รูปภาพ:https://media.giphy.com/media/gHw3C5n5IfRWU/giphy.gif

ส...วั...ส...ดี... ค่าา สาวๆSistaCafeที่กำลัง' เป็นท้อ 'ทุกคนทักทายเสียงยานคางมาเลย ไม่ต้องแปลกใจ เพราะเราก็เซ็งเหมือนกันกับสถานการณ์บ้านเมืองช่วงนี้ ( แง ) ทั้งเรื่องโควิด เศรษฐกิจที่ล้มละลายลงไปเรื่อยๆ ผู้คนเดือดร้อน การไปเรียนต่อ ไปทำงานเมืองนอก หรือดำเนินธุรกิจของคนมากมายต้องหยุดชะงัก หนทางในการฉีดวัคซีนก็ยังเลือนลางอยู่รำไรข่าวก็มีแต่เรื่องแย่ๆ ป่วงๆ สาดโคลนกันไปมา ไปไหนก็ไม่ได้ เที่ยวทิพย์อยู่แต่ในบ้าน ใครต้อง work from home ก็อยู่กับสภาพแวดล้อมเดิมๆ จนเครียดสะสม burnout เข้าไปอีก บางครั้งตื่นมาตอนเช้าก็ไม่อยากลืมตาลุกขึ้นมาแล้วอ่า เหนื่อย! TTแม้ว่าจะเป็นสถานการณ์ที่ยากลำบากมากๆ หลายคนเสียทั้งเงิน ทั้งสุขภาพ หรือแม้แต่สมาชิกในครอบครัว และเราก็ไม่อยากไปสรรหาโอกาสหรือข้อดีที่เกิดจากมัน แต่ก็อยากให้สาวซิสทุกคนฮึบไว้ก่อน อดทนรอวันที่ทุกอย่างจะดีขึ้นอีกครั้ง!เราคงรู้กันอยู่แล้วว่าช่วงนี้ต้องดูแลตัวเองให้สุขภาพแข็งแรง ไม่ติดโควิด แต่จะต้องทำอย่างไรบ้างนั้น เรามาอ่าน' 7 ทริคบูสต์ร่าง ต่อสู้ความเมื่อยล้า 'ให้กลับมากระปรี้กระเปร่า กระตุ้นเอเนอร์จี้ได้อีกครั้งกันเลยดีกว่าค่า! (∩˃o˂∩)♡

1. เตรียมตัวไว้เสมอ ด้วยการ ' ตรวจสุขภาพประจำปี ' ทุกปี

รูปภาพ:https://www.i-pic.info/i/i5dx38590.jpg

เชื่อว่าซิสหลายๆ คนมองข้ามความสำคัญของข้อนี้ไป โดยเฉพาะคนที่ยังอายุน้อย ( 10 ปลายถึง 20 กว่าๆ ) เวลาป่วยก็คิดว่าไม่มีอะไรหรอก เดี๋ยวก็หาย อายุแค่นี้เอง หรือกลัว ไม่กล้าไปเพราะรับความจริงไม่ได้ แต่ที่จริงโรคร้ายมากมายที่เป็นได้โดยไม่จำกัดอายุ


เช่น ไขมันในเลือดสูง ความดัน เบาหวาน หรือแม้แต่มะเร็งระยะต้นที่ไม่แสดงอาการใดๆ รู้ตัวอีกทีก็ระยะ 3-4 สายเกินรักษาแล้ว สุดท้ายก็ต้องจากโลกนี้อย่างน่าเสียดาย

ถือว่าขอก็แล้วกัน สาวๆ ทั้งหลายขา จงไป ' ตรวจสุขภาพประจำปี ' กันเถอะ แพ็กเกจทั่วไปก็ยังดี ตรวจความปกติของเลือด ปัสสาวะ ช่องท้อง เต้านม ถ้าอายุ 20 ขึ้นไปและมีเพศสัมพันธ์แล้ว ก็ควรตรวจภายในด้วยเพื่อเช็กความผิดปกติของช่องคลอด รังไข่ มดลูก

