หลังจากเปลี่ยนยี่ห้อตาชั่งมารอบที่ร้อย ชั่งน้ำหนักวนเวียนไปเครื่องนั้นที เครื่องนี้ทีจนตัดสินใจได้แล้วว่า" ฉันอ้วนขึ้นจริงๆ แหละ TT "ก็ถึงเวลาต้องเข้าสู่สังเวียนการไดเอทสักที!

ทั้งควบคุมอาหารอย่างเคร่งครัด ทั้งอกไก่ ข้าวกล้อง ผักสดๆ ก็มา ( จะคลีนไปไหน ) ออกกำลังกายเป็นประจำอย่าให้ขาด เรื่องฟิตนี่ขอให้บอก แค่โทรชวนก็พร้อมไปฟิตเนสแล้ว~

แต่แล้วฝันก็ดับสลาย... เดี๋ยวก่อนนะ ไดเอทมาจะร่วมเดือนแล้ว ทำไมน้ำหนักไม่ลดลงเลย เผลอๆ เด้งขึ้นมาอีกเหมือนโลกพังสลายไปต่อหน้าต่อตา หน้าซีด แทบไม่มีเรี่ยวแรงลงจากตาชั่ง ( นี่ก็เวอร์ไป... )ท้อแท้หมดกำลังใจ เดี๋ยวก็กลับไปกินยับเป็นพายุเหมือนตอนแรกซะเลยนี่!

อย่าเพิ่งทำอย่างนั้น! มีปัจจัยที่คาดไม่ถึงมากมายทำให้สาวๆ หลายคนลดน้ำหนักไม่ลง ไม่ผอมสักทีทั้งที่ทำถูกวิธีการทุกอย่าง ขอแค่เธออ่านทบความนี้ เธอจะรู้ว่า" พฤติกรรม "อะไรที่อยู่เบื้องหลังโศกนาฎกรรมครั้งนี้ แล้วแก้ไขมันซะ! ไปอ่านกันได้เล้ย


1. พฤติกรรมการดื่ม " น้ำเปล่า "

รูปภาพ:http://www.womenshealthmag.com/sites/womenshealthmag.com/files/styles/slideshow-desktop/public/shutterstock_141717046.jpg

ร่างกายมนุษย์มีส่วนประกอบที่ทำจากน้ำถึง 70% ( แม้แต่สมองของเราก็มีน้ำอยู่ด้วยนะ! ) เธอจึงต้องดื่มน้ำเปล่าสะอาดเรื่อยๆ ตลอดทั้งวัน ห้ามให้ร่างกายขาดน้ำเด็ดขาด เพราะระดับการขาดน้ำของร่างกายจะส่งผลต่อตัวเลขน้ำหนักตัวได้ค่ะ

เมื่อร่างกายขาดน้ำ หากชั่งน้ำหนักแล้วอาจจะเหมือนว่า " ผอมลง " เพราะตัวเลขลดไป 1-2 กิโลกรัม แต่มันจะเด้งกลับมาเท่าเดิมทันทีที่เธอดื่มน้ำเติมเข้าไป แค่น้ำเปล่าแก้วเดียวก็อาจเพิ่มขึ้นมาถึง 1-2 ขีดเลยทีเดียว

สาเหตุอีกอย่างคือ ผู้คนมักสับสนระหว่าง " กระหายน้ำ " กับ " หิวข้าว " เมื่อรู้สึกอยากกินอะไรสักอย่าง คนส่วนใหญ่จะกินอาหารทันทีทั้งทีแค่ดื่มน้ำก็อิ่มแล้ว ดังนั้นต้องมีสติทุกครั้งเมื่อจะหยิบอะไรเข้าปาก ทดสอบง่ายๆ ด้วยการดื่มน้ำเปล่าแก้วหนึ่งก่อน ถ้ายังรู้สึกหิวอยู่ค่อยกินมื้อหลักค่ะ ^^


2. อยู่ในช่วงมีประจำเดือน

รูปภาพ:http://www.womenshealthmag.com/sites/womenshealthmag.com/files/styles/slideshow-desktop/public/shutterstock_253868341.jpg

