ถ้าพูดถึงประเทศญี่ปุ่นเมืองที่เที่ยวครบรสที่สุด ก็คงหนีไม่พ้นโอซาก้า

เมืองแห่งสีสันและเป็นเมืองยอดฮิตสำหรับนักท่องเที่ยว ไม่ว่าจะสายช้อปปิ้ง สายกิน สายเที่ยวเน้นธรรมชาติหรือบรรยากาศ ต้องตะลุยที่โอซาก้าเลยค่ะซึ่งเมืองโอซาก้าเป็นเมืองที่อยู่ในภูมิภาคคันไซ อีกทั้งยังสามารถไปชมวัฒนธรรม เมืองเก่าอย่างเกียวโตหรือจะไปกินเนื้อแบบจุใจที่โกเบก็ยังได้ เพียงนั่งรถไฟไม่ถึงชม. เท่านั้น

สำหรับใครที่กลัวหลงเวลาเดินทางในต่างประเทศ บอกเลยว่าประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศที่เดินทางง่าย ไม่หลงแน่นอน เพราะสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ อยู่ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้า ไปเองง่ายมากไม่ต้องง้อทัวร์  ถ้าใครได้มาเยือนโอซาก้าต้องหลงรักเมืองนี้อย่างแน่นอนค่ะ วันนี้เราจะพาเพื่อนๆ ไปตะลุยท่องโลกโอซาก้าไปด้วยกัน ตามมาเลย!!

Day 1 ( สนามบินนานาชาติคันไซ >> Bespoke Hotel Shinsaibashi >> ตลาดคุโรมง >> orange street )

ทริปนี้ทางเราก็บินตรงจากดอนเมืองมาลงสนามบินนานาชาติคันไซ ( KIX ) กับสายการบิน Thai Airasia X  พอถึงสนามบินสิ่งที่อยากแนะนำเพื่อนๆ ก็คือการซื้อบัตร Icoca เพื่อความสะดวกรวดเร็วในการเดินทาง ซึ่งบัตรนี้เป็นบัตรเติมเงินที่สามารถใช้แทนเงินสดได้ และใช้แทนตั๋วรถไฟฟ้าได้อีกด้วยไม่ต้องควักหาเหรียญให้วุ่นวายอีกต่อไป

เอาล่ะ เรามาเดินทางเข้าสู่ตัวเมืองโอซาก้ากันเถอะ รอบนี้เดินทางโดยใช้รถไฟสาย Nankai Airport Express มุ่งหน้าไปยังโรงแรมที่ทางเราได้ทำการจองไว้ผ่าน Agodaนั่นก็คือโรงแรม Bespoke Hotel Shinsaibashiเป็นโรงแรมที่อยู่ใจกลางโอซาก้า อยู่ติดกับถนนช้อปปิ้ง Shinsaibashi เพียงแค่ 580 เมตร และอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟใต้ดิน Nagahoribashiเดินประมาณ 5 นาทีถึง การเดินทางจึงค่อนข้างสะดวกสบาย

รูปภาพ:รูปภาพ:

หลังจากเก็บสัมภาระเรียบร้อยเราก็มาตะลุยสถานที่แรกกันที่ตลาดคุโรมง( Kuromon Ichiba Market )เป็นตลาดอาหารสดที่มีทั้งเนื้อโกเบ ซูชิหน้าล้น ขาปูยักษ์ รวมไปถึงของหวานต่างๆ มีมาให้เลือกทานเยอะแยะมากมาย รับรองว่าอร่อยทุกร้าน ทุกอย่างจริงๆ กินกันตัวแตกไปเลย เรียกได้ว่าเป็นตลาดของกินยอดฮิตสำหรับนักท่องเที่ยว ใครไม่มาถือว่าพลาดมากกก

เวลาเปิด-ปิด : 9.00 – 18.00 น.

