1. SistaCafe
  2. วิธี แก้ปัญหา 'หลุมสิว' ให้หน้าเนียนสวย ใสปิ๊ง

ถ้าพูดเรื่องความสวยความงาม รับรองว่าไม่มีปัญหาไหนจะน่าปวดหัวเท่ากับเรื่องสิว ซึ่งเป็นบ่อเกิดของจุดด่างดำและหลุมสิวอีกแล้วววววว เพราะคงไม่มีสาวๆ คนไหนอยากจะมีปัญหาทั้งจุดด่างดำและหลุมสิวเป็นแน่โดยเฉพาะเจ้าหลุมสิวเนี่ยทำยังไงก็ไม่หาย อาจจะต้องถึงขั้นหาหมงหาหมอเลยทีเดียว แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ต้องพยายามแหละ ก็อยากหน้าเนียนสวยนี่นา แล้วจะมีวิธีไหนบ้างนะที่จะช่วยให้หลุมสิวเราดีขึ้นได้ ไปดูกันเล้ยยย

ภาพประกอบบทความ:sistacafe-assets:____%2Fc%2F23587%2F3887a5fa-6059-4ba8-a6e1-e34cbdd80879.jpeg?v=20240306172157&ratio=0.725

ก่อนอื่นเรามารู้กันก่อนว่าหลุมสิวเกิดจากอะไรหลุมสิวเกิดจากการที่ผิวถูกทำลายจนถึงชั้นหนังแท้ ทำให้เกิดแผลเป็นบริเวณใต้ผิวหนัง จนกระทั่งกลายเป็นพังผืดดึงรั้งผิวบริเวณนั้นให้กลายเป็นหลุมลึกลงไป การรักษาหลุมสิวจึงเป็นไปได้ยาก เพราะผิวบริเวณนั้นไม่เนียนเรียบเสมอผิวบริเวณอื่นนั่นเอง

ภาพประกอบบทความ:sistacafe-assets:____%2Fc%2F23587%2Fd402b7f0-7991-42b2-961b-451fd2ee8b4f.jpeg?v=20240306172157&ratio=0.666

ประเภทของหลุมสิว



1. Rolling scarหลุมสิวแบบตื้นสุด ค่อนข้างจะรักษาง่าย เกิดจากการที่เมื่อเป็นสิวแล้วเราไปแกะเกาบริเวณที่เป็นนั่นเอง

2. Box scarเป็นหลุมสิวที่ลึกลงมาหน่อย แต่ไม่ลึกถึงขนาดผิวชั้นหนังแท้

3. Ice pick scarเป็นหลุมสิวแบบลึกถึงผิวชั้นหนังแท้ ทำให้รักษายากและทำให้ผิวไม่น่ามอง ต้องใช้วิธีพิเศษในการรักษานั่นเอง

ภาพประกอบบทความ:sistacafe-assets:____%2Fc%2F23587%2F8cef9d44-9c2e-4211-813b-4175d7e973d9?v=20240306172157&ratio=1.000

ความจริงแล้ววิธีที่ดีที่สุดคือการป้องกันไม่ให้เกิดหลุมสิว แต่หากว่าเกิดแล้วนั้นเราก็ต้องมาหาวิธีรักษา แต่บอกก่อนว่าการรักษาหลุมสิวนั้นต้องใช้เวลา และใช้เงินพอสมควร หากรายที่เป็นมากอาจจะต้องใช้เงินรักษาเป็นจำนวนที่มากขึ้นด้วยวิธีดูแลรักษาหลุมสิวแรกเริ่มนั้นเริ่มจากการดูแลผิวหน้าให้ถูกวิธีใช้ Cleanser ทุกครั้งก่อนล้างหน้าเพื่อล้างเครื่องสำอาง สิ่งสกปรกที่อุดตันในรูขุมขนให้หมด จากนั้นจึงล้างหน้าด้วยโฟมที่เหมาะกับสภาพผิวหน้า ถ้าให้ดีควรเลือกโฟมล้างหน้าที่มีส่วนผสมของ BHA หรือ AHA เพราะจะช่วยผลัดเซลล์ผิวหน้า ช่วยให้ผิวหน้าดูเรียบเนียนขึ้น

ภาพประกอบบทความ:sistacafe-assets:____%2Fc%2F23587%2F2b0a5e05-5486-4416-9ab1-a751dcda42e1.jpeg?v=20240306172157&ratio=1.000ภาพประกอบบทความ:sistacafe-assets:____%2Fc%2F23587%2F1b69e9ba-500a-4c86-a6b8-4de487c4365f.jpeg?v=20240306172157&ratio=1.000

ครีมบำรุงผิว เลือกที่มีส่วนผสมของเรตินเอ หรือใครจะใช้อนุพันธ์วิตามินเอทาผิวหน้าก่อนนอนก็ได้ เนื่องจากมีคุณสมบัติในการผลัดเซลล์ผิวหน้า จึงทำให้หลุมสิวชนิดไม่ลึกดูตื้นขึ้นเพียงแต่ต้องระวังเรื่องความชุ่มชื้น และไม่ควรทาเรตินเอทุกวัน ควรจะทาวันเว้นวันจะดีกว่า ส่วนวันที่ไม่ได้ทาก็สามารถทามอยส์เจอไรเซอร์ได้ตามปกติ

