ฮัลโหลค่าา สาวๆSistaCafeที่อยากมี' ผิวเนียนใสกิ๊ง 'ทุกคน ☆ ~('▽^人)ปี 2021 แล้ว ค่านิยมของคำว่า' ผิวสวย 'ได้เปลี่ยนไปเยอะ สาวๆ ไม่จำเป็นต้องพยายามกินวิตามินเสริม ขัดผิวเอาเป็นเอาตาย หรือฉีดสารอันตรายให้ผิวซีดจนเห็นเส้นเลือดแข่งกับสาวผิวขาวที่ถูกอวยยศขั้นสุดในสังคมกันอีกต่อไปเพราะคนสวยไม่ได้ถูกจำกัดอยู่แค่ผิวขาว จะผิวแทน ผิวสองสี ผิวคล้ำก็สวยในแบบของตัวเองได้ ทั้งสีเสื้อผ้า เมคอัพ เครื่องประดับ หรือแม้แต่สกินแคร์ ก็ทำออกมารองรับคนหลากหลายสีผิวมากขึ้นค่ะแต่ไม่ว่าสาวๆ จะมีสีผิวโทนไหน ถ้าอยากเสริมบุคลิก เสน่ห์และความมั่นใจการดูแลตัวเองให้ ' ผิวดี ' เรียบเนียน ชุ่มชื้นอิ่มน้ำ กระจ่างใสทั้งตัว ไม่มีจุดด่างดำหรือความหมองคล้ำก็ยังเป็นสิ่งสำคัญเราสามารถติดไฟนีออนให้ผิวไบรท์ได้ในทุกสีผิว ด้วยการทำตาม' 7 ทริคซ่อมผิวหมองคล้ำ สู่ผิวออร่ากระจ่างใส 'ด้วยวิธีธรรมชาติง่ายๆ ที่ใครก็ทำตามได้ ขอแค่มีวินัยอย่างสม่ำเสมอเท่านั้น จะต้องทำยังไงบ้างเราไปดูกันเลยค่าヽ(*⌒▽⌒*)ノ❤
1. เลือกไอเทมสกินแคร์ที่มีส่วนผสมจาก ' Glycolic Acid '
ไอเทมแรกที่ต้องแนะนำ เพราะสำคัญที่สุดในกระบวนการผิวใส คือกรดที่ใช้ลอกผิวเก่า สร้างผิวใหม่อย่าง' Glycolic Acid 'ซึ่งมักเป็นส่วนประกอบหลักในสกินแคร์จำพวกครีมไบรท์เทนนิ่ง หรือโฟมล้างหน้ากันอยู่แล้ว
โดยกรดชนิดนี้ขึ้นชื่อเรื่องการผลัดเซลล์ผิว เพื่อให้ผิวหมองคล้ำดูกระจ่างใสมากยิ่งขึ้น สาวๆ ที่อยากผิวใส ควรมีสกินแคร์หรือคลีนซิ่งที่มีกรดชนิดนี้อย่างน้อย 1 ตัวใน skincare routine ของตัวเองนะคะ
ถ้าอยากผิวใสเร็วๆ แบบจัดเต็ม แนะนำให้จัดสกินแคร์ทุกขั้นตอนให้มีส่วนผสมของกรดชนิดนี้ได้เลย เช่น เธออาจจะใช้
คลีนเซอร์เนื้อสครับที่ผสม glycolic acid
ที่ช่วยลดความหมองคล้ำ ดึงสิ่งสกปรกออกจากรูขุมขน ปรับสีผิวและสภาพผิวให้ใสปิ๊งมากยิ่งขึ้น ตามด้วย
โทนเนอร์แผ่นที่ชุบ glycolic acid
เพื่อผลัดเซลล์ผิว ลดสีผิวไม่สม่ำเสมอ ลดผิวหน้าที่ขรุขระ ให้ผิวหน้าดูสดใส เฟรช และยังช่วยลดริ้วรอย ตบท้ายด้วย
มอยส์เจอไรเซอร์ผสม glycolic acid
เพื่อทั้งบำรุงและผลัดเซลล์ผิวไปด้วยในเวลาเดียวกัน
ทำต่อเนื่องอย่างน้อย 1 สัปดาห์ก็จะเห็นผลว่าสีผิวสว่างชัดเจนขึ้นอย่างเห็นได้ชัดค่ะ
2. สครับผลัดเซลล์ผิวเก่า กระตุ้นเซลล์ผิวใหม่เป็นประจำ
นอกจากการใช้กรดผลัดเซลล์ผิวตามธรรมชาติ เราก็ต้องลงแรงขัดผิวแบบจริงๆ จังๆ ด้วยการใช้ ' สครับ ' เพื่อขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ( ขี้ไคล ) และสิ่งสกปรกต่างๆ ออกไปจากผิวหน้า หลายครั้งการสครับหน้าทำให้รู้ว่า เธอไม่ได้ผิวคล้ำเสียด้วยซ้ำ แต่มีเซลล์ผิวเก่าสะสมเยอะจนผิวดูหมองกว่าความเป็นจริง
การสครับหน้าเป็นประจำสัปดาห์ละครั้ง จะช่วยทั้งให้ผิวสว่างขึ้น เคลียร์รูขุมขนที่อุดตันและความขรุขระของใบหน้า ให้ผิวเนียนนุ่ม น่าสัมผัส ลดสิวเป็นผลพลอยได้ด้วยค่ะ
ถ้าเน้นสะดวก สครับหน้าหลายยี่ห้อก็มีให้เลือกซื้อตามซูเปอร์ทั่วไป แต่ถ้าเธอเป็นคนแพ้ง่าย ไม่แน่ใจว่าสครับตามห้างจะผสมสารที่ทำให้หน้าเห่อหรือไม่ ก็สามารถทำเองแบบ D.I.Y ได้ ง่ายกว่าที่คิด!