การเดินทาง:สถานีรถไฟใต้ดินNippombashi สาย Sakaisuji Line( Exit 10 )

รูปภาพ:รูปภาพ:

กินอิ่มไม่พอ ขอต่อด้วยช้อปปิ้ง นอกจากถนน Shinsaibashi ที่เป็นย่านช้อปปิ้งที่ใหญ่ที่สุดในโอซาก้าแล้วยังมีอีกถนนนึงที่อยู่ระหว่างย่าน Shinsaibashi กับ Numba นั่นก็คือถนนOrange Streetเป็นย่านที่ขายเสื้อผ้า Street  ร้านคาเฟ่ชิคๆ คูลๆ ซึ่งแต่ละร้านก็จะมีสไตล์ของตัวเองอย่างชัดเจนเป็นอีกย่านในโอซาก้าที่ควรลงลิสต์ในรายการเที่ยว สำหรับใครที่แบกกล้องเที่ยวบอกเลยว่าย่านนี้มีหลายมุมให้ถ่ายรูป ได้อัพลงไอจีแบบรัวๆ เลยแหละ

เวลาเปิด- ปิด : แล้วแต่ร้านมีเวลาเปิดปิดไม่เท่ากัน

การเดินทาง: สถานี Yotsubashi หลังจากนั้นเดินต่ออีก 3 นาที

Day 2 ( Universal Studio Japan )

รูปภาพ:

สำหรับวันที่ 2 ทางเราจะใช้ชีวิตทั้งวันอยู่ในสวนสนุกแห่งนี้ เพราะเป็นสถานที่ที่ชื่นชอบมากที่สุด ใครสาย ลุย ชอบเล่นเครื่องเล่นหวาดเสียว หรือใครที่เป็นแฟนหนังดังอย่าง Harry Potter แบบทางเราต้องห้ามพลาด เพราะ Universal Studio Japan เป็นที่เดียวในเอเชียที่มีโซน Harry Potter

นอกจากโซนแฮร์รี่แล้ว ยังมีโซนอื่นๆ ที่มาจากหนัง และการ์ตูนดังมากมาย เช่น Minion, Spiderman , Jurassic Park ให้เราได้เลือกเล่นแต่ละโซนเหมือนเราหลุดไปอยู่ในโลกของโซนนั้นๆ เลยแหละ

รูปภาพ:

เตรียมตัวก่อนเข้าUSJ

ในส่วนของบัตรเข้าสวนสนุกทางเราได้ทำการจองผ่านแอปพลิเคชัน Klook สามารถต่อแถวเข้าสวนสนุกได้เลย เราจะได้เป็น voucher ที่มี QR code มา ใช้ตัวนี้แหละสแกนเข้าสวนสนุกซึ่งสะดวกสบายมาก แนะนำให้เพื่อนๆ ซื้อบัตรมาก่อนล่วงหน้า พอถึงหน้างานจะได้ไม่ต้องมาต่อแถวแลกบัตรให้เสียเวลา

อีกสิ่งที่จำเป็นก็คือการศึกษาแผนที่ของทาง USJ  เพราะสวนสนุกที่มากมายหลายโซนและค่อนข้างใหญ่ การศึกษาแผนที่ช่วยให้เราไม่หลง และเรียงลำดับเครื่องเล่นที่จะเล่นได้ นอกจากนี้ควรดูพยากรณ์อากาศว่าวันนั้นอากาศเป็นอย่างไร จะได้เตรียมตัวให้พร้อมก่อนวันไป

ตะลุยUSJ ฉบับไม่มีExpress Pass

รูปภาพ:รูปภาพ:

บอกก่อนว่าทางเรารีบมาก ไปถึงตั้งแต่ 8 โมงกว่าๆ สวนสนุกเปิด 9:30 น. เลยมีเวลาถ่ายรูปหน้าลูกโลกที่ถือว่าเป็นแลนด์มาร์คของ USJ และคนค่อนข้างน้อยไม่ต้องแย่งกับใครสาเหตุที่ต้องมาแต่เช้าเนื่องจากทางเราไม่ได้ซื้อบัตร Express Pass มาเลยต้องมาต่อแถวเพื่อเข้าคิว พอประตูเปิดก็วิ่งกันสุดชีวิตเพื่อที่จะได้เล่นคิวแรกๆ

ทุกคนต่างก็มีเป้าหมายเดียวกันคือโซน The Wizarding World of Harry Potter  เพราะเป็นโซนฮิตฮอตของที่นี่ปกติเครื่องเล่นหลักอย่าง“Harry Potter and the Forbidden Journey in 4K3D”ต้องรออย่างต่ำก็ ประมาณ 1 ชั่วโมง  แต่เราแต้มบุญสูงมาก แทบไม่ต้องรอเครื่องเล่นเลย