มีผู้หญิงมากมายที่ไม่มีอาการอะไรเลย รู้ตัวอีกทีก็ปวดท้องมาก พอไปโรงพยาบาลถึงรู้ว่าเป็นซีสต์ เนื้องอกก้อนโตต้องรีบผ่าตัดด่วน ถ้าตรวจภายในตั้งแต่เนิ่นๆ ก็คงรักษาให้ฝ่อหรือตัดทิ้งได้ไปนานแล้ว ดังนั้นอย่าประมาทกับสุขภาพตัวเอง ยิ่งระบบภายในของเราก็ไม่ต่างกับระเบิดเวลาที่จะมาตอนไหนก็ไม่รู้ ถ้าตรวจพบอะไรผิดปกติจะได้รีบรักษา ไม่ถึงแก่ชีวิตนะคะซิส

2. เริ่มขยับเนื้อขยับตัว ออกกำลังกายตั้งแต่วันนี้

รูปภาพ:https://www.i-pic.info/i/5GA438588.jpg

แม้ช่วงนี้เทรนด์รักสุขภาพ กินคลีน เข้าฟิตเนสจะมาแรง แต่ก็ยังมีสาวๆ มากมายที่หัวเด็ดตีนขาดยังไงก็ไม่ชอบออกกำลังกาย เกลียดการขยับเนื้อตัว ไม่อยากเหนื่อย ไม่อยากมีเหงื่อให้เหม็น มีกลิ่นตัว ไม่ชอบ ( ดูเหตุผลแปลกๆ นะ แต่มีคนคิดแบบนี้จริงเด้อ )

ผลลัพธ์ที่ได้คือเนื้อนิ่มไปหมด ไม่ใช่นุ่มนิ่มน่ารักนะ แต่นิ่มแบบย้วยๆ เผละๆ ไม่เฟิร์ม บางคนย่ามใจว่ากินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน มีกรรมพันธุ์คนผอมช่วยไว้ แต่เชื่อเถอะว่าถ้ากินแต่ของหวาน มัน ทอด ยังไงก็ลงพุง ขาใหญ่ ก้นใหญ่หลบในอยู่ดี สุดท้ายก็มานอยด์ตัวเองในกระจก ไม่กล้าใส่ชุดสวยๆ อาย!

ถ้าเธอเป็นคนนึงที่เหนื่อย เพลียอยู่ตลอดเวลา สังเกตตัวเองก่อนเลยว่าได้ขยับตัวเผาผลาญอาหารที่กินไปบ้างหรือไม่? เข้าใจว่าเวลาเราเพลียๆ คงไม่มีใครอยากไปออกกำลังให้เสียเหงื่อเพิ่ม แต่!

มีงานวิจัยค้นพบว่าการออกกำลังกายเป็นประจำจะช่วยเพิ่มเอเนอร์จี้ ความสดชื่นกระปรี้กระเปร่า เหนื่อยน้อยลงได้จริง แม้เธอจะมีภาวะเป็นโรคมะเร็งหรือเหนื่อยง่ายก็ตาม บางงานวิจัยบอกว่าไปออกกำลังนี่แหละ ได้ผลดีกว่ากินยากระตุ้นต่างๆ อีก โดยเฉพาะในคนที่เป็นโรคสมาธิสั้น

อาการของเธอจะดีขึ้นค่ะ

มือใหม่ไม่รู้จะเริ่มยังไง เพียงหาเวลาออกกำลังง่ายๆ เช่น เดินจ๊อกกิ้ง เดินบนลู่วิ่ง เล่นโยคะ เต้นแอโรบิก 20-30 นาทีต่อวันเท่านั้น เมื่อชินแล้วจึงค่อยเพิ่มเวลาออกไปเรื่อยๆ ตามต้องการ เชื่อเถอะว่าร่างกายจะฟิตขึ้น สมองปลอดโปร่งขึ้นจนเธอต้องตกใจ!

