สวัสดีจ้า... เหล่าหนุ่มสาวผู้หลงใหลและรักการท่องเที่ยวทุกๆ คน
ในหน้าฝนแบบนี้ หลายๆ คนอาจะแอบคิดอยู่ว่า ถ้าได้หนีหน้าฝนที่ไทย ไปหลั่นล้าอยู่ต่างประเทศก็คงจะดี
แต่ที่ไหนล่ะ ที่จะทำให้หน้าฝนไม่น่าเบื่อ และโรแมนติกสุดๆ เอาจริงๆ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน สำหรับใครที่ไม่ชอบฝน ก็คงจะไม่ชอบอยู่ดีนั่นแหละ
แต่บางที การได้ไปติดฝนที่ต่างประเทศ มันก็ให้อารมณ์ที่แตกต่างกัน ไม่จับเจ่าเหมือนตอนที่หนีฝนอยู่แต่ในบ้านเหมือนกันนะ
แต่พอพูดถึงที่ไหน ที่ทำให้หน้าฝนกลายเป็นฤดูที่โรแมนติก มันก็อดจะนึกถึงซีรีส์เกาหลีไม่ได้เลย อย่างเรื่อง
Something in the rain
ถ้าใครได้ดูคงจะรู้สึกว่า
บางครั้งฝนที่ตกลงมามันก็ช่วยชะล้างอะไรบางอย่างในใจ และเป็นสถานการณ์ที่ฟ้าประทานมาให้พร้อมกับเม็ดฝนจริงๆ
สำหรับประเทศเกาหลี หลายคนอาจจะรู้จักแค่เฉพาะเมืองใหญ่ๆ อย่างโซล ไม่ก็ปูซาน
ที่กลายเป็นภาพยนตร์โด่งดังไปเมื่อปีก่อน ซึ่งแน่นอนว่ากลายเป็นอีกสถานที่หนึ่งที่ทุกคนต้องไม่พลาด
แต่ครั้นจะไปแต่ที่เดิมๆ ถึงจะสนุกแค่ไหน ก็คงไม่เบิกบานเท่าได้ไปเปิดหู เปิดตาในสถานที่ใหม่ๆ จริงมะ
ซึ่งหลายคนก็ต้องอยากรู้แน่นอนเลยว่า นอกจากโซล ปูซาน เกาะนามิแล้วเนี่ย เกาหลีมีอะไรให้ไปอีกมั้ยน้อ อยากรู้แต่ก็ไม่อยากเสี่ยง งั้นไปเที่ยวที่อื่นแทนดีกว่า ( เย้ย! )
เดี๋ยวก่อน!
เพราะทุกประเทศย่อมมีอัญมณีที่ซ่อนอยู่ และเกาหลีเองก็เช่นกัน
ต่างจังหวัดในเกาหลีที่คนไม่ค่อยคุ้นเคยก็มีสถานทีท่องเที่ยวมากมาย ที่เปรียบเสมือนดังอัญมณีที่ถูกซ่อนเอาไว้ และเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา
เราก็มีโอกาสดีๆ ได้ไปทำการค้นหาสมบัติที่เป็นพิกัดสวยๆ มาฝากเพื่อนๆ
ทุกคนแล้ว กับทริปที่จะพาทุกท่านไปเยี่ยมชม
เกาหลีที่บ้านนอก อยากบอกว่าได้ลองแล้วจะหลงรัก!
เรื่องจริงที่อยากบอก "เกาหลีที่บ้านนอก" ได้ลองแล้วจะ "หลงรัก" !
สำหรับการเดินทางครั้งนี้ เราจะเดินทางไปสู่จังหวัด
ชอลลานัมโด
จังเป็น
จังหวัดทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ เรียกอีกอย่างว่าชอลลาใต้
แน่นอนว่าถ้ามีชอลลาใต้ ก็ต้องมีชอลลาเหนือ แต่จะมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า ชอลลาบุกโด
สำหรับการเดินทางมาที่จังหวัดชอลลานัมโดนี้ อาจจะยังไม่ค่อยมีเที่ยวบินที่ไหนเยอะนัก แต่เราใช้วิธี
เดินทางมาที่สนามบินมูอัน ซึ่งมีเที่ยวบินของ เจจูแอร์
ซึ่งราคาไม่แรงมาก แต่ประสบการณ์ที่เราได้รับรองว่าอื้อหือ โอ้โห เบิกบานใจแน่นอนจ้า
Day 1 ◑