จะถือว่าเป็นข้อเสียในการเป็นผู้หญิงก็ได้ เพราะเธอต้องมี " ประจำเดือน " ! ฮอร์โมนโพรเจสเทอโรนและเอสตร้าไดออล ( ฮอร์โมนเพศ ) ทำให้ร่างกายพองและบวมน้ำ ใส่กางเกงยีนส์คับติ้ว พุงปลิ้นไปอีก แขม่วยังไงก็ไม่ยุบอีกด้วย ถ้ามีเหตุต้องใส่ชุดรัดรูปในตอนนี้คือหายนะสุดๆ TTนอกจากรูปร่างที่เปลี่ยนกระทันหันแล้ว อาการหิวโหยก็มา! อยากกินขนมหวานทุกอย่างที่ขวางหน้า ซึ่งอาการนี้มาจากการผันผวนของฮอร์โมนในร่างกายและระบบเผาผลาญที่เพิ่มสูงขึ้น สมองจะรู้สึกว่าขาดน้ำตาลกลูโคส ทำให้เธออาจกินอาหารเยอะกว่าเดิมได้ถึง 100-200 แคลอรี่ โดยเฉพาะวันที่ " มามากเป็นพิเศษ " ยั้งสติตัวเองไม่อยู่ ตาขวาง ถ้าไม่ได้กินน้ำตาลจะลงแดงเสียให้ได้ภาวะก่อนมีประจำเดือน ระดับแมกนีเซียมจะลดลง ทำให้ระดับอินซูลินในเลือดต่ำ ทำให้เธอหิวโหยขนมหวานมากขึ้น และในที่สุดก็อ้วนขึ้นนั่นเองค่ะ


3. พฤติกรรมในการ " ขับถ่าย "

รูปภาพ:http://www.womenshealthmag.com/sites/womenshealthmag.com/files/styles/slideshow-desktop/public/shutterstock_306463202.jpg

พฤติกรรมการขับถ่ายในแต่ละวันก็สำคัญนะ! ถ้าเธอท้องผูก ไม่ขับถ่ายหลายวันเข้า อุจจาระจะแข็งตัวและส่งผลให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นได้ ( เพราะไม่ถ่ายออก ) สังเกตได้ว่าถ้าวันไหนเธอท้องเสีย ลองชั่งน้ำหนักดูจะเห็นว่าตัวเลขลดลงไปถึง 2-3 กิโลกรัมเลยทีเดียว หรือถ้าทำดีท็อกซ์ล้างอุจจาระในลำไส้ น้ำหนักก็ลดลงเช่นกันค่ะ

เพื่อหลีกเลี่ยงอาการท้องผูก เธอควรกินผักและผลไม้ที่ช่วยในการขับถ่าย เช่น มะละกอ กล้วย แอปเปิล ส้มและมะม่วงสุก ผักสดก็ใช้ได้เพราะมีไฟเบอร์ อย่าลืมดื่มน้ำอุ่น 2 แก้วหลังตื่นนอนเพื่อทำให้ลำไส้ทำงานเต็มที่ เท่านี้ก็ขับถ่ายคล่อง สบายตัวไปอีก!


4. ชั่งน้ำหนักขณะที่ใส่ " รองเท้า "

รูปภาพ:http://www.womenshealthmag.com/sites/womenshealthmag.com/files/styles/slideshow-desktop/public/shutterstock_264457922.jpg

สาวๆ หลายคนที่อาจมองข้ามข้อนี้ไป โดยเฉพาะคนที่ไม่มีเครื่องชั่งน้ำหนักในบ้าน! ทุกครั้งที่ชั่งน้ำหนักในห้าง เธอจะเผลอขึ้นไปทั้งที่ใส่รองเท้าอยู่ บางคนมีทั้งกระเป๋าเงิน เครื่องประดับอย่างกำไล ต่างหู เสื้อผ้าบางชนิด เช่น เสื้อโค้ทก็ทำให้น้ำหนักของเธอพุ่งอย่างผิดปกติได้ค่ะ

ทางแก้ก็ไม่มีอะไรมาก ถอดรองเท้าและเครื่องประดับให้เรียบร้อยก่อนขึ้นชั่งน้ำหนัก! ถ้าเป็นไปได้ซื้อไว้สักเครื่องวางไว้ที่ห้องน้ำในบ้าน ชั่งทุกเช้่าหลังขับถ่าย เพราะนั่นคือน้ำหนักที่แท้จริงของเธอไงล่ะ!

*เกร็ดน่ารู้ : เนื่องจากช่วงที่เธอนอนหลับ ไม่มีอาหารใดๆ ตกถึงท้อง ทำให้ร่างกายขับของเหลวส่วนเกินออกมา จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมเธอปัสสาวะเยอะหลังตื่นนอน และไม่มีน้ำหนักตกค้างจากมื้ออาหารที่ผ่านมาอีกด้วย ( ถ้าชั่งตอนเย็น จะมีน้ำหนักตกค้างจากมื้อเช้าและมื้อเที่ยง เพราะยังย่อยไม่หมดนั่นเองค่ะ )




5. กินอาหารที่ " คิดว่า " มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ( แต่จริงๆ ไม่มี )

รูปภาพ:http://www.womenshealthmag.com/sites/womenshealthmag.com/files/styles/slideshow-desktop/public/shutterstock_182011331.jpg