3. ดื่มน้ำให้ร่างกาย ' ชุ่มชื้น อิ่มน้ำ ' อยู่เสมอ

รูปภาพ:https://www.i-pic.info/i/2Z7n38589.jpg

สาวๆ มากมายติดนิสัย ' ดื่มน้ำน้อย ' ด้วยหลากหลายสาเหตุกันออกไป เช่น ไม่อยากเข้าห้องน้ำบ่อย, ไม่มีเวลาดื่ม, ไลฟ์สไตล์ไม่เอื้อ หรือแค่ขี้เกียจ ซึ่งไม่ว่าจะเหตุผลไหน มันจะทำให้ร่างกายของเธอขาดน้ำ และนำไปสู่โรคภัยต่างๆ ได้ในอนาคต

เพราะร่างกายของเราขับน้ำออกไปตลอดเวลาจากการหายใจ ปัสสาวะและเหงื่อ หากไม่ดื่มน้ำให้เพียงพอ สิ่งที่จะเกิดขึ้นแน่ๆ คือกระหายน้ำ ผิวแห้ง ปวดหัว ท้องผูก และแน่นอนว่าทำให้อ่อนเพลีย เมื่อยล้าได้เช่นกัน!

ทางแก้ก็ง่ายมาก แค่ดื่มน้ำบ่อยๆ ตลอดทั้งวัน เฉลี่ย 8 แก้วหรือประมาณ 2 ลิตรเพื่อให้ระบบต่างๆ ในร่างกายทำงานได้อย่างเป็นปกติ ในระยะสั้นเธอจะเห็นได้ทันทีว่าผิวนุ่ม กระจ่างใสมากขึ้น ที่เคยปวดหัวบ่อย มึนบ่อยก็กลับมาสมองไบรท์ได้อีกครั้ง และยังกระปรี้กระเปร่า พร้อมใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ!*หากดื่มน้ำไม่เก่ง กลัวลืม แนะนำให้ซื้อขวดใส่น้ำใหญ่ๆ ที่มีขีดบอกระดับทุกชั่วโมงว่าควรดื่มน้ำถึงระดับไหน ไม่ต้องนั่งคำนวณเองให้วุ่นวาย มีขายตามร้านออนไลน์ทั่วไปเลยค่ะ*

4. พยายาม ' นอนหลับพักผ่อน ' ให้เป็นเวลา

รูปภาพ:https://www.i-pic.info/i/FWMJ38587.jpg

หนึ่งในสาเหตุหลักๆ ที่ทำให้รู้สึกเพลีย ตาจะปิด ง่วงเหงาหาวนอนอยู่ตลอดเวลา ก็เพราะเวลาที่ควรนอน เธอนอนไม่พอกับที่ร่างกายต้องการนั่นเอง! วิถีคนรุ่นใหม่ยุคโซเชียลจะเป็นโรคนอนไม่หลับ อดนอนกันเยอะ เพราะนั่งเล่นโซเชียล ดูซีรีส์กันจนดึกดื่น บางคนอย่าเรียกว่านอนดึก ให้เรียกว่านอนเช้า

เมื่อทำพฤติกรรมเดิมๆ สะสมนานเข้าก็เกิดภาวะเพลียเรื้อรัง สมองเบลอ ทำงานได้คุณภาพแย่ลง หากอาการหนักก็อาจเป็นโรค ' นอนไม่หลับ ( insomnia ) ' ต้องรักษากับหมออย่างจริงจังเลยนะ ไม่ใช่เรื่องตลก

ผู้ใหญ่ที่อายุ 18 ปีขึ้นไป ควรนอนหลับพักผ่อนคืนละไม่ต่ำกว่า 7-9 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายได้ซ่อมแซม ฟื้นฟูตัวเองอย่างเต็มที่ หากวันไหนด้วยภาระหน้าที่ทำให้นอนไม่พอจริงๆ การงีบ 10-30 นาทีช่วงบ่ายก็ช่วยลดความเหนื่อยล้าได้ ใครที่มีปัญหานอนหลับยาก ควรบังคับตัวเองให้เข้านอนและตื่นในเวลาเดิมทุกวัน เพื่อให้ร่างกายจำและหลับเองโดยอัตโนมัติ


การเลือกคุณภาพของเครื่องนอน ทั้งหมอน ผ้าห่ม ฟูกนอนที่เหมาะกับสรีระ ไม่ทำให้ปวดหลังก็สำคัญ เพราะช่วยให้นอนหลับได้ดียิ่งขึ้น หรือจะใช้เทียนหอมจุดเพื่อสร้างความผ่อนคลาย เคลิ้มๆ ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจนะคะ #อยากเฮลท์ตี้ต้องเลิกเป็นนกฮูกน้า

