บทนำ


แฟ้มเอกสารที่ทำจากกระดาษสีน้ำตาลถูกโยนโครมลงบนโต๊ะมันไม่ใช่แฟ้มอันใหญ่อะไรนัก แต่อย่างน้อยปึกเอกสารภายในก็มีน้ำหนักมากพอที่จะส่งตัวมันเองไถลไปบนโต๊ะ แฟ้มสีน้ำตาลซองนั้นชนเข้ากับกองเอกสารอื่นๆ ที่ตั้งเกะกะอยู่ก่อนแล้ว จนกระดาษกองเท่าภูเขานั่นเกือบจะถล่มลงมา


ผมทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้สำนักงานที่ตั้งอยู่ด้านหลังโต๊ะตัวนั้น ดวงตาสีทองของผมจับจ้องไปยังความว่างเปล่าที่อยู่เบื้องหน้า ผมนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้น ปอยผมสีดำสนิทเหมือนขนของอีกาตกลงมาระใบหน้าของผมเล็กน้อย แต่ผมไม่สนใจหรอก เพราะตอนนี้ผมเหนื่อยจนเกินกว่าจะใส่ใจอะไรแล้ว


ผมพ่นลมหายใจยาวออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน นี่เป็นวันที่สี่แล้วที่การทำงานของผมไม่คืบหน้า ซึ่งมันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนตลอดการทำงานสองปีในอาชีพตำรวจของผม ใช่... ผมทำงานเป็นตำรวจหน่วยสืบสวนคดีฆาตกรรมในเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ติดกับกรุงนิวยอร์ค ซึ่งตามปกติแล้วผมเป็นคนกระตือรือร้นตามประสาเด็กใหม่ไฟแรง แต่คดีนี้กลับทำให้หัวผมตันไปหมด


คดีนี้มันเริ่มต้นขึ้นเมื่อมีชายหนุ่มคนหนึ่งถูกฆ่าตายด้วยลูกธนูในเวลาตีหนึ่งของวันที่ 16 เมษา ปลายคมกริบของธนูนั่นเสียบเสือกเข้าที่อกด้านซ้ายของเขาและตัดขั้วหัวใจจนตายคาที่ ชายคนนั้นล้มลงสิ้นใจทันทีตรงท่าน้ำนั่น แต่ที่น่าแปลกคือผู้ตายเป็นชายรูปร่างใหญ่มหึมา เขาสูงราวๆ 189 เซนติเมตรได้ล่ะมั้ง แต่องศาของลูกธนูที่ปักลงตรงอกของเขากลับมีลักษณะเป็นเส้นตรงเฉียงลง ซึ่งนั่นหมายความว่าคนร้ายต้องอยู่สูงกว่าผู้ตาย


ทว่าด้านหน้าของผู้ตายนั้นกลับเป็นผืนน้ำกว้างใหญ่ไพศาล มองไปไม่มีวี่แววของพื้นดินให้เหยียบ ไม่มีแม้กระทั่งข้อมูลว่ามีเรือแล่นผ่านแถวนั้น ดังนั้นคดีนี้จึงดูเป็นไปไม่ได้เลย นอกเสียจากว่าคนร้ายจะมีปีกและแผงศรใส่ผู้ตายขณะที่ตนเองบินอยู่กลางอากาศเท่านั้น!


ผมถอนหายใจยาวออกมาอีกครั้งขณะยกมือขึ้นนวดขมับ ผมได้แต่หวังว่าการนวดนั่นจะทำให้สมองของผมปลอดโปร่งและคิดอะไรดีๆ ขึ้นมาได้บ้าง แต่น่าเศร้าที่ในหัวของผมยังคงหนักอึ้งราวกับถูกถ่วงด้วยลูกตะกั่ว ผมว่าสมองของผมคงถูกสนิมกินไปจนหมดแล้วกระมัง


ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วลองคิดทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นอีกครั้งอย่างช้าๆ  ผู้ร้ายรายนี้มีความเป็นมืออาชีพมาก เขาไม่ทิ้งหลักฐานอะไรไว้ในที่เกิดเหตุเลยนอกจากลูกธนูที่ใช้สังหารผู้ตาย ซึ่งนั่นอาจจะเพราะเขามีประสบการณ์การฆ่ามาก่อนหรือไม่ก็เป็นคนฉลาด ...ฉลาดมากพอที่จะรู้ว่าอะไรสามารถทิ้งไว้ในที่เกิดเหตุได้โดยตำรวจไม่สามารถสาวไปถึงตัวเขา


อ๋อ! อันที่จริง นอกจากลูกธนูที่มีปีกสีดำสนิทแล้ว ผมยังพบขนนกสีขาวอันใหญ่ลอยมาเกยตื้นอยู่ริมน้ำด้วย     แต่ผมยังไม่แน่ใจนักว่ามันเกี่ยวอะไรกับคดีนี้หรือเปล่า บางทีมันอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญ แต่เพราะงานของตำรวจต้องใช้ความละเอียดอ่อนมาก ผมจึงไม่อาจปล่อยให้ขนนกสีขาวนั่นเล็ดลอดผ่านสายตาไปได้


ผมส่งขนนกพร้อมกับลูกธนูไปให้ ‘โนว่า’ เพื่อนเจ้าหน้าที่ฝ่ายนิติเวชของผม แต่ดูเหมือนเขาจะงงเป็นไก่ตาแตกไม่ต่างอะไรจากผมนัก เพราะขนนกสีขาวนั่นมันดูใหญ่เกินกว่าจะเป็นขนของนกธรรมดาที่บังเอิญบินผ่าน และทำร่วงหล่นลงบนแม่น้ำกว้างนั่น


“ใหญ่อย่างกับขนนกกระจอกเทศ แต่นกกระจอกเทศคงไม่บังเอิญบินข้ามแม่น้ำหรอกมั้ง” โนว่าเหน็บแนมขณะยื่นมือที่สวมถุงมือสีขาวออกมารับขนนกกับลูกศรนั่นไป “เดี๋ยวฉันตรวจสอบให้”


โนว่าบอกผมอย่างนั้นก่อนที่จะเดินหายเข้าไปในห้องแล็ป ผมเงยหน้าขึ้นมองนาฬิกาบนผนังสีขาวชืดๆ ของสำนักงานตำรวจ ตอนนี้ก็ผ่านมาหลายชั่วโมงแล้วนับตั้งแต่โนว่าได้หลักฐานไป ผมคิดว่าเขาน่าจะทำงานเสร็จได้แล้ว ผมจะได้เอาข้อมูลใหม่ๆ นั่นไปสืบคดีต่อเสียที


ผมที่กำลังจนตรอกนั่งหายใจทิ้งไปเรื่อยๆ ระหว่างรอให้โนว่าเอาข้อมูลใหม่ๆ มาให้ ‘หวังว่าโนว่าจะเจอข้อมูลอะไรที่เป็นประโยชน์บ้างนะ งานจะได้คืบหน้าสักที’


เคราะห์ดีที่ไม่กี่อึดใจต่อมา โนว่าก็เปิดประตูโพล่งเข้ามาในแผนกสืบสวน ผมเหลือบตาไปมองเพื่อนฝ่ายนิติเวชคนนั้น เขาเป็นชายผู้มีผมสีบลอนด์เข้มเหมือนสีน้ำผึ้ง ผมของเขาค่อนข้างหยักศกและยุ่งเหยิงเหมือนรังนก แต่เขาก็ยังอุตส่าห์หากิ๊ฟสีดำมาติดไม่ให้มันตกลงมาระใบหน้าเวลาทำงาน


