Hello สวัสดีค่าาาา มาดามลูลู่ขาประจำกลับมาแล้ววว อ๊ะ!! แต่วันนี้ไม่ได้มาตรวจดวงชะตาสาวๆ แต่อย่างใด แต่จะมาแนะนำสถานที่เที่ยวเก๋ๆ เวอร์วัง อลังการล้านแปด ให้เธอๆ ๆ ทั้งหลายได้พาแม่ไปเที่ยวกันในวันหยุดที่จะถึงนี้

ซึ่งสถานที่ที่มาดามจะแนะนำนั้นก็คือ พิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ ค่ะ!!!
มาดามเชื่อว่า สาวๆ หลายคนอาจจะเคยได้ยิน หรือได้เห็นกับไอเท็มของสถานที่แห่งนี้มาบ้างแล้ว ด้วย รูปปั้นช้างสามเศียร ขนาดมหึมา ตั้งเด่นเป็นสง่าอย่างในรูป แต่....ใครจะรู้บ้างมั้ยน้อว่า สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่เกี่ยวกับอะไร ตั้งอยู่ที่ไหน ใครเป็นคนสร้าง ???
เอ๊ะ!!! เอ๊ะ!! เอ๊ะ!! เดาไม่ถูกกันล่ะสิ....
ไม่ต้องเดาค่ะ เดี๋ยวมาดามจะจำแลงแปลงกายเป็นไกด์สาว พาเที่ยวชมสถานที่แห่งนี้เอง
มามะ...อะฮ้าาา...มาเลยย!!

ตามปกติแล้วพิพิธภัณฑ์ส่วนใหญ่มักจัดแสดงเกี่ยวกับวัตถุ หรือสิ่งนั้นๆ ตามชื่อของพิพิธภัณฑ์ เช่น พิพิธภัณฑ์ผ้าไทย ก็จะจัดแสดงเกี่ยวกับผ้าไทยในสมัยก่อน พิพิธภัณฑ์แมลง ก็จะจัดแสดงเกี่ยวกับพวกแมลงสายพันธุ์ต่างๆ อีกอย่างถ้าพูดถึงพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับช้าง ก็จะมีที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติช้างต้น ที่กรุงเทพมหานครอยู่แล้ว ซึ่งที่นั่นก็จะเล่าถึงประวัติศาสตร์ของช้างมาตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี
ฮั่นแน่!! สาวๆ หลายคนคงสงสัยกันล่ะสิว่า พิพิธภัณฑ์แห่งนี้จะจัดแสดงเกี่ยวกับอะไร ??? แน่นอนว่า ไม่ได้รวบรวมซากของช้างเอราวัณไว้แน่ๆ ค่ะ /// แหม...ของอย่างนั้นจะไปมีได้ยังไงกันล่ะคู้ณณณณณณ
แต่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ กลับเป็นสถานที่ที่รวบรวมโบราณวัตถุที่ล้ำค่า หายาก และมีค่ายิ่งของประเทศชาติเอาไว้ โดยได้จำลองพื้นที่โดยรอบของพิพธภัณฑ์ให้เป็นป่าหิมพานต์ค่ะ ว้าวววว!!! บอกเลยว่าที่นี่เหมาะแก่การถ่ายรูปจริงๆ

ซึ่ง พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ตั้งอยู่ที่ ต. บางเมืองใหม่ อ. เมือง จ. สมุทรปราการ ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ เท่าไรนัก
โดยสาวๆ สามารถ นั่งรถไฟฟ้า BTS มาลงที่สถานีแบริ่ง แล้วนั่งรถเมล์สาย 25, 102, 142, 365, 507, 511 และสาย 536 มาตามถนนสุขุมวิทได้เลยค่ะ ซึ่งพิพิธภัณฑ์จะอยู่ทางด้านซ้ายมือ ใกล้กับทางด่วนวงแหวนกาญจนาภิเษก

