รูปภาพ:http://eppg.ru/wp-content/uploads/2014/08/picture-345.jpg

1. อาหารโลว์แฟท (Low-Fat) อาจเป็นตัวเพิ่มไขมันให้คุณได้

อาหารแบบโลว์แฟท หรืออาหารไขมันต่ำนั้น มักจะประกอบด้วยคาร์โบไฮเดรตคุณภาพต่ำ ซึ่งนอกจากจะไม่สามารถทำให้คุณอิ่มท้องได้นานแล้ว ยังให้พลังงานน้อยกว่าแบบไขมันปกติเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

รูปภาพ:https://i0.wp.com/oi52.tinypic.com/156beq0.jpg

2. การอดอาหารอาจทำให้คุณอ้วนมากกว่าเดิม

บางคนอาจคิดว่าการอดอาหารจะช่วยให้ลดน้ำหนักได้ แต่ความจริงแล้วการอดอาหารจะลดอัตราการเผาผลาญอาหารของร่างกายลง ทำให้คุณหิวมากขึ้น กินมากขึ้น และเก็บสะสมไขมันมากขึ้น จากงานวิจัยพบว่าการอดอาหารจะทำให้คุณอ้วนง่ายกว่าเดิม 4.5 เท่าเลยทีเดียว และอีกอย่าง การปล่อยให้ตนเองหิวจะกระตุ้นร่างกายให้หลั่งฮอร์โมนความเครียด ซึ่งหากเกิดขึ้นเป็นประจำจะทำให้เกิดโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ หรือโรคเบาหวานได้

3. พยายามอย่าทานอาหารด้วยความรวดเร็วจนเกินไป

เพราะโดยปกติแล้ว ร่างกายคนเราจะใช้เวลาประมาณ 20 นาทีกว่าสมองจะรับรู้ว่ากระเพาะเต็มแล้ว ดังนั้น หากเราทานอาหารด้วยความรวดเร็วจนเกินไป ก็จะทำให้เราทานมากจนเกินกว่าที่จำเป็น และเมื่อทานเสร็จก็จะรู้สึกแน่นท้องมากๆอีกด้วย

รูปภาพ:http://www.fitbie.com/sites/default/files/eating-pizza-watching-tv-ss.jpg

4. อย่าทานอาหารในขณะที่ดูหนัง

เพราะการดูหนังหรือดูโทรทัศน์ไปพร้อมๆกับการทานอาหารนั้น จะทำให้คุณทานเยอะขึ้นโดยไม่รู้ตัว จากการศึกษาโดยมหาวิทยาลัยเวอร์มอนท์ (USA) เปิดเผยว่าการลดเวลาดูโทรทัศน์ลงครึ่งหนึ่งสามารถช่วยลดปริมาณแคลอรี่ที่คุณนำเข้าสู่ร่างกายได้ 119 แคลอรี่ต่อวัน

รูปภาพ:http://du-dee.com/wp-content/uploads/2015/02/plates-portions.jpg

5. ใช้จิตวิทยาเข้าช่วย

จากงานวิจัยพบว่าอาหารชุดคอมโบจะมีแคลอรี่มากกว่าการอาหารปกติมักจะให้สารอาหารในปริมาณมากกว่าที่ร่างกายต้องการ และการตักอาหารคำเล็กลงเข้าปากช่วยให้ร่างกายมีเวลาจัดการกับอาหารมากยิ่งขึ้น ทำให้คุณไม่กินมากจนเกินไป การกินคำใหญ่มากขึ้นทำให้คนเรารับแคลอรี่เข้าร่างกายมากกว่า 52% เมื่อเทียบกับคนที่ตักอาหารคำเล็กกว่าแล้ว และการใช้จานขนาดเล็กกว่าคุณจะมีโอกาสกินน้อยกว่า รับแคลอรี่เข้าไปน้อยกว่าจานอาหารที่ขนาดเล็กกว่าเดิมแต่ตักอาหารปริมาณเท่าเดิม จะทำให้คุณมีความรู้สึกว่าทานเยอะ