โนว่าเป็นชายที่มีรูปร่างสูงแต่ผอมเหมือนคนขี้โรค ซึ่งเขาก็ขี้โรคจริงๆ นั่นแหละ เขาไอบ่อยจนต้องสวมผ้าปิดปากตลอดเวลาแต่เขาก็บอกผมนะว่าเขาร่างกายแข็งแรงดี เพียงแต่แค่ปอดไม่ค่อยดีเท่านั้น เขาแพ้เชื้อโรค ฝุ่นควัน และสิ่งเป็นพิษทุกอย่างในอากาศ ซึ่งตอนแรกผมก็ไม่เชื่อหรอกแต่หลังจากถามเขาบ่อยๆ ว่า‘ไม่ได้เป็นโรคติดต่ออะไรร้ายแรงจริงๆ ใช่มั้ย’หรือ ‘นายยอมรับมาเถอะ ฉันไม่รังเกียจนายหรอก’แล้วได้รับคำปฏิเสธจากโนว่าซ้ำๆ ผมก็เริ่มเชื่อว่าเขาแค่ปอดไม่ดีจริงๆ


แต่ถึงแม้ว่าโนว่าจะมีร่างกายที่อ่อนแอจนน่าจับไปขังในโรงพยาบาลมากกว่าอยู่ในสำนักงานตำรวจ  แต่สมองภายใต้ผมที่ยุ่งเหมือนรังนกนั่นกลับเป็นของจริง! เขาเป็นคนฉลาด เรียนจบปริญญาโทตอนอายุสิบเก้า และหลังจากร่อนเร่ค้นหาตัวเองอยู่ราวๆ สองปี เขาก็ได้มาทำงานที่นี่ก่อนที่ผมจะเข้ามาเสียอีกแต่ก็อย่างว่าล่ะนะ มีได้ก็ต้องมีเสีย ไม่มีใครเกิดมาเพอร์เฟ็คร้อยเปอร์เซ็นต์หรอก


โนว่าค่อยๆ พาร่างกายที่ดูเหมือนจะพังแหล่มิพังแหล่เดินตรงมาหาผม ในมือของเขาถือเอกสารจำนวนหนึ่งมาด้วย ซึ่งตามปกติมันก็น่าจะเป็นเอกสารผลการทดสอบลูกธนูกับขนนกที่ผมขอ แต่เมื่อเขาเดินเข้ามาประชิดตัวผม แทนที่เขาจะยื่นเอกสารให้ผมตรงๆ เขากลับกอดมันไว้แนบอกแล้วใช้ดวงตาสีฟ้าเหลือบมองผ่านแว่นกรอบเหลี่ยมสีดำไปรอบๆ


“ลุค ฉันขอคุยด้วยหน่อยสิ” โนว่าเรียกชื่อผม


“ก็ว่ามาสิ"


“คุยที่นี่ไม่ได้ ฉันขอคุยกับนายแบบส่วนตัว" ชายร่างผอมพึมพำ  “ตามฉันมา"


ว่าแล้วโนว่าก็เดินนำหน้าผมไป ผมเผลอถอนหายใจออกมาเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเพื่อนเนิร์ดของผมคิดอะไรอยู่ จริงๆ แล้วแค่พูดๆ มามันก็จบแล้ว ทำไมถึงต้องทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยากด้วย แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังเดินตามเขาไป เพราะคนอย่างโนว่าไม่มีทางทำอะไรโดยปราศจากเหตุผลหรอก


โนว่าพาผมออกมายืนตรงลานจอดรถด้านหลังสำนักงาน ตรงนี้เป็นบริเวณที่พวกตำรวจมักจะออกมายืนสูบบุหรี่กันบ่อยๆ แต่โชคดีที่ตอนนี้มันว่างเปล่า เหมาะแก่การคุยเรื่องความลับใดๆ ก็ตามที่โนว่าต้องการจะพูดอย่างยิ่ง ทว่าแทนที่โนว่าจะเริ่มพูดเข้าประเด็นทันที ชายหนุ่มในชุดกาวน์กลับยืนเหม่อมองออกไปยังพื้นที่ว่างเปล่าราวกับลืมเรื่อง ที่จะพูดไปเสียแล้ว


“แล้วสรุปว่ามีเรื่องอะไรจะคุยกับฉัน" ผมถามห้วนๆ


“ฉันว่าฉันรู้แล้วล่ะว่าขนนกในที่เกิดเหตุมันคือขนของตัวอะไร แต่พูดไปนายอาจไม่เชื่อ" โนว่าเหลือบตาขึ้นมามองผม