ด้วยการใช้กากกาแฟ หรือน้ำตาลผสมกับน้ำผึ้งและโยเกิร์ต นำมาทาบนใบหน้า นวดวนๆ ให้ระบบไหลเวียนเลือดบนหน้าได้ทำงานไปด้วย ทิ้งไว้ 10-15 นาทีแล้วล้างออก จะได้ผิวที่สะอาดและใสอมชมพูสุดๆผิวที่เพิ่งสครับจะบอบบางเป็นพิเศษ อย่าลืมทาอะโลเวร่าเจลปลอบประโลมผิว และมอยส์เจอไรเซอร์บำรุงอีกชั้นด้วยนะคะ
3. ใช้มาสก์หน้า ( Face Mask ) สูตรไบรท์เทนนิ่ง
สาวๆ สายบิวตี้แทบทุกคน น่าจะรู้จักไอเทมบูสต์ผิวให้ชุ่มชื้นขั้นเทพอย่าง ' มาสก์หน้า ' กันอยู่แล้ว ซึ่งมาสก์ในท้องตลาดก็มีหลายยี่ห้อ หลายสูตรให้เลือกตามปัญหาผิวที่เผชิญ
หากเธออยากสลัดความหมองคล้ำ ก็ควรเลือกสูตรมาสก์แบบไบรท์เทนนิ่ง เน้นให้ผิวสว่างเป็นพิเศษ ซึ่งการใช้มาสก์หน้าเป็นประจำควบคู่กับสกินแคร์ตัวอื่น ก็มีผลลัพธ์ออกมามากมายว่าช่วยให้ผิวใสได้จริง!
นางเอกของมาสก์ที่ทำให้ผิวใสที่เรารู้กันก็คือ' วิตามินซี 'ซึ่งมาสก์แบบแผ่นที่ผสมวิตามินซีก็มีขายทั่วไป แต่ทริคที่เราอยากให้ใช้ควบคู่กันก็คือ' มาสก์โคลนชาร์โคล 'ที่อาจจะไม่ได้ช่วยปรับสีผิวจากข้างในโดยตรง แต่ช่วยดึงสิ่งสกปรกและความหมองคล้ำจากผิวหน้า ทำให้ผิวดูสว่างใสมากขึ้น
โดยมาสก์วิตามินซีสามารถใช้ทุกวันได้ถ้าผิวแข็งแรงมากพอ แต่มาสก์ชาร์โคลใช้เพียงสัปดาห์ละครั้งก็ได้ผลลัพธ์ที่เปลี่ยนแปลงจนเห็นได้ชัดแล้วล่ะค่ะ
4. ใช้ ' เซรั่มวิตามินซี ' เป็นประจำใน Skincare Routine ของตัวเอง
เพื่อกระตุ้นให้ผิวหน้ากระจ่างใสถึงขีดสุด ยังไงก็คงขาดไอเทมลูกรักอย่าง' เซรั่มวิตามินซี 'ไปไม่ได้ เพราะเป็นมอยส์เจอไรเซอร์ที่ช่วยทั้งบำรุงและปรับสีผิวไปด้วยในเวลาเดียวกัน ลดเลือนจุดด่างดำให้จางลง ชะลอริ้วรอย