พิกัดแผนที่ค่าาาา
หลังจากที่ลงรถแล้ว สาวๆ ทั้งหลายขาาา เดินตามมาดามมาเลยค่ะ เมื่อเราเข้ามายังพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ภายในก็ดูกว้างขวางโอ่อ่าดี โดยเฉพาะกับรูปปั้นช้างสามเศียรที่เป็นไฮไลท์ของที่นี่ ดูเลอค่าไม่เบาเลยค่ะ!!
อ้อ!! ก่อนอื่นเลยเราก็ต้องมาซื้อตั๋วเข้าไปก่อนนะคะ ผู้ใหญ่ราคาอยู่ที่ 200 บาท ส่วนเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ก็ 100 บาท ค่ะ ถ้าหากใครมีเพื่อนเป็นชาวต่างชาติก็สามารถพามาได้นะคะ เพราะที่นี่มีบริการไกด์ต่างภาษาให้ด้วย เป็นภาษาอังกฤษ และภาษาจีนค่ะ
ที่นี่เปิดทุกวันนะคะ ตั้งแต่ 9 โมงเช้า - 4 ทุ่ม

เมื่อก้าวพ้นธรณีประตูมาแล้ว ภาพแรกที่เราจะได้เห็นก็คือ ภายในพื้นที่โดยรอบถูกจัดตกแต่งเป็นสวนสวยๆ จำลองเป็นป่าหิมพานต์เอาไว้ ซึ่งภายในสวนก็จะมีรูปปั้นของสัตว์ในวรรณคดีไทยต่างๆ เช่น กินนร-กินรี นาค นางเงือก วารีกุญชร นกหัสดีลิงค์ รวมไปถึงช้างเอราวัณด้วย
ภายในพิพิธภัณฑ์มีส่วนที่จัดแสดงเกี่ยวกับประวัติของผู้สร้าง รวมทั้งที่มา และวัตถุประสงค์ของการจัดสร้างสถานที่แห่งนี้ ซึ่งหลังจากที่มาดามไปสืบค้นเวชระเบียนมาก็พบว่า ผู้สร้างคือ คุณเล็ก วิริยะพันธุ์ ซึ่งเป็นผู้สร้างคนเดียวกับเมืองโบราณ และปราสาทสัจธรรม ที่จังหวัดชลบุรี

กินนร-กินรี ณ สวนหิมพานต์


บรรยากาศ ณ สวนหิมพานต์ภายในพิพิธภัณฑ์ ร่มรื่นดีใช่ม้าาาา ^ w ^
โดยวัตถุประสงค์ของการสร้างสถานที่อันวิจิตระการตาแห่งนี้ ก็เพราะต้องการที่จะให้คนรุ่นหลังอย่างพวกเธอๆ ได้ชื่นชมกับของเก่า และวัตถุโบราณซึ่งเป็นสมบัติของชาติที่ท่านได้สะสมมาตั้งแต่เมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งขณะนั้นท่านเองก็คงกลัวว่า เมื่อสิ้นท่านไป ของหลายๆ ชิ้นที่ท่านสะสมจะถูกขายออกนอกประเทศ หรือสูญหาย ซึ่งมีบางชิ้นก็เป็นของสำคัญของบ้านเมือง
เพราะคุณเล็กไม่ได้เป็นเพียงพวกนักสะสมทั่วไป แต่ท่านยังศึกษาและเรียนรู้ถึงที่มาของวัตถุชิ้นนั้นๆ อย่างแท้จริง จนในที่สุดก็เกิดเป็นพิพิธภัณฑ์นี้ขึ้นมาตามความประสงค์ของท่านเป็นครั้งสุดท้าย แหม่!!...น้ำตาจะไหล T ^ T