ภาพประกอบบทความ:sistacafe-assets:____%2Fc%2F23587%2F4e1a6bc8-8a04-4410-85b0-9f39716051f7.jpeg?v=20240306172157&ratio=1.000

แต่สำหรับหลุมสิวลึกๆ วิธีนี้อาจจะไม่ได้ผล แม้จะทำให้ผิวโดยรอบดูเนียนขึ้นก็ตาม แต่ส่วนที่เป็นหลุมลึกคงยังอยู่เหมือนเดิม ซึ่งส่วนที่เป็นหลุมลึกนั้น อาจจะต้องพึ่งพาการเลเซอร์ หรือวิธีการของแพทย์ ซึ่งปัจจุบันมีเลเซอร์หลายชนิดหลายแบบมากมายที่มีสรรพคุณในการดูแลรักษาเรื่องหลุมสิวเรามาดูดีกว่าว่า เลเซอร์แบบไหน ช่วยเรื่องหลุมสิวได้อย่างไรบ้าง

ภาพประกอบบทความ:sistacafe-assets:____%2Fc%2F23587%2Fba859803-a415-4df4-8355-2a4d54a53f0a.jpeg?v=20240306172157&ratio=0.728

1. การกรอผิวด้วยไม่โครคริสตัล


อาจจะยังไม่ถึงขั้นเลเซอร์ แต่เป็นการที่แพทย์ใช้ผงอัญมณีผลัดเซลล์ผิวหน้า วิธีนี้เหมาะสำหรับคนที่เป็นหลุมแบบไม่ลึกหรือเป็นหลุมระดับตื้นๆ ซึ่งเมื่อผลัดเซลล์ผิวแล้ว ร่างกายจะกระตุ้นให้ผิวหน้าสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ ช่วยให้ผิวดูสดใสขึ้น ซึ่งในการกรอผิวนั้นควรทำตั้งแต่สี่ครั้งขึ้นไปจึงจะเริ่มเห็นผล

ภาพประกอบบทความ:sistacafe-assets:____%2Fc%2F23587%2F4c6b5b20-807b-49e9-8711-14af522f23c8.jpeg?v=20240306172157&ratio=0.667ภาพประกอบบทความ:sistacafe-assets:____%2Fc%2F23587%2F7521a0ad-5c95-454c-90b5-b60ecc450eae.jpeg?v=20240306172157&ratio=0.622

2. การใช้กรด TCA

หรือชื่อเต็มคือ


Trichloroacetic Acid


เมื่อแต้มลงไปบริเวณหลุมสิวเฉพาะจุด ผิวบริเวณนั้นจะเกิดเป็นแผล และมีการกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจน ผิวจึงค่อยๆตื้นขึ้นแต่ไม่ใช่ว่าแต้มเพียงครั้งเดียวแล้วจะเห็นผลเลย การแต้ม TCA ควรทำโดยแพทย์เป็นประจำเท่านั้น ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาเลือกความเข้มข้นของกรดอย่างเหมาะสมเอง

ภาพประกอบบทความ:sistacafe-assets:____%2Fc%2F23587%2Fdeb676df-693c-465e-b0a6-bf83d05be12b.jpeg?v=20240306172157&ratio=1.000

3. Dermaroller


เป็นการใช้ลูกกลิ้งที่มีเข็มเล็กๆ กลิ้งไปบนผิวหน้า แต่ก่อนหน้าจะกลิ้งลูกกลิ้งไปบนผิวหน้านั้น ต้องโปะยาชาราวสี่สิบห้านาทีเสียก่อน หลังจากนั้นแพทย์จะกลิ้งเข็มไปเรื่อยๆ จนกว่าเราจะทนไม่ไหวประมาณสองสามรอบ เป็นอันเรียบร้อย โดยที่หลังทำนั้นผิวหน้าจะแดงอยู่ราวครึ่งชั่วโมง และหลังทำหนึ่งถึงสามวันผิวหน้าจะเริ่มตกสะเก็ดอาจจะเป็นสะเก็ดดำๆ อยู่ราวอาทิตย์นึง ก่อนสะเก็ดจะเริ่มตก และผิวจะดูใสสว่างขึ้น




ซึ่งการทำ Dermaroller ต้องทำราวสามครั้งขึ้นไป ซึ่งเหมาะสำหรับหลุมสิวทุกขนาด แต่จะได้ผลมากน้อยขึ้นอยู่กับแต่ละคนด้วย แต่จะได้ผลดีกว่าการกรอผิวไมโครคริสตัล รวมถึงราคาสูงกว่าด้วย

