รูปภาพ:https://media0.giphy.com/media/HtAzM4z6TZX6o/giphy.gif

สวัสดีค่าา สาวๆSistaCafeที่อยาก ' ผมสวยนุ่มลื่น ' ทุกคน!ถ้าแต้มบุญไม่สูงปรื๊ด หรือเป็นคนดูแลผมดีมากจริงๆ เราว่าผู้หญิงทุกคนต้องเจอกับ' ปัญหาเส้นผม-หนังศีรษะ 'อย่างน้อยหนึ่งอย่าง!ผมแห้งชี้ฟู ผมมันเยิ้มเหมือนทอดไข่ดาว ผมแตกปลาย ผมยาวช้า ตัดผมมาจะครึ่งปีแล้วยังยาวไม่ถึงไหน รังแคเอย ผมลีบลู่ไม่มีวอลลุ่มเอย สารพัดที่ต้องมาแก้ไขบางคนก็เจอแค่อย่างเดียว บางคนก็คอมโบ้ปัญหาเส้นผมทุกอย่าง มารวมกันที่หัวหัวเดียว พังสุด อยากจะร้อง ( ไห้ ) ดังๆ ก็เส้นผมน่ะเป็นเสน่ห์อย่างนึงของผู้หญิงเลยนี่นา หน้าสวย หุ่นเป๊ะ แต่ผมชี้โด่ชี้เด่หรือมันแผล่บ ก็เสียบุคลิกหมด! -___-เราเข้าใจปัญหาผมของสาวๆ ส่วนใหญ่ดี วันนี้จึงมาขอบอกต่อ' 7 วัตถุดิบธรรมชาติ ' ที่ช่วยบำรุง แก้ไขปัญหาเส้นผม 7 ประการ ที่ผู้หญิงส่วนใหญ่มักเจอกัน เพื่อให้ผมนุ่มลื่นสลวยสวยเก๋ มีวอลลุ่มทิ้งตัวเหมือนนางแบบโฆษณาแชมพู จะไม่ไกลเกินฝัน แถมไม่ต้องกลัวแพ้สารเคมีด้วย! จะมีอะไรบ้างเราไปดูกันเลยดีกว่าค่า (•‾⌣‾•)و ̑̑♡

1. ผมยาวช้า : แก้ได้ด้วย 'Castor Oil'

รูปภาพ:https://www.img.in.th/images/11050617d93bb806b96cf73074ff2f40.jpg

ใครประสบปัญหา ' ผมยาวช้า ' เหลือเกิน ตัดผมมานาน แต่ผมก็ไม่ค่อยยาวขึ้นเท่าไหร่ ปัจจัยส่วนนึงก็มาจากรากผมที่อ่อนแอ ไม่ค่อยแข็งแรงเท่าที่ควร เมื่อต้นเหตุอย่างรากผมไม่เฮลตี้ ก็ไม่มีวัตถุดิบจะมาผลิตเส้นผมนั่นเอง แต่เราสามารถช่วยบำรุง เติมสารอาหารไฟเบอร์ให้ผมได้ง่ายๆ ด้วยการใช้ ' Castor Oil '

เพราะออยล์ชนิดนี้มีคุณสมบัติช่วยซ่อมแซมเกล็ดผม อุดมด้วยกรดไขมันและวิตามิน E จะใช้ทางอ้อม ( แชมพู-ครีมนวดที่มีส่วนผสมนี้ ) หรือใช้ออยล์โดยตรงเลย ก็จะยิ่งผมยาวได้เร็วขึ้นค่ะ

วิธีบำรุงก็ง่ายๆ หยดออยล์ใส่ฝ่ามือ 3 หยด นวดเบาๆ ลงไปที่หนังศีรษะ ลากไปถึงตลอดความยาวของเส้นผม ตั้งแต่โคนจรดปลาย จากนั้นห่อเส้นผมไว้ในผ้าขนหนูอุ่น ปล่อยให้ออยล์ทำหน้าที่หมักผมนาน 20 นาที ก่อนล้างออกให้สะอาด ( แนะนำเป็นน้ำอุ่นนิดๆ หรือ lukewarm water )อย่าลืมสระผมด้วยแชมพูอย่างน้อย 2 ครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าล้างออยล์ออกหมด เพราะหากมีน้ำมันตกค้าง จะยิ่งทำให้ผมร่วงเยอะขึ้นแทน ต้องระวัง!