เริ่มวันแรก
แพลนการเดินทางจะมีโลเคชั่นอยู่ที่เมืองกวางจูซะเป็นส่วนใหญ่
เราจึงมาลงที่
สนามบินมูอัน
ซึ่งสิ่งหนึ่งที่ทำให้เรารู้สึกว่าทริปนี้จะต้องมีอะไรที่ประทับใจแน่นอน ก็เริ่มจากตั้งแต่เครื่องบินเริ่มเข้าเขตย่านทะเลก่อนถึงสนามบินเลยค่ะ
บอกเลยว่าวิวสวยมาก
ทุกแหล่งล้อมรอบไปด้วยทะเลที่ไกลสุดลูกหูลูกตา และสีสวยมาก
มีเรือจอดเทียบท่าอยู่เยอะด้วย แทบจะมองเห็นอาชีพหลักๆ ของคนในเขตนี้เลย จนบางทีแอบหวั่นว่า
นี่เราต้องนั่งเรือเข้าโซลรึเปล่านะ
เพราะมองไม่เห็นทางเชื่อมระหว่างโซลกับมูอันที่เป็นอย่างอื่นนอกจากแม่น้ำเลย ( รู้สึกโง่กะทันหัน ฮ่าๆ )

สนามบินมูอัน ถือว่าไม่ใหญ่มาก มาพร้อมกับบรรยากาศเงียบสงบ
ส่วนใหญ่จะเป็นชาวเกาหลีด้วยกันเองที่เดินทางมา ( บางคนก็จะพกอุปกรณ์ดำน้ำมาด้วย น่าจะมีกิจกรรมอะไรแบบนี้อยู่เหมือนกัน )
แต่สำหรับใครที่เดินทางมาเดี่ยวๆ อาจจะต้องมีหลักฐานที่น่าเชื่อถืออยู่สักหน่อย เพราะเจ้าหน้าที่ก็ค่อนข้างเข้มงวด แต่ก็ใจดีนะคะ
เข้าใจในมุมของเขาว่ายังไม่ใช่เมืองที่การท่องเที่ยวบูมแบบโซล ปูซาน หรือเกาะนามิที่เราคุ้นเคย
เมื่อเข้ามาถึงด้านในก็พบกับไกด์นำเที่ยว ของฮานะทัวร์
ซึ่งสิ่งที่ทำให้คิดว่าเป็นเรื่องดีอีกอย่าง คือได้ไกด์ที่เป็นชาวเกาหลีแท้ แต่สามารถพูดไทยได้ ข้อดีคือเราจะได้ข้อมูลแน่นๆ จากชาวเกาหลี ในภาษาที่เข้าใจได้ง่าย
จริงๆ หากฟังอังกฤษก็เหมือนได้ฝึกภาษา แต่สำหรับสถานที่ใหม่ๆ ที่ไม่คุ้นเคย การได้เข้าใจง่ายๆ ก็สำคัญเหมือนกันเนอะ
หลังจากพบไกด์แล้ว สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือการทำธุระให้เรียบร้อยด่วนๆ เลย สิ่งที่ชอบก็คือ
แม้จะเป็นต่างจังหวัด แต่ห้องน้ำที่นี่ก็สะอาด และมีระบบฉีดน้ำด้วย
เป็นอะไรที่คนไทยน่าจะขาดไม่ได้เหมือนกัน ต่อจากนี้ก็เดินทางโดยรถบัส สู่เมืองกวางจูเลยจ้า
สำหรับการนั่งรถทัวร์ของที่นี่ แม้จะเดินทางใกล้หรือไกล ก็ต้องคาดเข็มขัดตลอดเวลานะจ๊ะ
เพราะความปลอดภัยก็สำคัญที่สุดสำหรับการท่องเที่ยว ไกด์ย้ำสักรอบสองรอบ ครั้งต่อไปชิน จิตใต้สำนึกสั่งให้รัดเข็มขัดเองทุกครั้งที่ขึ้นรถเลย
อุทยานแห่งชาติ มูดึงซัน

สถานที่แรกของวันแรกก็คือ
อุทยานแห่งชาติมูดึงซัน
โดยกิจกรรมที่น่าสนใจที่นี่ก็คือ
การขึ้นเขาที่มีความสูงถึง 1186 เมตร
ซึ่งมีสตอรี่ที่คล้ายๆ กับแหล่งท่องเที่ยงดังๆ อย่างตึก 63 ถ้าไปไม่ถึงชั้นบนสุด ก็เหมือนไปไม่ถึงใช่มั้ยล่ะ ที่นี่ก็คือกัน
หากมาถึงแล้วก็ต้องไปให้ถึง 1186 เมตร ฉะนั้นวันนี้คนกลัวความสูงอย่างเรา ก็จะต้องไปนั่งเคเบิลคาร์ขึ้นภูเขากันค่ะ!