สาวๆ น่าจะตกม้าตายที่ข้อนี้กันเยอะ! ไม่มีความรู้ด้านโภชนาการ หลงเชื่อคำโฆษณาจากเจ้าของแบรนด์อาหารยี่ห้อต่างๆ ที่มักล่อตาล่อใจลูกค้าด้วยคำว่า " ไขมันต่ำ ( low-fat ) ", แป้งน้อย ( low-carb ), โซเดียมต่ำ ( low-sodium ) และน้ำตาลน้อย ( low-sugar )

ในการผลิตอาจมีส่วนผสมของสิ่งเหล่านี้น้อยก็จริง แต่เพื่อไม่ให้รสชาติเสียความอร่อย ทางผู้ผลิตจะเติม " อย่างอื่น " มาแทนสิ่งที่หายไป เช่น โยเกิร์ตน้ำตาลน้อย ไขมันต่ำ แต่เติมแป้งลงไปแทน เป็นต้น

จงจำไว้ว่า อาหารที่บอกว่า " ไขมันต่ำ ", " โซเดียมต่ำ " ไม่ได้หมายความว่าแคลอรี่จะน้อยตามไปด้วย และคำว่า " ต่ำ " ก็แปลว่ายังมีส่วนผสมนี้อยู่ ถ้ากินเยอะเกินความเหมาะสมก็อ้วนอยู่ดี รู้ตัวอีกทีเธอก็จ้วงกินโยเกิร์ตเพลินจนได้รับแป้งเข้าร่างกายจนไม่ต้องกินข้าวแล้ว -.- ดังนั้นจงมีสติทุกครั้งในการเลือกซื้ออาหารนะคะ


6. กินแป้ง ( คาร์โบไฮเดรต ) มากกว่าปกติ

รูปภาพ:http://www.womenshealthmag.com/sites/womenshealthmag.com/files/styles/slideshow-desktop/public/thinkstockphotos-78718317.jpg

การกินอาหารประเภท " คาร์โบไฮเดรต " มากเกินไป ( โดยเฉพาะแบบขัดสี เช่น ขนมปังหรือแป้งขาว ) จะทำให้ร่างกายเปลี่ยนแป้งเป็น " ไกลโคเจน " และเก็บไว้ในกล้ามเนื้อเพื่อเป็นพลังงาน กระบวนการนี้ทำให้ร่างกายกักเก็บน้ำโดยอัตโนมัติ เป็นสาเหตุที่ทำให้อ้วนขึ้นไม่รู้ตัว

ทั้งนี้ทั้งนั้น คาร์โบไฮเดรตก็ไม่ใช่ศัตรูตัวฉกาจไปเสียทั้งหมด หากเลือกชนิดที่ถูกต้องและกินในปริมาณที่เหมาะสม เช่น โฮลเกรน, โฮลวีต, ผลไม้ไม่หวานและถั่วต่างๆ ทำให้มีพลังงานในชีวิตประจำวัน เพิ่มวิตามินและแร่ธาตุที่มีประโยชน์อีกด้วย

ลดข้่าวขาว เพิ่มข้าวกล้อง หรือลดขนมปังขาว เพิ่มขนมปังโฮลวีตในมื้ออาหาร เท่านี้น้ำหนักก็ลดลงชิวๆ และยังสุขภาพดีขึ้นอีกด้วย อย่าอดแป้งในการไดเอทเป็นอันขาด เพราะหากตบะแตกน้ำหนักจะเด้งกลับคืนมาสองเท่า หรือที่เรียกว่า " โยโย่เอฟเฟ็กต์ " นั่นเองค่ะ


7. พักผ่อนไม่เพียงพอ / อดนอน

รูปภาพ:http://www.womenshealthmag.com/sites/womenshealthmag.com/files/styles/slideshow-desktop/public/thinkstockphotos-485841736.jpg

" กินอิ่ม นอนหลับแล้วจะผอม " เป็นคำพูดที่ไม่เกินจริงนัก! ถ้าเธอพักผ่อนในช่วงกลางคืนอย่างเพียงพอ ระบบฮอร์โมนในร่างกายจะทำงานเป็นปกติและทำให้ลดน้ำหนักได้ง่ายขึ้น ในทางกลับกัน ถ้าเธออดนอน ขอบตาดำคล้ำเหมือนเป็นฝาแฝดกับแพนด้า ระบบในร่างกายจะเริ่ม " รวน "

ร่างกายจะปล่อยฮอร์โมนความเครียด " คอร์ติซอล " ออกมาและเพิ่มการผลิตฮอร์โมน " อินซูลิน " หลังมื้ออาหาร ซึ่งฮอร์โมนทั้งสองตัวนี้ทำให้เกิดไขมันสะสมเพิ่มขึ้น ส่งผลต่อน้ำหนักตัว ทำให้อ้วนขึ้นค่ะ

