ฮาโหลสาวๆ

เช็คตัวเองกันหน่อยค่ะว่า เคยตื่นมาก็

รู้สึกปวดหัวมึนตึบอย่างรุนแรงบ้างหรือเปล่า โดยเฉพาะมักปวดบริเวณศีรษะข้างเดียว

หรือปวดข้างเดียวก่อนแล้วจึงปวดสองข้าง ใครที่เป็นแบบนี้แสดงว่าอาการไม่ดีแล้วนะคะ ยิ่งเป็นหลายๆ ครั้งยิ่งไม่ไหว เพราะมันเป็นอาการที่แสดงว่าสาวๆ กำลังจะเป็น " โรคไมเกรน " นั้นเอง

รูปภาพ:https://i.pinimg.com/564x/b8/99/55/b899553b4453336ca0388bc9b275d134.jpg

ดังนั้นอาการปวดหัวแบบนี้จึงไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับการไปดื่มตอนกลางคืนอย่างเด็ดขาด

แต่เกิดจากความผิดปกติชั่วคราวในการทำงานของสมองที่มีผลกระทบต่อเส้นประสาท

สารเคมี และหลอดเลือดในสมอง ซึ่งอาจเกิดได้จากหลายปัจจัย ทั้งนี้ประมาณครึ่งหนึ่งของผู้คนทั่วโลกมีอาการนี้ประมาณ 30 % เลยทีเดียว ดังนั้น

วันนี้เราจึงนำอาหารที่ช่วยลดอาการปวดไมเกรนได้มาฝากกันค่ะ บอกเลยว่าแค่กินก็หายปวดได้

เอาหล่ะ...อย่ามัวรอช้า รีบไปดูกันเลยดีกว่าเป็นมีอะไรกันบ้าง ไปดูกันเลย!

รูปภาพ:https://i.pinimg.com/564x/9c/4d/8b/9c4d8b13747d7847877ecb233f677f1b.jpg

น้ำเปล่า

นี่ไม่ใช่เทคนิคที่น่าแปลกใจอะไรหรอกนะคะ แต่น้ำคือตัวช่วยที่ดีที่สุดเมื่อเธอรู้สึกปวดหัวเพราะการคายน้ำเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญของอาการปวดหัว ดังนั้นการที่ร่างกายได้รับน้ำเปล่าประมาณ 8 แก้ว/วัน อาจช่วยได้ ทั้งนี้ในการศึกษาหนึ่งที่แสดงว่าน้ำมีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการลดความรุนแรงของอาการปวดหัวและระยะเวลาในการปวดจากการศึกษาพบว่าร้อยละ 47 ของคนที่มีอาการปวดหัวจะดีขึ้นเมื่อดื่มน้ำ เมื่อเทียบกับร้อยละ 25 ของคนที่ไม่ได้ดื่ม

รูปภาพ:https://i.pinimg.com/564x/88/aa/95/88aa953cd6329fcab9031b2879ac4d3c.jpg

เราขอแนะนำให้สาวๆ พกน้ำเต็มขวดไว้รอบตัว และเมื่อร่างกายของเธอรู้สึกเหนื่อยล้า ปากแห้ง ก็ให้จิบมันบ่อยๆเพื่อสร้างความกระปรี้กระเปร่าให้กับร่างกาย ดื่มก่อนที่ร่างกายจะคายน้ำออกมามากเกินไปนะคะนอกจากนี้สาวๆ ยังสามารถทานน้ำได้จากในผลไม้และผักจำนวนมากทั้งแตงกวา ผักโขมแตงโม และผลเบอร์รี่ ผลไม้เหล่านี้ก็สามารถช่วยดับกระหายได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังมีวิตามินและแร่ธาตุที่สำคัญเพื่อให้อาการปวดศีรษะจางหายไปด้วยนะคะ

รูปภาพ:https://i.pinimg.com/564x/ec/ea/5a/ecea5acee9ebfa99b0cafab8fdf55f6d.jpg

อาหารที่มีโซเดียมต่ำ

งานวิจัยเกี่ยวกับอัตราการเกิดและอาการปวดหัววิเคราะห์ว่าอาหารที่มีโซเดียมต่ำจะทำให้อาการปวดหัวลดลง ทั้งนี้รวมถึงการบริโภคเกลือน้อยลงด้วยดังนั้นพยายามหลีกเลี่ยงอาหารแปรรูปและขนมคบเคี้ยวนะคะ เพราะอาจยิ่งเป็นการกระตุ่นอาการปวดหัวไมเกรนได้นะคะ นอกจากนี้อย่างที่เรารู้ว่าอาหารแช่แข็งนั้นเป็นอาการสังเคราะห์ ยิ่งกินมากๆ ก็ยิ่งมีผลต่อร่างกายดังนั้นแม้จะไม่มีเวลาขนาดไหนก็พยายามเลือกทานผัก-ผลไม้จะดีกว่านะคะ