ทำให้ผิวใสเปล่งปลั่ง เต่งตึง และยังช่วยกระตุ้นคอลลาเจนบนผิวโดยตรง ป้องกันไม่ให้เซลล์เสื่อมสภาพเร็ว เหมาะกับสาวๆ ที่อายุ 20 ปีขึ้นไป ซึ่งการผลิตคอลลาเจนจะน้อยลง ( เรียกง่ายๆ ว่าเริ่มแก่นั่นเอง )
แต้แม้ว่าเซรั่มวิตามินซีจะเข้มข้น ฟื้นฟูผิวลึกแค่ไหน ก็ต้องใช้เป็นประจำอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผิวค่อยๆ ปรับโทนสี หากผิวแข็งแรงปกติก็สามารถทาได้ทุกวัน เว้นรอบดวงตาและริมฝีปาก แต่ถ้าผิวแพ้ง่ายทาเพียง 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ก็เพียงพอ
และถ้าผิวไวต่อแสงแดด ไม่ควรทาช่วงกลางวันเพราะจะทำให้ผิวหน้าแสบร้อนได้ เดี๋ยวผิวไหม้กว่าเดิมแล้วจะหาว่าไม่เตือนน้าาา
5. ดูแลผิวใต้ดวงตา อย่าปล่อยให้เกิด ' รอยคล้ำแพนด้า ' เป็นอันขาด
แม้ผิวจะสว่างไบรท์ทั้งหน้า แต่ถ้าผิวบริเวณ' ใต้ดวงตา 'เกิดความคล้ำ ก็จะดึงความสนใจโดยรวมให้ผิวดูหมองๆ ไม่สดใสอยู่ดี ซึ่งเหตุผลของตาคล้ำ ตาแพนด้าของคนรุ่นใหม่ ก็คงหนีไม่พ้นการนอนดึก อดนอน ความเหนื่อยล้า
หรืออาจเกิดจากการที่ร่างกายขาดธาตุเหล็ก ภูมิแพ้ หรือกินยาบางชนิด การไหลเวียนของเลือดใต้ดวงตาจึงไม่ค่อยดี ทำให้ผิวส่วนนั้นคล้ำขึ้น เหมือนมีเงาจางๆ ติดอยู่ใต้ตาตลอดเวลาค่ะ
ทา ' อายครีมสูตรไบรท์เทนนิ่ง ' สามารถบรรเทาผิวใต้ตาคล้ำได้ระดับนึง ย้ำว่าต้องเป็นอายครีม อย่าทาวิตามินซีโดยตรงที่ใต้ตาเด็ดขาด เพราะผิวหนังส่วนนั้นบอบบางมาก อาจเกิดการปวดแสบปวดร้อนได้
โดยต้องทาเป็นประจำทุกวันเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด อย่างไรก็ตาม ถ้าทาแล้วผิวยังไม่ค่อยสว่างขึ้น การฉีดผิวใต้ตาเพื่อให้สว่างขึ้นตามคลินิกความงาม ก็เป็นอีกทางเลือกที่ทำให้ใต้ตาสวย ฟูอิ่มขึ้นค่ะ
6. บำรุงผิวทั้งหน้าทั้งตัวให้ ' ชุ่มชื้น ' อยู่เสมอ ( ถ้าผิวอิ่มน้ำ ผิวจะดูใสเอง!)