รูปภาพ:

พอเข้ามาโซนแฮร์รี่ บอกเลยว่าถ้าเป็นสาวกแฮร์รี่แบบเราต้องน้ำตาแตกแน่ๆ เพราะจะต้องประทับใจตั้งแต่ทางเข้าเสียงดนตรีที่ประกอบในโซนนี้ พนักงานที่แต่งกายด้วยชุดนักเรียนฮอกวอร์ต สถานีรถไฟคิงส์ครอส เลขที่ 9 ¾รวมไปถึงหมู่บ้าน Hogsmeade ที่เป็นหมู่บ้านของเหล่าผู้วิเศษมากมาย มีทั้งร้านค้าต่างๆ เช่น ร้านน้ำชาของมาดามพุดดี้ฟุต ร้านไม้กวาดสามอัน ร้านลูกอมฮันนี่ดุกส์ทำให้เรารู้สึกเหมือนอยู่อีกมิตินึง ราวกับหลุดไปอยู่ในโลกเวทมนตร์

รูปภาพ:

แน่นอนเลยว่าติ่งแฮรี่แบบทางเราก็ไม่พลาดที่จะเข้าไปซื้อผ้าพันคอของเหล่าบ้านทั้ง 4 ในฮอกวอตส์ซึ่งหมวกคัดสรรก็ได้เลือกให้เราอยู่บ้านสลิธีริน เลยจัดผ้าพันคอบ้านสลิธีรินมา ในราคา 4900 Yenและซื้อของฝากจากบ้านแฮร์รี่อีกมากมาย บอกเลยว่าล้มละลายกันเลยทีเดียว

รูปภาพ:

นอกจากนี้ ก็ยังมีโซนที่ฮิตฮอตอีกหลายโซนอย่าง โซนมินเนี่ยน ที่มีนักท่องเที่ยวหลากหลายวัยในโซนนี้ใครไปต้องหลงรักเจ้ามินเนี่ยนอย่างแน่นอน ทั้งความน่ารักสุดแสนคัลเลอร์ฟูล และความกวนของเหล่ามินเนี่ยน ทำเอาทางเราเอ็นดูน้องเป็นอย่างมาก

รูปภาพ:รูปภาพ:

หลังจากเล่นเครื่องเล่นDespicable Me Minion Mayhemเสร็จก็แวะมาช้อปปิ้งกันต่อได้ในร้านค้ามินเนี่ยน มีทั้งของฝาก ที่คาดผมน่ารักๆ รวมไปถึงตุ๊กตามินเนี่ยน แต่ขอเตือนไว้ก่อน กำเงินในกระเป๋าให้แน่นๆ น้า ตรงที่เป็นแหล่งละลายทรัพย์เลยแหละ

เวลาเปิด– ปิด: เปิดทำการทุกวันตั้งแต่ 8.30 – 21.00 ( เวลาเปิดและปิดจะไม่เท่ากันในแต่ละวัน ยังไงก็เช็คในเว็บของ Universal Studio Japan กันก่อนน้า )

การเดินทาง: ขึ้นรถไฟ JR สาย Yumesaki Line ไปยังสถานี Universal City


จบกันไปแล้วกับ 2 วันเต็มๆ ในการเดินทาง เห็นมั้ยว่าเที่ยวง่ายมาก ขนาดทางเราไปครั้งแรกยังไม่มีหลงเลย แต่บอกเลยว่าทริปนี้ทางเราเดินเหนื่อยมาก แต่สนุกมากเช่นกัน  สำหรับใครที่จะไปตามรอยเราก็เตรียมตัวเตรียมร่างกายให้พร้อม

เพราะเราไม่นั่งแท็กซี่ ใช้รถไฟฟ้าและเดินเท่านั้น

บอกเลยว่าเมื่อยกันไปข้าง

การเดินทางของเรายังไม่จบเพียงเท่านี้ ใครอยากตะลุยไปกับเราต่ออดใจรอนิดเดียว เจอกันใหม่ EP.2 นะคะ....