การทำธุรกิจตั้งแต่วัยเรียน วัยหนุ่มสาว ถือว่าเป็นเทรนด์ที่กำลังมาแรงในยุคนี้ พ.ศ.นี้ มองไปรอบตัวก็มีแต่ว่าที่เศรษฐีคนใหม่ หรือไม่ก็เจ้าของร้านขนาดเล็กๆ บางคนทำเพราะอยากเป็นนายจ้างตัวเอง บางคนก็ทำเอาสนุก บางคนก็สนุกถึงขั้นร่วมหุ้นกับเพื่อนฝูงเป็นจริงเป็นจัง โดยคิดว่าการทำงานในสิ่งที่รัก มีความสุข และมีคนที่รู้ใจ/รู้จักกันมานานนี่แหละดีกว่าการเริ่มต้นกับใครไม่รู้ซะอีกนะ
หารู้ไม่... หลายคนต้องเสียเพื่อนไปเพราะธุรกิจ อย่างที่เขาว่ากันว่า" เงินทำให้เสียเพื่อนมานักต่อนัก "ไม่ว่าจะให้ยืม ขอยืม ลงขัน หรือมีความสัมพันธ์เกี่ยวกับเงินในแบบใดก็ตาม เงินก็ส่วนเงิน มันคนละเรื่องกับความสัมพันธ์เลย
แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีใครเลยที่ไม่ประสบความสำเร็จจากการร่วมหุ้นลงขันกับเพื่อน ของแบบนี้มันอยู่ที่การคิดอย่างรอบคอบ อย่างน้อยก็ด้วยเหตุผลต่อไปนี้
#1 ไลฟ์สไตล์ของเราและเพื่อนมีอะไรคล้ายคลึงกันหรือไม่?

ความชอบที่เหมือนกัน/ต่างกัน ไม่ใช่ประเด็นสำคัญเท่ากับ" จูนกันติดหรือไม่? "เพราะการทำธุรกิจร่วมกัน ก็เหมือนกับงานกลุ่มในห้องเรียนอย่างหนึ่ง เพียงแต่มันเป็นงานกลุ่มที่ต้องอยู่กันไปนานๆ จนเกือบจะเป็นบ้านหลังเดียวกัน เหม็นขี้หน้ากันไปข้างนึงเชียวแหละ ถ้าไม่สามารถหาอะไรที่ปรับตัวเข้ากันได้ง่ายๆ หรือนิสัยส่วนตัวบางอย่างอาจส่งผลเสียในระยะยาว เช่น เป็นคนขี้รำคาญ เจ้ากี้เจ้าการเพื่อน ในขณะที่เพื่อนก็ไม่ชอบให้ใครมาบงการชีวิตเลยแม้แต่นิดเดียว อย่าว่าแต่การไปเที่ยวออกทริปด้วยกันเลยที่ยากลำบาก การทำธุรกิจร่วมกันก็อย่าหวังเลย
#2 อย่าทำเอาสนุก เล่นๆ ไม่คิดอะไร

แม้กูรู หรือคนที่ประสบความสำเร็จหลายคนจะมีคีย์เวิร์ดว่า" ทำงานด้วยใจรักแล้วทุกอย่างจะดีเอง "นั่นก็ไม่ได้แปลว่าเราจะทำอะไรก็ได้แบบขำๆ เล่นๆ เอาสนุก ไม่คิดอะไร เพราะการทำธุรกิจมันก็คือการต้องเสียเงินทองไปลงทุนและหวังผลตอบแทนที่ดีกลับมาด้วยกันทั้งนั้น เพราะฉะนั้น ถ้าคิดจะค้าขายเหมือนเล่นขายของแบบเด็กอมมือ ให้ทบทวนกันเสียใหม่ หรือลองไปศึกษาธุรกิจจากคนอื่นๆ ให้มากกว่านี้ ( ทั้งการทดลองฝึกงาน, เข้าไปฟังอบรมสัมมนา, อ่านบทสัมภาษณ์ของนักธุรกิจหลายๆ คน ฯลฯ )เรื่องธุรกิจเป็นเรื่องที่ต้องจริงจัง คิดแบบผู้ใหญ่ ไม่ใช่ขำๆ ผลาญเงินเล่นโดยเปล่าประโยชน์
#3 หลีกเลี่ยงธุรกิจที่เป็นแนวผิดกฎหมาย/ผิดศีลธรรม

ถ้าเจอเพื่อนประเภทพากันไปเสี่ยงคุกเสี่ยงตาราง อย่าคิดจะร่วมหุ้นทำธุรกิจด้วยกันเด็ดขาด อย่าลืมว่าชีวิตเราไม่ได้มีเพียงเพื่อน เรายังมีพ่อแม่ คนรอบข้างอีกมากรอเราอยู่ อีกทั้งเพื่อนก็ที่คิดแบบนี้ก็ใช่ว่าจะรับปากคุ้มครองอะไรเราได้ตลอดการมีธุรกิจที่เสี่ยงเกินไปไม่เกิดผลดีกับตัวเราหรอก
#4 เราและเพื่อนเล็งเห็นความยุติธรรม โปร่งใส ระหว่างกันรึเปล่า?