ภาพประกอบบทความ:sistacafe-assets:____%2Fc%2F23587%2Fdd3b944d-b95c-4a52-8490-a3ddb995ad43.jpeg?v=20240306172157&ratio=0.758ภาพประกอบบทความ:sistacafe-assets:____%2Fc%2F23587%2F2c7d12aa-1dbb-45fa-aa08-f9aad9609273.jpeg?v=20240306172157&ratio=0.667

4. เลเซอร์แบบต่างๆ



ปัจจุบันมีเลเซอร์หลากหลายชนิดที่มีสรรพคุณในการรักษาหลุมสิวขนาดลึก แต่ส่วนใหญ่จะใช้หลักการเดียวกัน คือการยิงเลเซอร์ลงไปทำให้ผิวหน้าเกิดแผลเป็นสะเก็ด และเมื่อตกสะเก็ดก็จะเผยให้เห็นผิวพรรณที่เรียบเนียนขึ้นด้วย เลเซอร์นั้นมีตั้งแต่

Fraxelเป็นการยิงแสงเข้าไปให้ผิวหน้าเกิดรูเล็กๆ มากมาย เกิดเป็นแผล เพื่อกระตุ้นให้เกิดการสร้างผิวใหม่ขึ้นมาFractional CO2ป็นการทำลายผิวหนังชั้นบน เพื่อให้ผิวหน้าเกิดขึ้นมาใหม่ ดูสดใสเรียบเนียนกว่าเดิม



IPL


เป็นการใช้แสงเพื่อกระตุ้นให้ผิวหน้าเกิดการสร้างคอลลาเจน จึงดูอิ่มเอิบ เต่งตึงขึ้น




fine scan

เป็นการยิงลำแสงเล็กๆ ไปกระตุ้นให้เกิดแผล และเกิดการสร้างผิวใหม่กับใบหน้านั่นเอง



ส่วนใหญ่แล้วเลเซอร์จะมีหลักการเดียวกันคือทำให้เกิดแผลที่ผิวหน้า เพียงแต่เทคโนโลยีที่แตกต่างอาจจะทำให้เกิดแผลในลักษณะที่ต่างกันนั่นเองที่สำคัญคือหลังทำเลเซอร์ ควรดูแลผิวหน้าตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัดด้วย


ภาพประกอบบทความ:sistacafe-assets:____%2Fc%2F23587%2F0b178b63-42ae-44b2-a202-3da603b04e7e.jpeg?v=20240306172157&ratio=0.675ภาพประกอบบทความ:sistacafe-assets:____%2Fc%2F23587%2Fc95d86ca-471e-4832-944d-ab76e1a335fc.jpeg?v=20240306172157&ratio=0.622

การทำเลเซอร์นั้น บางครั้งแพทย์จะทำร่วมกับการทำ Subcision ซึ่งเป็นการใช้เข็มเลาะพังผืดของผิวบริเวณที่เป็นหลุมออกไป เพื่อให้ร่างกายรักษาตัวเอง แต่หลังจากทำนั้นไม่ควรให้ผิวเจอแสงแดด เพราะอาจจะไหม้หมองคล้ำได้นั่นเอง


ภาพประกอบบทความ:sistacafe-assets:____%2Fc%2F23587%2F73b169fd-96e6-4829-9ca4-e712cf2a4b02.jpeg?v=20240306172158&ratio=0.318

นอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งวิธีหากเราไม่อยากทำเลเซอร์ คือการฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มผิวบริเวณที่เป็นหลุม ซึ่งจะอยู่ได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง อาจจะราวหกเดือน และอาจจะต้องไปฉีดซ้ำ แต่ข้อดีคือหลังฉีดไม่มีแผล และใช้ชีวิตได้ตามปกตินั่นเอง

ภาพประกอบบทความ:sistacafe-assets:____%2Fc%2F23587%2Fd36126c2-0c58-4cf6-a76c-0c8d505d7a41.jpeg?v=20240306172158&ratio=0.665

ถึงแม้ว่าปัจจุบันมีเทคโนโลยีที่ช่วยเรื่องหลุมสิวมากมาย แต่สาวๆ อย่างเราก็อย่าลืมว่า การดูแลผิวหน้าไม่ให้เกิดสิวซึ่งเป็นต้นเหตุของหลุมสิวนั้น เป็นวิธีที่ดีที่สุดและเสียเงินน้อยที่สุดด้วย พยายามรักษาความสะอาด และใช้ครีมบำรุงผิวให้เหมาะกับสภาพผิวหน้าของตัวเอง รับรองผิวใสค่ะ ^^ วันนี้ต้องขอตัวลาไปก่อน แล้วพบกันใหม่ บ๊ายบาย

เว็ปไซต์นี้ใช้คุกกี้

SistaCafe ให้ความสำคัญต่อข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน เพื่อการพัฒนาและปรับปรุงเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้โดยไม่มีการปรับตั้งค่าใดๆ แสดงว่าท่านยินยอมที่จะรับคุกกี้บนเว็บไซต์และนโยบายสิทธิส่วนบุคคลของเรา และ นโยบายการใช้คุกกี้