5. เพิ่ม ' โอเมก้า 3 ' ในอาหารบางมื้อ ให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น

รูปภาพ:https://www.i-pic.info/i/7ubf38586.jpg

แน่นอนว่าถ้าจะบำรุงร่างกายให้แข็งแรง การเลือกชนิดของ ' อาหาร ' ที่กินอยู่ทุกวันเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ ควรเลือกสารอาหารที่มีประโยชน์ครบ 5 หมู่ ( หรือที่เรียกกันว่า อาหารคลีน ) โดยควรจะเน้นกิน ' โอเมก้า 3 ' เป็นพิเศษ


เพราะช่วยป้องกันเรื่องของภาวะหัวใจผิดปกติ และป้องกันการเกิดโรคร้ายแรงต่างๆ มากมาย เช่น ทั้งระบบหลอดเลือดหัวใจ ระบบประสาท สายตา ความจำ ข้อกระดูก และช่วยกระตุ้นพลังงาน ลดความเหนื่อยล้าได้ด้วย!

กรดไขมันชนิดนี้พบเจอได้ในอาหารหลากหลายชนิด เช่น ปลาที่มีไขมันดี, ถั่ว, ไข่แดง, เมล็ดฟักทอง, ปลาทู, ผักโขม, เมล็ดแฟล็กซ์ ( flaxseed ) เป็นต้น แนะนำให้กินให้บ่อยที่สุดเท่าที่ทำได้


หากแถวบ้านหาซื้ออาหารเหล่านี้ยาก จะสั่งเป็นคอร์สอาหารคลีนจากร้านในโซเชียล หรือซื้ออาหารเสริมชนิดเม็ดมากินเองก็ดี แต่ต้องกินแต่พอดีนะคะ ไม่ใช่กินรัวๆ เกินลิมิต จะได้ความอ้วนกับไขมันในเลือดสูงแทนเด้อ

6. กินอาหารที่มีประโยชน์ ครบ 5 หมู่ และกินให้ครบมื้อ ตรงเวลา

รูปภาพ:https://www.i-pic.info/i/QvqY38585.jpg

แม้จะดูเป็นเรื่องง่ายๆ ที่ครูสอนกันมาตั้งแต่ประถม แต่ทำจริงยากมาก กับการกินอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบ 5 หมู่ คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน วิตามินและเกลือแร่ ถามว่าจะมีสักกี่คน ที่ทุกมื้อจะมีทั้งข้าว เนื้อ ผัก ครบรวมกันอยู่บนจาน?


ถ้าซื้อเอาตามร้านข้างทางทั่วไป ก็เน้นแต่แป้ง มีเศษเนื้อกับวิญญาณผักให้พอมีสีสันบนจานเท่านั้น ไม่แปลกที่คนไทยจะมีภาวะน้ำหนักเกินกันเยอะ ไม่ต้องพูดถึงกินให้ครบทุกมื้อด้วยซ้ำ วัยทำงานส่วนใหญ่ก็งดเช้า เบาเที่ยง แล้วไปกินแหลกตอนดึกทีเดียว มันกลับตาลปัตรไปหมด สุดท้ายทั้งขาดสารอาหาร ทั้งเหนื่อยสะสม

ถ้ายังไม่อยากออกกำลังกายจริงจัง อย่างน้อยเริ่มขั้นแรกด้วยการ ' เปลี่ยนชนิดอาหารที่กิน ' ก่อนเลย เน้นกินคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น ข้าวกล้อง ข้าวไรซ์เบอร์รี โฮลเกรน โฮลวีท เพื่อให้อิ่มนาน ระดับน้ำตาลไม่สวิง,โปรตีน เสริมสร้างเนื้อเยื่อ สมองและกล้ามเนื้อต่างๆ และไฟเบอร์จากผักผลไม้ เพื่อช่วยเรื่องลำไส้และระบบขับถ่าย จั๊งก์ฟู้ดทั้งหลายงดได้งดไปเลย เพื่อสุขภาพที่ดี ลองทำต่อเนื่องดูสัก 1-2 เดือน นอกจากจะสดชื่นขึ้นแล้ว น้ำหนักก็ลด หุ่นดีขึ้นอีกต่างหาก!