รูปภาพ:http://static.naewna.com/uploads/userfiles/images/water.jpg

6. เลือกดื่มน้ำเปล่าให้มากขึ้น

การเลือกดื่มน้ำเปล่าแทนน้ำหวานหรือน้ำอัดลมจะช่วยให้คุณไม่รับน้ำตาลเข้าไปในร่างกายเพิ่มขึ้นนอกจากนี้ การดื่มเครื่องดื่มที่มีรสหวานจะยิ่งทำให้คุณรู้สึกกระหายและอยากอาหารมากขึ้นด้วย แต่ข้อควรระวังคือ ไม่ควรดื่มน้ำทีละมากๆในคราวเดียว เพราะอาจก่อให้เกิดสภาวะน้ำเป็นพิษเนื่องจากเลือดเจือจางได้สิ่งที่ควรทำคือค่อยๆดื่มทีละประมาณไม่เกินครึ่งแก้ว การดื่มน้ำเปล่าจะไม่ทำให้ร่างกายได้รับพลังงานเพิ่มขึ้น แต่ร่างกายต้องใช้พลังงานในการเผาผลาญน้ำ และน้ำเย็นจะช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงานได้

รูปภาพ:http://www.catdumb.com/wp-content/uploads/2014/10/Untitled6-630x508.jpg

7. อย่าทานอาหารมื้อดึก

คนเราไม่ควรทานมื้อเย็นหลังหกโมงเย็น และไม่ควรรับประทานอย่างอื่นนอกจากน้ำเปล่าในช่วงเวลาหลังสองทุ่ม เพราะอาหารที่ทานดึกมากๆจะไม่ได้ถูกย่อย และร่างกายก็จะดูดซึมเอาไปใช้ไม่ได้ดีเท่าที่ควร ทำให้อาหารเหล่านั้นกลายเป็นไขมันส่วนเกินตามส่วนต่างๆของร่างกายต่อไป และการทานอาหารดึกเกินไปแล้วเข้านอน อาจทำให้คุณเป็นโรคกรดไหลย้อนก็เป็นได้

8. ใช้ผลไม้เข้าช่วย

การทานแอปเปิ้ลสักชิ้นหลังมื้ออาหารจะช่วยเพิ่มน้ำลายซึ่งจะช่วยลดแบคทีเรียในช่องปากและช่วยให้เหงือกแข็งแรง และการทานสัปปะรดหรือมะละกอก่อนอาหารประมาณ 2-3 ชิ้น จะดีต่อกระเพาะอาหาร เพราะในผลไม้พวกนี้มีเอนไซม์ช่วยย่อย จะช่วยให้กระเพาะย่อยอาหารมื้อหลักที่ตามลงมาได้ง่ายขึ้น แต่ไม่ควรทานผลไม้ต่อหากในมื้อนั้นๆคุณทานเนื้อสัตว์ปริมาณมาก เพราะการจะย่อยโปรตีนจากเนื้อสัตว์นั้นต้องใช้เวลานานมาก ผลไม้ที่ย่อยเสร็จไปเรียบร้อยแล้วจะถูกกักอยู่ในกระเพาะอาหาร ทำให้เกิดเป็นกรดในกระเพาะอาหารได้

9. ผู้ชายที่รับประทานมะเขือเทศจะเสี่ยงเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากลดลง

เนื่องจากมะเขือเทศเป็นผลไม้ที่มีไลโคปีนสูง ผู้ชายที่รับประมานมะเขือเทศอย่างน้อยอาทิตย์ละ 10 ผล หรือมากกว่านั้น จะมีโอกาศเสี่ยงเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากน้อยลงถึง 45% ซึ่งการทำให้มะเขือเทศสุกก่อนรับประทานนั้นจะช่วยให้ไลโคปีนในมะเขือเทศออกมามากขึ้น