เมื่อทราบถึงประวัติ และที่มาของพิพิธภัณฑ์นี้แล้ว ก่อนจะเที่ยวชม...มาดามขออนุญาตพาสาวๆ มาไหว้เจ้าพ่อช้างเอราวัณทางด้านหน้าอาคารพิพิธภัณฑ์ก่อน ซึ่งเป็นองค์จำลองของรูปปั้นช้างสามเศียรขนาดใหญ่ที่เราๆ เห็นในตอนแรกนั่นแหละค่ะ จะมีผู้คนมากราบไหว้ขอพรอยู่เป็นจำนวนมาก แถมมีเสียงลือ เสียงเล่าอ้างมานักต่อนักแล้วนะคะว่า เจ้าพ่อช้างฯ องค์นี้ให้หวยแม่นอย่าบอกใคร หากอธิษฐาน หรือขอพรดีๆ ก็จะได้สมปรารถนาทุกราย ///ตอนไหว้อย่าลืมสะกิดบอกคุณแม่นะคะ
และทางด้านขวามือของที่สักการะนั้นก็มีเทวรูปองค์พระพิฆเนศสำริดประดิษฐานอยู่ ซึ่งสามารถให้ผู้มีจิตศรัทธาเข้าไปกราบสักการะได้เช่นกัน

เจ้าพ่อช้างเอราวัณ อันลือเลื่อง พาหนะของพระอินทร์

องค์พระพิฆเณศ ซึ่งประดิษฐานอยู่ภายในพิพิธภัณฑ์
เอาล่ะ!! หลังจากที่แสดงความเคารพต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ปกป้องดูแลพิพิธภัณฑ์แห่งนี้แล้ว ก็ถึงเวลาที่จะได้เยี่ยมชมสถานที่แห่งนี้กันจริงๆ เสียที
เริ่มจากในส่วนที่เป็นตัวตึกใหญ่ของพิพิธภัณฑ์ ถูกแบ่งออกเป็น 3 ชั้น ตามความเชื่อของไตรภูมิพระร่วง โดยแบ่งออกเป็น ชั้นบาดาล ชั้นโลกมนุษย์ และชั้นสวรรค์ โดยในส่วนของชั้นบาดาล ซึ่งเป็นชั้นใต้ดินของตัวอาคารนั้น ทางพิพิธภัณฑ์ไม่อนุญาตให้บันทึกภาพในทุกกรณี /// เป็น Top Secret สุดๆ

โครงสร้างของอาคาร แบ่งเป็น 3 ส่วน
เอาเป็นว่า ถ้าใครอยากรู้ว่าแต่ละชิ้นมีอะไรบ้าง คงต้องไปดูกันเอาเอง เพราะถ้าให้มาดามสาธยาย คงจะแซยิดกันพอดี เพราะมีเยอะมากกกกกก
อ่ะ!! แต่ก็จะเล่าคร่าวๆ ให้ฟังละกัน ซึ่งในส่วนของชั้นนี้ได้จัดแสดงโบราณวัตถุที่มีค่า และสำคัญอย่างมากต่อประเทศ โดยบางส่วนก็เป็นของสะสมจากคุณเล็ก วิริยะพันธุ์ ที่ได้มอบไว้ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษา ตรงกลางห้องมีเทวรูปของ มนุษยนาค ประดิษฐานอยู่ เป็นนัยยะแฝงว่า มนุษยนาคตนนี้เป็นเทพารักษ์ที่คอยดูแลโบราณวัตถุแห่งนี้อยู่ใต้ผืนน้ำ

มนุษยนาค เทพารักษ์ผู้รักษาสมบัติของโลกบาดาล
ชั้นต่อมาคือ ส่วนของโลกมนุษย์ เป็นชั้นที่จัดแสดงงานศิลปะให้ได้ชมกันถึง 3 ประเภทนั่นก็คือ งานปูนปั้นสดประดับด้วยเครื่องถ้วยเบญจรงค์ งานต้นเสาดีบุกดุนลาย และ กระจกสี Stain Glass ( ถ้านึกภาพไม่ออก เดี๋ยวมีภาพประกอบให้ด้านล่างค่ะ ) ซึ่งในชั้นนี้ได้บอกเล่าถึงเรื่องของ 4 ทวีปใหญ่ ในตำนานไตรภูมิ คือ ชมพูทวีป บุรพวิเทหทวีป อุตรกุรุทวีป และ อมรโคยานทวีป เป็นตัวแทนเสาทั้ง 4 เสาภายในอาคาร โดยในแต่ละเสามีภาพวาดเล่าเรื่องราวของศาสนาทั้ง 4 คือ ศาสนาคริสต์ ศาสนาพรามณ์-ฮินดู ศาสนาพุทธนิกายมหายาน และศาสนาพุทธนิกายเถรวาท
ตรงกลางชั้นลอยที่เชื่อมกับบันได ประดิษฐานเทวรูป พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร หรือองค์เจ้าแม่กวนอิม ซึ่งตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างเสาทั้ง 4 เสา เปรียบเสมือน เขาพระสุเมรุ ที่ตั้งอยู่ตรงกลางของทวีปทั้ง 4 นอกจากนี้ด้านบนเพดานของตัวอาคาร ก็ประดับด้วยกระจกสี Stain Glass อย่างโบสถ์คริสต์ ที่บอกเล่าเรื่องราวของท้องฟ้า และดวงดาวในจักรราศีต่างๆ อย่างสวยงาม และดูเป็นเอกลักษณ์