รูปภาพ:https://i.pinimg.com/564x/22/29/9b/22299b2b0646242ca433811ebc9234ad.jpg

ผักใบเขียว

อาหารอีกชนิดที่มีผลต่ออาการปวดหัวไมเกรนก็๋คือผักใบเขียว เช่นผักคะน้า ผักโขม โดยผักเหล่านี้จะเต็มไปด้วยวิตามิน และโฟเลต ซึ่งอาจมีบทบาทในความเสี่ยงของอาการปวดศีรษะจากการวิจัยพบว่าอาหารที่มีโฟเลตต่ำอาจทำให้ความถี่ในการเป็นไมเกรนลดลง คุณพระ!! ประโยชน์สูงมากนอกจากนี้ในผักใบเขียวยัวเป็นแหล่งแมกนีเซียมที่ดีเยี่ยมซึ่งจากการศึกษาบางส่วนชี้ให้เห็นว่าระดับแร่ธาตุนี้จำเป็นต่อร่างกายที่ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะได้

รูปภาพ:https://i.pinimg.com/564x/99/5b/62/995b624fa643ea0179398ef456cb3b31.jpg

อัลมอนด์


จากการวิจัยชี้ให้เห็นว่าผู้ที่เป็นโรคไมเกรนมีแนวโน้มที่จะมีระดับแมกนีเซียมในเลือดลดลง ซึ่งอัลมอนด์ก็เป็นแหล่งอาหารที่มีแมกนีเซีนมสูงที่สุด และอร่อยที่สุดด้วยเช่นกันอิอิ  โดยแนะนำว่าการเสริมด้วยแมกนีเซียม 600 มก. ในแต่ละวันจะลดความถี่ของอาการปวดไมเกรน และแม้ว่าสาวๆ อาจต้องการทานอาหารเสริมแทน แต่เราก็แนะนำให้ลองวิธีแรกด้วยการทำอาหารทานเองอย่างเช่นสลัด และอย่างลืมใส่ถั่วอัลมอนด์ลงไปด้วยนะคะ

รูปภาพ:https://i.pinimg.com/564x/f1/fe/a3/f1fea34dd814350a117aa34562a12798.jpg

กาแฟเล็กน้อย

อะไร..กาแฟนั้นหรอที่ดีต่ออาการไมเกรน!? หลายคนอาจจะคิดแบบนั้น แต่การวิจัยชี้ให้เห็นว่าปริมาณคาเฟอีนในปริมาณที่น้อยอาจเป็นประโยชน์จากงานวิจัยพบว่าการบริโภคคาเฟอีนประมาณ 100 มิลลิกรัมต่อวัน ( ปริมาณในถ้วยกาแฟเล็กน้อย ) พร้อมกับยาแก้ปวดอาจช่วยลดอาการปวดหัวได้มากกว่ายาอย่างเดียว ทั้งนี้ก่อนทานสาวๆ ก็ต้องปรึกษาแพทย์ก่อนด้วยนะคะ

รูปภาพ:https://i.pinimg.com/564x/9e/40/a9/9e40a956eefa147977025686db3e7e40.jpg

เป็นอย่างไรบ้างคะสำหรับอาหารดีๆ ที่เราเอามาฝากกันวันนี้ หวังว่าจะมีประโยชน์ให้กับสาวๆ กันนะคะ เมื่อสาวๆ ทั้งนี้อาหารแต่ละอย่างที่นำเสนอมานั้นก็ล้วนเป็นสิ่งที่เราทานกันเป็นประจำอยู่แล้ว แค่ทานขึ้นให้มากอีกนิด เลี่ยงอาหารไม่ดีๆ เท่านี้ก็ลดอาการปวดหัวไมเกรนแล้วค่ะ เอาล่ะ...ครั้งหน้าก็อย่าลืมติดตามกันด้วยนะคะ ส่วนวันนี้ไปก่อนแล้วค่ะ บาย