2. หนังศีรษะ-เกล็ดผมแห้งลอก : แก้ได้ด้วย 'อะโลเวร่า'

รูปภาพ:https://www.img.in.th/images/f3caa4813d31c9cdfc1da080e2acd7d8.jpg

สาวๆ บางคนมีผิวแห้ง ซึ่งไม่ใช่ผิวส่วนแขนขาน่ะสิ แต่ลามไปถึงผิวหนังศีรษะและเกล็ดผมด้วย ผลลัพธ์น่ะเหรอ รังแคสีขาว หิมะตกบนเสื้อผ้าอยู่บ่อยๆ ไงล่ะ ขายขี้หน้าคนอื่นสุดๆ TT แต่อย่าเพิ่งเสียใจไป

เราสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ด้วยการใช้ ' อะโลเวร่า ' หรือว่านหางจระเข้แบบไทยๆ บำรุงให้หนังศีรษะ ( ซึ่งก็เป็นผิวหนังชนิดหนึ่ง ) ชุ่มชื้น ลดอาการแห้งลอก สาเหตุของการเกิดรังแคได้!

อะโลเวร่าเป็นพืชที่อุดมด้วยวิตามินและแร่ธาตุ จะใช้วุ้นจากว่านหางจระเข้ตรงๆ เลย หรือใช้เจลอะโลเวร่าที่มีขายทั่วไปตามห้างก็พอแก้ขัดได้ นอกจากนี้ยังมีสรรพคุณช่วยลดอาการคัน เยียวยาหนังศีรษะได้เร็วขึ้นกว่าเดิม! วิธีบำรุงง่ายๆ คือใช้อะโลเวร่าเป็นมาส์กหมักผม เทลงไปบนศีรษะ นวดให้ทั่วแล้วหมักทิ้งไว้ 20-30 นาที

เพื่อให้เนื้อเจลซึมซีบเข้าสู่หนังศีรษะอย่างมีประสิทธิภาพ แนะนำว่าถ้าทนกลิ่นแรงๆ ของมันได้ ก็ใช้วุ้นจากต้นตรงๆ เลยดีกว่าเจลที่แต่งกลิ่นมาแล้ว เพราะวุ้นจากธรรมชาติจะมีวิตามินเยอะกว่านะคะ ( แต่ตอนล้างก็จะเลอะเทอะนิดนึง ต้องยอมรับ )

3. เส้นผมแห้งเป็นไม้กวาด ไม่เงางาม : แก้ได้ด้วย 'น้ำส้มสายชูขาว'

รูปภาพ:https://www.img.in.th/images/cbd18759eebefe5890798ab173766be0.jpg

มองเผินๆ เส้นผมก็ดูไม่มีปัญหาอะไร แต่เวลาสัมผัสกลับดูด้านๆ สากๆ ชอบกล ไม่เงางามเหมือนนางแบบแชมพูในทีวีเลย ความเงางามเป็นคนละอย่างกับผมมันเยิ้มนะคะ ผมเงาคือผมที่ได้รับสารอาหารเพียงพอ เหมือนคนผิวใสปิ๊งๆ นั่นแหละ

ซึ่งเราก็เนรมิตผมแบบนั้นเองได้ด้วยการใช้ ' น้ำส้มสายชูขาว ( white vinegar ) ' นั่นเอง โดยน้ำส้มสายชูนี้จะช่วยปิดเกล็ดผม ให้ผมดูเงางาม เหมือนไฮไลท์สีผมตามธรรมชาติ ให้สีผมดูสวยโดดเด่นขึ้น ไม่ว่าจะเป็นผมทำสี หรือสีธรรมชาติก็ตาม

ค่า pH ของน้ำส้มสายชูขาว จะช่วยปรับสมดุลให้หนังศีรษะ ควบคุมการก่อเกิดของรังแคและน้ำมันซีบัมส่วนเกิน แต่ข้อเสียคือต้องใช้อย่างระมัดระวัง เนื่องจากคุณสมบัติเป็นกรด หากเทลงหนังศีรษะตรงๆ อาจระคายเคือง แสบร้อนที่หนังศีรษะได้ และกลิ่นก็ไม่ค่อยรัญจวนใจเท่าไร


ทางที่ดีควรใช้น้ำเปล่าหรือน้ำผึ้งผสมให้เจือจางลงก่อน แล้วค่อยใช้แทนแชมพู ทำอย่างต่อเนื่อง ผมจะค่อยๆ ดูเงางามขึ้นจนสังเกตได้แน่นอนค่ะ

4. ผมลีบลู่ อ่อนแอเกินต้าน : แก้ได้ด้วย 'น้ำมันมะพร้าว'