7. ทำความเข้าใจ ' นาฬิกาชีวิต ' ในร่างกายของตัวเอง ( แต่ละคนไม่เหมือนกัน )

รูปภาพ:https://www.i-pic.info/i/qTpR38584.jpg

ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของแต่ละคนไม่เหมือนกัน จึงทำให้' นาฬิกาชีวิต ( circadian rhythm ) 'ทำงานต่างกัน ซึ่งเจ้านาฬิกานี้แหละควบคุมระดับพลังงานในร่างกายของเธอ จะสังเกตว่าบางคนจะไฟแรงมากในช่วงเช้าๆ แล้วไปหงอยตอนบ่าย

แต่บางคนจะไฟติด หัวสมองแล่นช่วงกลางคืนเป็นต้นไป ซึ่งไม่มีใครถูกใครผิด ลองทดสอบตัวเองดูว่าจะมีเอเนอร์จี้ คิดงานออกได้เยอะๆ ช่วงไหน ช่วงนั้นแหละคือตอนที่เธอ productive หรือทำงานได้ดีที่สุดค่ะ

เมื่อรู้แล้วว่าตัวเองไฟติดช่วงกลางวัน หรือช่วงกลางคืน ก็จัดตารางตัวเองให้เข้ากับนาฬิกาชีวิตภายในให้มากที่สุด เพื่อไม่ให้ความเหนื่อยล้า เพลีย เบื่อ มาออกอาการในช่วงที่เธอต้องทำงาน เพื่อให้ได้งานที่คุณภาพดีขึ้น จบงานได้เร็วขึ้นนั่นเอง

เช่น ถ้าเธอสมองปลอดโปร่งช่วงกลางวัน ทำงานประจำหรือออฟฟิศทั่วไปก็น่าจะตอบโจทย์ แต่ถ้าเธอชอบทำงานดึก ก็ควรเป็นฟรีแลนซ์หรืองานที่จัดเวลาทำงานได้เอง ไม่ต้องตอกบัตรเข้าออก เข้า 9 ออก 6  เป็นต้น ( แต่ก็ไม่ควรนอนดึกเกินไปนะคะ สุขภาพจะพังเอา )

รูปภาพ:https://i.pinimg.com/originals/00/6f/1e/006f1ec62ef05cf12fd685f2169de5cc.gif

---------------------------------------------------

วิธีในการบูสต์ร่างหลักๆ ทั้ง 7 ข้อก็มีประมาณนี้เลย! ซิสอย่าเพิ่งเบ้หน้าหรือสบประมาทว่ามีแต่เรื่องเบสิคที่ใครก็รู้เชียว เพราะคนที่ทำตามทั้งหมดนี้ได้ในชีวิตประจำวันจริงๆ มีน้อยมากกก! อาจจะด้วยไลฟ์สไตล์ที่งานยุ่ง ขี้เกียจ ความจำเป็นบังคับให้ต้องนอนน้อย กินอาหารขยะเพื่อประหยัดเวลาหรืออะไรก็ตาม แต่นั่นแหละวิถีชีวิตส่วนใหญ่ของคนเมืองที่ค่อยๆ กัดกินสุขภาพกาย ลามไปถึงสุขภาพจิตด้วยโดยไม่รู้ตัว รู้อีกทีก็ล้า เครียดสะสมจนแก้ไขได้ยากแล้ว....

แม้ตอนนี้เราจะไม่ใช่ฝ่ายที่ควบคุมสถานการณ์ใดๆ ได้ แค่อยู่กับมันโดยไม่สติแตกไปเสียก่อนก็เก่งมากแล้ว ใส่ใจสุขภาพ กินอาหารดีๆ นอนให้พอ ตรวจสุขภาพประจำปีเป็นประจำ ถ้ารู้สึกว่าตัวเอง ' แบตแดง ' หมดเรี่ยวแรงแล้ว ก็ log out ออกจากโซเชียลไปพักผ่อน อยู่กับตัวเองบ้าง สักวันจะต้องเป็นของเรา แข็งแรง เติมเอเนอร์จี้ให้เต็มเพื่อรอวันนั้นด้วยกันนะคะ สู้ ( บอกตัวเองด้วย T_T ) ไฟท์ติ้งงงง!

φ(゚ ω゚//)♡