การนอนหลับก็คล้ายกับการมีประจำเดือน เพราะสองสถานการณ์นี้ล้วนเกี่ยวข้องกับฮอร์โมน เมื่อเธออดนอน ฮอร์โมน " เลปติน " กับ " เกรลิน " จะรวน เลปตินที่ช่วยควบคุมความหิวจะน้อยลง แต่เกรลินที่ทำให้หิวโหยจะเพิ่มขึ้น ผลลัพธ์ก็คือกินเยอะเกินจำเป็น ทำให้อ้วนไงล่ะ


8. ดื่ม " โปรตีนเชค " มากเกินไปหลังออกกำลังกาย

รูปภาพ:http://www.womenshealthmag.com/sites/womenshealthmag.com/files/styles/slideshow-desktop/public/thinkstockphotos-467111757.jpg

อุตส่าห์เป็นสาวเฮลตี้ สมัครสมาชิกรายปีที่ฟิตเนสใกล้บ้าน ชุดพร้อม อุปกรณ์พร้อม ( หน้าก็เต็มนะจ๊ะขอบอก ) แต่ทำไมอ้วนขึ้นล่ะ TT สังเกตง่ายๆ ด้วยอาหารเสริมที่เธอกินนั่นแหละค่ะ กระแสเครื่องดื่มของนักกีฬาในขณะนี้คือ " โปรตีนเชค " ที่ชงง่าย รสชาติอร่อย ฟื้นฟูพลังงานได้ดี สามารถพกมาดื่มที่ฟิตเนสได้ชิวๆ หารู้ไม่ว่าเกินความจำเป็นต่อร่างกาย!

ถ้าเธอเพิ่งกินอาหารมื้อหลักมาไม่นาน การดื่ม " โปรตีนเชค " จะกลายเป็นพลังงานส่วนเกินทันที แม้จะมีโฆษณาออกมาว่าเครื่องดื่มชนิดนี้จะช่วยเสริมกล้ามเนื้อ แต่การกินข้าวกล้อง อกไก่ หรือผักที่เป็นเนื้อเป็นหนังจะส่งผลดีต่อร่างกายมากกว่าค่ะ

ทั้งนี้ทั้งนั้น เธอสามารถกินทั้งอาหารมื้อหลักและโปรตีนเชคได้ ถ้าเธอออกกำลังกายหนักมาก เช่น เป็นนักกีฬาทีมชาติที่ต้องฝึกซ้อมหลายชั่วโมงต่อวัน แต่นักโภชนาการก็ยังไม่แนะนำเจ้าเครื่องดื่มนี้สักเท่าไหร่ เพราะน้ำตาลและสารเคมีสังเคราะห์สูง ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอไม่ควรนำเข้าร่างกายหลังออกกำลังกาย เพราะจะทำให้ที่เผาผลาญไปนั้นสูญเปล่า!

( วิ่งเอาไขมันออก แต่เติมน้ำตาลเข้าไปอีก แล้วจะวิ่งทำไมล่ะนั่น = = )


==================================

อ่านเหตุผลทั้ง 8 ข้อนี้ทำให้เธอรู้ว่า " การเดินทางสายตรงอาจไม่ได้ผลลัพธ์ตามนั้นเสมอไป " การลดน้ำหนักไม่ใช่สูตรคณิตศาสตร์ที่ 1+1 = 2 แต่ระบบร่างกายมีอะไรซับซ้อนมากกว่านั้น บางครั้งอาจมีปัจจัยอื่นที่ไม่สามารถควบคุมได้เข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้น้ำหนักบนตาชั่งไม่เป็นไปอย่างที่เราต้องการค่ะ

เพื่อไม่ให้ตัวเองต้องรู้สึกเครียด วิตกจริตกับตัวเลขบนตาชั่งมากเกินไป อย่ามัวแต่สนใจแค่น้ำหนัก แต่โฟกัสที่รูปร่างดีกว่า ถ้าไขมันย้อยๆ หายไป ร่างกายกระชับและมีกล้ามเนื้อมากขึ้น ก็บรรลุเป้าหมายการมีสุขภาพดีแล้ว หากควบคุมอาหารอย่างดี ออกกำลังกายเป็นประจำ หุ่นก็จะค่อยๆ เข้าที่เองค่ะ เชื่อเราสิ *_*


หุ่นดีไม่จำเป็นต้องผอมแห้ง แค่มีสัดส่วนชัดเจน ไม่มีไขมันส่วนเกิน กล้ามเนื้อกระชับก็เพียงพอแล้วล่ะ สู้ๆ นะคะสาวซิสต้าทุกคน แล้วเจอกันใหม่ค่ะ >w<

==================================

บทความที่เกี่ยวข้อง