รูปภาพ:https://www.img.in.th/images/25ad2185d408f14a7cb5171ea80d6c8e.jpg

ผมอ่อนแอ ลีบลู่ ทำผมทรงไหนก็ไม่สวย ไม่มีวอลลุ่มใดๆ นั่นเพราะทั้งรากผมและหนังศีรษะไม่ได้รับสารอาหารที่เพียงพอ แต่เราก็เติมอาหารนั้นให้เส้นผมได้ด้วยการใช้ ' น้ำมันมะพร้าว ( coconut oil ) ' ที่สาวๆ สายบิวตี้น่าจะมีติดบ้านกันทุกคนอยู่แล้ว

เพราะอุดมด้วยวิตามิน กรดไขมันที่บำรุงเส้นผม มีโปรตีนป้องกันผมแห้งเสีย ป้องกันไฟเบอร์เส้นผมให้แข็งแรง แต่สัมผัสอ่อนนุ่ม แถมกลิ่นก็หอมหวานชวนให้ใช้ได้บ่อยๆ อีกด้วย >///<

มีแชมพู ครีมนวด มาส์กผมมากมายที่มีส่วนผสมของน้ำมันมะพร้าว แต่หากต้องการผลลัพธ์เร็วๆ และชัดเจน ใช้น้ำมันมะพร้าวสกัดโดยตรงเลยก็จะดีกว่า! โดยหยดใส่ฝ่ามือ นวดวอร์มจนออยล์เริ่มอุ่น แล้วนวดตั้งแต่โคนจรดปลาย ( แต่ถ้าผมมันเยิ้มเป็นทุนเดิม ก็เว้นช่วงโคนไว้ดีกว่า )


หมักทิ้งไว้ 20 นาทีแล้วค่อยล้างออก ล้างอย่างน้อย 2 ครั้งเพื่อให้เส้นผมสะอาดหมดจด ทำต่อเนื่องสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ไม่นานก็เริ่มเห็นผลชัดเจนแล้ว!

5. เส้นผมมันเยิ้มง่าย เสียบุคลิกสุดๆ : แก้ได้ด้วย 'เกลือ'

รูปภาพ:https://www.img.in.th/images/a425a3b8f74da32738831db564825367.jpg

เราว่าปัญหานี้สาวไทยเจอกันค่อนประเทศ! ด้วยสภาพอากาศร้อนชื้น และแสงแดดจัดๆ ของเมืองไทย แค่ออกนอกบ้านก็มีสิทธิ์ผมมันเยิ้มพร้อมทอดไข่ได้ง่ายๆ แต่รู้ไหมว่าเครื่องปรุงเบสิกในบ้านอย่าง ' เกลือ ' ช่วยขจัดผมมันได้ชะงัดสุดๆ!

นั่นเพราะเกลือมีคุณสมบัติช่วยผลัดเซลล์ผิวหนังศีรษะ ขจัดน้ำมันซีบัมส่วนเกินโดยไม่ทำลายไฟเบอร์ธรรมชาติของเส้นผม แถมยังช่วยให้ระบบโลหิตหมุนเวียนได้ดี จึงช่วยลดรังแคและทำความสะอาดหนังศีรษะได้ดีสุดๆ เลยค่ะ

แต่เพราะเกลือมี texture ที่ค่อนข้างหยาบ จึงไม่ควรใช้เกลือเม็ดๆ มาขัดหนังศีรษะโดยตรง เดี๋ยวระคายเคือง แสบหัว เป็นแผลจะแย่เอา!


ให้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของเกลือแทน หรือผสมน้ำเปล่าหรือแชมพูปกติที่ใช้จนเกลือละลาย แล้วนำมานวดหนังศีรษะเบาๆ จะดีกว่าค่ะ

6. เส้นผมสีเข้มไป อยากกัดสีให้อ่อนลงหน่อย : แก้ได้ด้วย 'น้ำผึ้ง'

รูปภาพ:https://www.img.in.th/images/9ddd7d1f62dfd9b5a7e630673a7d8d1f.jpg

เปิดโลกสุดๆ แต่เราเองก็เพิ่งรู้ว่า ' น้ำผึ้ง ' ส่วนผสมสุดฮิตของน้ำหวาน ขนมหวาน หรือไว้แต่งกลิ่นแชมพู ครีมนวดเนี่ย จะช่วยกัดสีผมให้อ่อนลงได้จริงๆ!


นั่นเพราะน้ำผึ้งมีส่วนประกอบของเอนไซม์น้ำตาล ที่จะปล่อยสาร hydrogen peroxide แบบเดียวกับที่มีในน้ำผสมออกซิเจน จึงช่วยไฮไลท์สีผมให้อ่อนลงได้ค่ะ

ทั้งนี้ น้ำผึ้งยังมีคุณสมบัติช่วยซ่อมแซมเกล็ดผม ฟื้นฟูหนังศีรษะ บำรุงหนังกำพร้าของหนังศีรษะให้ชุ่มชื้น อ่อนนุ่ม แต่อ่านถึงตรงนี้แล้วก็อย่าเพิ่งไปคว้าขวดน้ำผึ้งที่บ้านมาชโลมทั่วหัวล่ะ จะเหนียวหัวเกินไป แถมล้างไม่ออกด้วย!