ทริคข้อหนึ่งที่สาวๆ หลายคนอาจนึกไม่ถึงคือ ถ้าผิวหน้า ผิวตัวมีความชุ่มชื้น หน้าก็จะดูใสขึ้นโดยอัตโนมัติ! เพราะในหลายๆ ครั้ง ผิวที่หมองคล้ำเหมือนโดนของ เป็นเพราะผิวไม่ได้รับความชุ่มชื้นที่เพียงพอ
เมื่อผิวแห้ง ผิวก็ไม่สดใส จึงดูคล้ำลงกว่าที่ควรจะเป็น ยิ่งในช่วงอากาศหนาวหรือคนที่ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ห้องแอร์ ถ้าไม่ค่อยดูแลผิว ผิวจะสากๆ หยาบกร้านและไม่ค่อยใส ลองไปสังเกตกันดู
อยากมีผิวชุ่มชื้น ทำง่ายที่สุดคือ' ดื่มน้ำเปล่า 'ให้เยอะๆ ระหว่างวัน วันนึงควรดื่มขั้นต่ำ 8 แก้ว ( ประมาณขวด 1.5 ลิตรสองขวด ) ถ้าเป็นคนดื่มน้ำน้อย ก็พกขวดน้ำติดตัวไว้เลย หรือซื้อขวดน้ำใหญ่ๆ วางตั้งไว้ที่โต๊ะทำงานก็ดีเช่นกัน เพื่อให้ผิวใสจากภายในสู่ภายนอก
แต่ถ้าเป็นคนผิวแห้งหรืออยู่ในห้องแอร์ตลอด เสริมด้วยมอยส์เจอไรเซอร์สูตรเน้นความชุ่มชื้นให้ผิว เช่น hyaluronic acid, salicylic acid, glycerine, ceramide ก็จะยิ่งผิวนุ่มอิ่มน้ำจนใครๆ ก็อยากสัมผัส
7. ห้ามลืมปกป้องผิวหนังจาก ' รังสียูวีแสงอาทิตย์ ' ด้วยครีมกันแดด
ข้อสุดท้ายและท้ายสุด ผิวสว่างไบรท์จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย ถ้าใน skincare routine ของเธอไม่มีขั้นตอนของ ' ครีมกันแดด ' ซึ่งเรียกว่าเป็นสกินแคร์สำคัญระดับมงกุฎเพชรที่ #ยังไงก็ต้องทา
เธออาจจะไม่ทาเซรั่มวิตซี ไม่ทาครีมบำรุง แต่อย่างน้อยที่สุดต้องทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกวัน เพื่อป้องกันรังสียูวีจากแสงอาทิตย์ ที่พร้อมจะทำลายคอลลาเจน เม็ดสีเมลานินของเธอให้ทั้งคล้ำทั้งเหี่ยวก่อนวัยอันควรค่ะ
ตามหลักของ FDA หรืออย. ของอเมริกา ครีมกันแดดที่ใช้ได้ผลต้องมีค่า SPF15 ขึ้นไป ถ้าเป็นสาวออฟฟิศทั่วไป ขึ้นรถไฟฟ้า เดินห้าง เจอแดดพักเที่ยงแค่แป๊บๆ ใช้ครีมกันแดดค่า SPF35 ก็เพียงพอ แต่ถ้าเจอแดดค่อนข้างเยอะหรืออยากป้องกันดีที่สุดไว้ก่อน ก็จัด SPF50 ได้เลย
ขอกระซิบนิดนึงว่า ปริมาณในการทาก็สำคัญ ต้องทา ' สองข้อนิ้วแบบแน่นๆ ' เป็นขั้นต่ำ อย่าทาน้อยกว่านั้น เพราะถ้าทาน้อย ประสิทธิภาพในการกันแดดก็จะลดตามไปด้วยเช่นกัน มีก็ต้องใช้ค่ะ อย่าไปกลัวเปลือง กลัวหน้าดำหน้าไหม้จะดีกว่า!
-----------------------------------------------
เพียงทำตามทริคดูแลผิว ปรับเปลี่ยนไอเทมสกินแคร์ใน Skincare Routine ง่ายๆ ตาม 7 ข้อในบทความนี้แม้จะมีผิวหมองคล้ำขรุขระไม่สดใสมาก่อน สีผิวก็จะสว่างขึ้นจนอยู่ในระดับที่เรียกว่าผิวไบรท์ " ในลิมิตโทนสีผิวของตัวเอง "ในที่สุดค่ะ จากข้อมูลในบทความ เธอคงเห็นแล้วว่าเรามีการใช้กรดผลัดเซลล์ผิวควบคู่กับเซรั่มวิตามินซี ซึ่งนั่นคือคีย์เวิร์ดหลักของการปรับผิวให้กระจ่างใสทำให้สาวๆ บางคนเลือกจะทาแต่เซรั่มและละเลยการทากันแดดเพราะขี้เกียจ สรุปผิวหมองคล้ำกว่าเดิมก็มี ( เผลอๆ ได้แสบไหม้ กระฝ้ามาเป็นของแถมด้วย )ดังนั้นขอย้ำอีกรอบว่า ต้องใช้ไอเทมปรับผิวคู่กับการบำรุง ป้องกันให้ผิวชุ่มชื้นแข็งแรงด้วยอีกชั้นหนึ่งนะคะ รับรองว่าได้ผิวสวยมั่นใจมากขึ้นอย่างแน่นอน
(♡˙︶˙♡)สำหรับวันนี้ลาไปก่อน พบกันใหม่กับบทความทิปส์ดีๆ ใหม่ในคราวหน้า บ๊ายบาย
Cr. How to Brighten Your Skin: 8 Helpful Tips [lorealparisusa.com]
https://www.lorealparisusa.com/beauty-magazine/skin-care/skin-care-concerns/skin-brightening-tips.aspx