ในความเป็นเพื่อนกัน ก่อนทำธุรกิจอาจจะมีบ้างที่เคยไปจิ๊กของคนนั้นคนนี้มาแล้วเล่าสู่กันฟังขำๆ แต่สำหรับเรื่องธุรกิจ คิดให้ดีว่าจะเลือกปรับตัวยังเพื่อไม่ให้ธุรกิจมีปัญหา ถ้าไม่สามารถตั้งกฎระเบียบที่แฟร์และโปร่งใสต่อกันได้ ก็อย่าเลี้ยงคนที่มีนิสัยมีลับลมคมในไว้เป็นปัญหากับธุรกิจ ( หลายคนโดนหักอกเพราะความคาดไม่ถึงว่าเพื่อนกันจะขโมยกันได้มานักต่อนักแล้ว )
#5 แต่ละคนมีศักยภาพในตัวเองแค่ไหน?

ธุรกิจไม่สามารถดำเนินไปได้ด้วยเงินทุนก้อนหนึ่ง ความเชื่อใจ และความไว้ใจกันเท่านั้น หากแต่ต้องร่วมกันแบ่ง" ของดี "ที่มีอยู่ในตัวเองออกมาให้เป็นประโยชน์ต่อธุรกิจ เช่น ใช้ connection ของแต่ละคนในการขอความร่วมมือจากเพื่อนคนอื่นๆ ที่หลากหลายวงการ หลายอาชีพ, เป็นคนขยัน, เป็นคนที่มีทักษะความสามาถอย่างใดอย่างหนึ่งพอควรอย่าเปิดธุรกิจเฉยๆ โดยไม่มีความรู้ความสามารถอะไรซักอย่าง ยิ่งว่างเปล่าเท่าไหร่ ยิ่งส่อแววเจ๊งไวเท่านั้น
#6 อย่าให้บุคคลที่สามเข้ามาวุ่นวายกับหุ้นส่วนให้มาก

แต่ละคนย่อมมีคนที่รัก ที่หวังดี คอยให้คำแนะนำต่างๆ เสมอ เรารับฟังได้ คิดตามได้ แต่อย่าให้มันเหนือกว่าหุ้นส่วนถ้าคิดจะจริงจังกับการทำธุรกิจร่วมกับเพื่อนจริงๆ หรือถ้าคำเตือนของคนรอบข้างมันน่าคิด มีเหตุผล ก็เอาไปคิดดูก่อนตัดสินใจจริงจังก็ได้เพราะเรื่องธุรกิจไม่ใช่ของที่จู่ๆ ใครๆ ก็ทำได้สำเร็จ ถ้าไม่ชัวร์จริงๆ
#7 เพื่อนเราคนนั้นมีบุคคลอื่นใดที่เราพอจะรู้จักบ้างรึเปล่า?

เช่น พ่อแม่, เพื่อนที่ทำงาน, ผู้ใหญ่ที่เขานับถือและรู้จักกันดี เผื่อว่าเกิดปัญหาบางอย่าง เช่น วันดีคืนดีก็มาเชิดเงินกองกลางไปดื้อๆ แล้วตามตัวไม่ได้ เราก็จะสามารถติดต่อคนอื่นๆ ได้เพื่อชี้แจงเหตุการณ์ทั้งหมด มันไม่ใช่การมองโลกในแง่ร้ายแต่อย่างใด หากแต่เป็นการเซฟตัวเองไว้บ้าง เพราะเคยมีคนประสบพบเจอเหตุการณ์เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว ( ไม่เชื่อก็ลองหาอ่านในพันทิปดูสิ แชร์ประสบการณ์ให้พรึ่บเลยเกี่ยวกับเพื่อนที่ชักดาบไม่มี หนี ไม่จ่าย )
#8 เคยสมมติเหตุการณ์ไม่คาดคิดไว้ในใจบ้างรึเปล่า?

นอกจากปัญหาที่อาจเกิดจากเพื่อนคนใดคนหนึ่งตุกติกกันขึ้นมา ควรสมมติปัญหาอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นและวิธีแก้ด้วย เช่น ถ้าเงินทุนหมดจะทำยังไง? เราจะป้องกันไม่ให้มีคนขโมยผลงานไปอย่างไร? ต้องทำประกันภัยทรัพย์สินอะไรบ้าง? เราควรรู้กฎหมายอะไรเกี่ยวกับการค้าบ้าง? ฯลฯ
เรื่องเงินทองไม่เคยเป็นเรื่องเล่นๆ นอกจากมันทำให้ฐานะเราดีขึ้นหรือแย่ลงได้ มันยังคาบเกี่ยวกับกฎหมายและสังคมด้วย บอกแล้วว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่ใช่เล่นๆ จริงๆ ถ้าไม่คิดเยอะๆ ก็พับโครงการไว้ก่อนเนาะ เพื่อความปลอดภัยของตัวเราเองและความสัมพันธ์ :)
บทความที่เกี่ยวข้อง

10 วิธี รับมือกับ 'เพื่อนขี้นินทา'
https://sistacafe.com/summaries/5635

7 วิธี อยู่กับเพื่อน "เรียกร้องความสนใจ" อย่างสันติ
https://sistacafe.com/summaries/8459

12 นิสัยสุดน่ารำคาญของเพื่อนสาว "เมื่อมีแฟน"
https://sistacafe.com/summaries/6751