ใช้ผสมกับน้ำมันมะกอก กล้วย ไข่ มายองเนส โยเกิร์ต หรือน้ำส้มสายชูแอปเปิ้ล ( apple cider vinegar ) *เลือกผสมกับอย่างเดียวหรือหลายอย่างรวมกันก็ได้* เพื่อทำเป็นมาส์กหมักผมจะดีกว่า เพียงใช้ช้อนบิๆ คนๆ ให้เข้ากัน หมักบนผม 30 นาทีแล้วล้างออก ทำแบบนี้ทุกวันผมจะค่อยๆ สีอ่อนลงจนสังเกตได้ค่ะ

7. ผมบาง ขาดวอลลุ่ม : แก้ได้ด้วย 'ข้าว'

รูปภาพ:https://www.img.in.th/images/d1721d3ca1421e9177d190569ba3ee6e.jpg

ผมบางจ๋อย ทำทรงผมแบบปล่อยยาวไม่ได้เลย ดูออกหมดว่าไม่มีผม ไร้ซึ่งวอลลุ่ม ต้องเอาแฮร์พีซมาติดแก้เขินทุกครั้ง แบบนี้อย่าปล่อยไว้นาน มาเริ่มบำรุงผมกันตั้งแต่ตอนนี้ด้วย ' น้ำข้าว ' กันดีกว่า!

อย่างที่รู้กันว่าข้าวคืออาหารหลักของคนไทย มีคาร์โบไฮเดรตช่วยให้อิ่มท้อง แต่น้ำซาวข้าวจะมีโปรตีนจากข้าวติดมาด้วย ซึ่งช่วยเพิ่มความหนาของเส้นผมทุกประเภทเลยค่ะ เมื่อน้ำสัมผัสเส้นผม โปรตีนจะเข้าไปอยู่ในเกล็ดผม ป้องกันไม่ให้ผมขาดง่าย ผมชุ่มชื้นกว่าเดิม บางคนใช้แทนครีมนวดผมเลยก็มี!

เพียงใช้ข้าวสาร 1/2 ถ้วย เอาไปล้างให้สะอาด แล้วใส่ข้าวที่ล้างแล้วลงไปในชามที่ใส่น้ำไว้เต็ม ปล่อยให้โปรตีนจากเม็ดข้าวสารละลายออกมาอย่างเต็มที่ ( ประมาณ 30 นาที ) ใช้ผ้ากรองน้ำข้าวนั้นใส่ชามอีกใบ *จะนำไปต้มอีกทีเพื่อความสะอาดก็ได้*วิธีใช้ก็แค่ หลังสระผมเสร็จด้วยแชมพู ก็ล้างผมด้วยน้ำซาวข้าวนี้ให้ทั่วศีรษะ นวดเบาๆ ที่เส้นผมและหนังศีรษะ ทิ้งไว้ 20 นาทีก่อนล้างออกด้วยน้ำอุ่น ทำอย่างต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ผมจะค่อยๆ หนาขึ้นค่ะ

-----------------------------------------

ครบหมดแล้วกับวัตถุดิบจากธรรมชาติล้วนๆ ทั้ง 7 ชนิด ที่มีคุณสมบัติบำรุงรักษา ป้องกันเส้นผมจากปัญหาต่างกันไปใครเจอปัญหาผมรูปแบบไหน ก็ลองเอาวิธีในบทความนี้ไปใช้กันดูนะคะ อาจจะไม่ดีขึ้นพรวดพราดเหมือนเข้าซาลอนผม หรืออบไอน้ำราคาแพงๆ ( หรือบางอย่างถึงเข้าซาลอนก็ใช่จะดีขึ้นในครั้งเดียวอยู่ดี... ) ต้องอดทน มีวินัยบำรุงผมตามนี้อย่างสม่ำเสมอ ผมของเธอก็จะค่อยๆ ฟื้นตัว กลับมานุ่มสลวย ดูเฮลตี้ เสริมบุคลิกภาพให้ดูดีได้ง่าย ไม่ต้องพึ่งแต้มบุญตั้งแต่เกิดอีกต่อไปผมของสาวๆ คนไหนก็สวยได้ถ้าเราตั้งใจดูแลนะคะ อิอิ

(♥ω♥ ) ~♪

สำหรับวันนี้ขอตัวลาไปก่อนละน้า เจอกันใหม่ค่า บ๊ายบาย