพูดต่อรอง ยืนหยัดเพื่อรักษาสิทธิของเราเอาไว้ อะไรพวกนี้ก็ต้องค่อย ๆ พูดหรือหาวิธีพูดด้วยน้าจะได้ไม่มีปัญหากัน
2. ยอมรับความแตกต่างของทุกคนเปิดใจรับฟังความคิดเห็นที่อาจไม่ตรงกัน ไม่ด่วนตัดสินคนอื่น
3. หาที่ปรึกษาหรือไปพบแพทย์: ก็คือหาคนที่รับฟังการระบายความรู้สึกของเรานั่นเองค่ะ ถ้ามีเพื่อน พ่อแม่ พี่น้องที่สนิทก็แนะนำให้ลองไปพูดคุยกับเขาดูนะคะ แต่ถ้ากลัวว่าจะไม่มีใครฟังแนะนำให้พบจิตแพทย์เลยค่ะ อันนี้ช่วยได้โดยตรงเลยด้วย
4. ร่วมกิจกรรมทางสังคมและกิจกรรมเพื่อสุขภาพเช่น ออกกำลังกาย หรือไปเที่ยว ไปคอนเสิร์ต ออกไปเปิดหูเปิดตาเพื่อผ่อนคลายความเครียดให้ลดลงไปบ้างนั่นเอง
แต่ถ้าเราทำทั้งหมดแล้วยังไม่ดีขึ้นแนะนำเลยว่าต้องไปพบจิตแพทย์นะคะ ไม่งั้นมันอาจจะส่งผลกระทบที่รุนแรงกว่าที่บอกมาด้านบนเน้อ ยังไงก็ขอให้ทุกคนผ่านภาวะนี้ไปได้น้า
♨ ♨ ♨ ♨ ♨ ♨ ♨ ♨ ♨ ♨ ♨ ♨ ♨ ♨ ♨ ♨ ♨ ♨ ♨
เป็นยังไงกันบ้างเอ่ย? เข้าใจเรื่อง' ภาวะหมดไฟ 'หรือBurnout Syndromeกันมากขึ้นแล้วใช่ไหมคะจะบอกว่าภาวะนี้หลาย ๆ คนมักจะเป็นกันแบบไม่ค่อยรู้ตัวสักเท่าไหร่นักคิดว่าแค่เป็นความขี้เกียจทั่ว ๆ ไปยังไงถ้าทุกคนรู้แล้วว่าภาวะนี้มีอาการประมาณไหนก็ลองเอาไปสังเกตตัวเองกันด้วยนะคะ เพราะว่าภาวะหมดไฟในการทำงานมันอาจจะส่งผลกระทบไปถึงสุขภาพจิตด้านอื่น ๆด้วย การค่อย ๆ สังเกตตัวเองเป็นสิ่งที่ดีและไม่แปลกน้าถ้าเรารู้ว่าตัวเองมีอะไรผิดปกติไปก็จะได้รักษาทันเน้อ เอาล่ะ~ ถ้าชอบบทความนี้ก็ฝากกดแชร์กันด้วยน้า ส่วนนี้ต้องขอตัวลาไปก่อน บ๊ายบายค่าทุกคน ♥
Cr. ภาวะหมดไฟในการทำงาน (Burnout Syndrome)
https://shorturl.asia/tYEw5
Cr. BURNOUT SYNDROME อย่ารอให้หมดไฟในการทำงาน
https://www.bangkokhospital.com/content/burnout-syndrome