บันได และเสาทั้ง 4 เสา ตามความเชื่อของทวีปทั้ง 4

กระจกสี Stain Glass ตามความเชื่อของศาสนาคริสต์ ที่วาดตามหลักของจักรราศี

ซูมกันให้ชัดๆ ไปเล้ยยยยย

เทวรูปพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร หรือเจ้าแม่กวนอิม ประดิษฐานอยู่ ณ กลางอาคารของชั้นนี้ เปรียบกับผู้ที่หลุดพ้นจากกิเลส ท่ามกลางหมู่มวลมนุษย์

งานปูนปั้นสดประดับด้วยเครื่องเบญจรงค์ งานดี งานละเอียดแบบนี้ งดงามมากๆ เลย!! //ปรบมือรัวววว
และชั้นสุดท้าย ซึ่งเป็นส่วนของด้านบน คือ ชั้นสวรรค์ โดยชั้นนี้ตั้งอยู่ภายในส่วนของตัวช้างเอราวัณ บริเวณท้อง ซึ่งเราสามารถเดินขึ้นมาชั้นนี้ได้โดยบันไดวน ที่อยู่ภายในส่วนของเท้าหลังข้างขวาของตัวช้าง ชั้นนี้ประดิษฐานองค์ พระพุทธรูปที่เก่าแก่เป็นองค์ประธาน และรายล้อมด้วยพระพุทธรูปปางต่างๆ ตามแต่ละยุคสมัยของไทย
ในส่วนของบรรยากาศโดยรอบถูกจำลองด้วยงานศิลปะภาพเขียนสีฝุ่นโดยช่างชาวเยอรมัน บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับระบบสุริยะจักรวาลบนผนังท้องช้าง ซึ่งหากเปรียบเข้ากับทางพระพุทธศาสนาแล้วก็คือ การเข้าสู่พระนิพพาน ตามประสงค์อันสูงสุดของพุทธศาสนิกชนทั่วไป ///ได้ขึ้นมาเห็นแล้วอยากจะนิพพานเลยค่ะ

กดขยายเพื่อชมความงดงามแบบเต็มๆ ค่ะ

พระพุทธรูปสมัยต่างๆ ที่ประดิษฐานรายล้อมอยู่รอบนอก

องค์พระประธาน

ภาพงานศิลปะสีฝุ่น ที่วาดจำลองเรื่องราวของจักรวาล

เป็นไงบ้างคะ สถานที่ที่มาดามแนะนำในวันนี้ หลายๆ คนคงอยากมาเยี่ยมชมกันแล้วล่ะสิท่า
อ๊ะๆ ๆ ๆ !!! ดังนั้น อย่ารอช้าค่ะ วันแม่ปีนี้พาคนในครอบครัวของเธอ มาชื่นชมความงดงามกันดีกว่า
มาดามขอบอกเลยค่ะว่า ใครที่ได้มา จะต้องมีแต่ความสุข อิ่มอก อิ่มใจกลับไป เพราะนอกจากจะมาเที่ยวชมสถานที่สวยๆ แล้ว ยังได้ทำบุญ ทำจิตใจให้เป็นกุศลอีก เหมาะแก่การพาคนในครอบครัวมาเที่ยวจริงๆ ค่ะ สำหรับวันนี้มาดามต้องขอตัวก่อนนะคะ บ๊ะบี!!!
Comments