“ลองพูดมาก่อนสิ แล้วฉันจะบอกเองว่าเชื่อหรือไม่เชื่อ"


ผมมองหน้าโนว่านิ่ง ซึ่งชายหนุ่มร่างผอมสูงคนนั้นก็จ้องหน้าผมตอบ เขาหันออกไปมองลานจอดรถกว้างก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เหมือนเตรียมพร้อมจะพูดเรื่องบางอย่างที่น่าตกใจ


“ขนนกอันนั้นมันใหญ่เกินกว่านกธรรมดาทั่วไป แต่ก็แข็งเกินกว่าจะเป็นขนนกกระจอกเทศ แถมดีเอ็นเอที่ติดอยู่ตรงก้านยังคล้ายกับดีเอ็นเอมนุษย์ด้วย แต่ดีเอ็นเอนั่นซับซ้อนเกินไป มันซับซ้อนเกินกว่าที่ฉันจะหาได้ว่าใครเป็นเจ้าของ แต่อย่างน้อยก็มีอย่างนึงที่ฉันมั่นใจ..." โนว่าพูดพร้อมยื่นเอกสารให้ผมดู “ฉันว่าขนนกอันนี้คือ... ขนปีกนางฟ้า"


“พูดเป็นเล่น" ผมขมวดคิ้วเข้าหากันพลางพลิกเอกสารในมือขึ้นมาอ่าน ซึ่งก็น่าแปลกที่ผลการทดสอบมันตรงกับที่โนว่าพูดมาจริงๆ


“ฉันไม่ได้ล้อเล่นนะ พวกนางฟ้ามีตัวตนอยู่จริง!" โนว่าร้อง “ก่อนหน้าที่ฉันจะมาเป็นเจ้าหน้าที่นิติเวช ฉันเคยเป็นผู้รับใช้พระเจ้ามาก่อน ฉันรู้ดี!"


“ผู้รับใช้พระเจ้าเหรอ?" ผมทวนคำอย่างสงสัย


“มันเป็นคำเรียกคนที่ถวายตัวเป็นผู้รับใช้ทวยเทพน่ะคล้ายๆ พวกบูชาซาตานแต่กลับกัน" โนว่าอธิบาย “ฉันเคยเข้าโบสถ์และก็เคยเจอพวกนางฟ้ามาแล้วด้วย"


“อ๋อเหรอ ถ้างั้นจะให้ฉันทำยังไงต่อล่ะเอากาวดักหนูมาจับนางฟ้าเหรอ" ผมล้อเลียน แต่โนว่ากลับตีหน้าเครียดใส่


“ไม่... ถ้าเราอยากจับนางฟ้า เราก็ต้องใช้ปิศาจ" โนว่าพูด “นายไม่เคยได้ยินเรื่องศัตรูตามธรรมชาติเหรอ จะมีใครรู้จักนางฟ้าได้ดีไปกว่าปิศาจอีก ถ้าเราอยากจะจับนางฟ้าให้ได้ เราก็ต้องไปขอให้ปิศาจช่วย"


“ไปกันใหญ่แล้ว โนว่า" ผมกุมขมับ “แล้วนายจะไปหาปิศาจมาจากไหน"


โนว่านิ่งคิดไปครู่นึงก่อนจะตอบออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง “ฉันรู้จักปิศาจอยู่ตนนึง ฉันว่าเธอจะต้องช่วยพวกเราได้แน่”




((โปรดติดตามตอนต่อไป))





เว็ปไซต์นี้ใช้คุกกี้

SistaCafe ให้ความสำคัญต่อข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน เพื่อการพัฒนาและปรับปรุงเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้โดยไม่มีการปรับตั้งค่าใดๆ แสดงว่าท่านยินยอมที่จะรับคุกกี้บนเว็บไซต์และนโยบายสิทธิส่วนบุคคลของเรา และ นโยบายการใช้คุกกี้

🔮 ดูดวงกับ SistaCafe ผ่าน Line Official !
รูปภาพสำหรับป๊อปอัพลอย:1