ราคาบริการก็จะมีให้เลือกหลายแบบอยู่ค่ะ สำหรับเรานั่งเจ้าสิ่งที่เรียกว่า
ลิฟต์ ในราคา 9,000 วอน ซึ่งจะได้ทั้งนั่งไป และนั่งกลับ
อีกแบบที่น่าสนใจก็คือ
โมโนเรล ซึ่งช่วงที่เราไปเขาปิดปรับปรุงอยู่ก็อดลองกันไปสวยๆ
มาพูดถึงการนั่งลิฟต์ขึ้นเขา
เห็นเรียกว่าลิฟต์แบบนี้ ไม่ได้หมายถึงอยู่ในตู้ปิดแล้วเลื่อนขึ้นไปเฉยๆ นะ แต่เป็นการเลื่อนเหมือนกับเคเบิลคาร์ ซึ่งเป็นที่นั่งได้ทีละ 2 คน
คนกลัวความสูงอย่างเราได้ยินก็สั่นสิจ๊ะ คิดว่าคงจะเป็นตู้กระจกใสๆ แล้วนั่งได้ทีละ 2 คน แล้วคนที่จะนั่งด้วยกัน ก็กลัวความสูงเหมือนกัน สภาพที่นึกไว้คือ คงจะพากันกลัวแน่นอน
แต่เมื่อเราไปถึงต้นทาง และได้เห็นเจ้าสิ่งที่เรียกว่าลิฟต์จริงๆ ก็สั่นหนักกว่าเดิมจ้า เพราะมันไม่ใช่ตู้แต่เป็นเก้าอี้!

สภาพลิฟต์คือแบบนี้นาจา
เป็นเหมือนเก้าอี้สาธารณะ แต่มีที่กั้น ก็นั่งเสียวๆ สวยๆ กันปาย
ซึ่งก็ไม่ได้ถือว่าน่ากลัวมากนะสำหรับขาขึ้น
เพราะระยะเริ่มจะไม่สูงมาก พื้นยังต่ำๆ และเมื่อสูงขึ้นก็หวิวๆ หน่อย แต่ว่าด้านล่างจะมีตาข่ายรองอยู่ พอให้เบาใจว่า เอาฟระ ตกไปก็มีตาข่ายรอง!
ถ้าตัดเรื่องกลัวความสูงไปบอกเลยว่า
บรรยากาศดีมากถึงมากที่สุด มีเพลงเปิดคลอๆ เหมือนอยู่ในหนังรักเลย มากับเพื่อนก็ได้ มากับคู่รักก็ดี
เห็นคู่รักมาด้วยกันก็หนุงหนิงดี อาจุมม่ามากับเพื่อนก็น่าร้ากกก
ระหว่างนั่งก็พยายามนึกถึงคำที่ไกด์พูดให้กำลังใจทุกคนว่าไม่ต้องกลัว เคเบิลคาร์นี้ใช้มา 50 ปีแล้ว! ( หือ.. ) ใช้มา 50 ปี แล้วแต่ตรวจตราตลอด ( อ่อ ... ค่อยยังชั่ว )

เมื่อมาถึงยอดเขาแล้ว ก็เดินทางไปยังจุดชมวิว ระหว่างทางมีแหล่งชมวิวมากมาย มีที่ให้นั่งพักก็มี แต่ที่ชอบคือ การได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติ
อากาศที่นี่เย็นสบายมาก มีลมเย็นๆ ตลอดเวลา
และแน่นอนว่าจะต้องมีการเรียงหินเกิดขึ้น! ( ก็สวยไปอีกแบบนะ ฮ่า )

ใกล้ๆ จุดชมวิว
เมื่อเดินไปต่ออีกหน่อย จะเป็นทางขึ้นไปยังโมโนเรล
ซึ่งไหนๆ ก็มาแล้ว ขอไปให้ถึงหน่อยละกัน ถึงจะไม่ได้ขึ้นก็ตาม อยากรู้ว่าโมโนเรลที่บอกว่านั่งได้หลายคน จะน่าสนุกแค่ไหน ที่ฟังจากไกด์เล่าคือจะ
นั่งได้ทีละหลายคน
ฟังครั้งแรกก็คิดว่า
มันต้องรู้สึกเบาใจกว่านั่งแค่สองคนบนเก้าอี้ลอยฟ้าแน่นอน แต่เมื่อไปถึงก็ทำเอาคนดู ( อย่างเรา ) ถึงกับอึ้ง!

พระเจ้าช่วย! โชคดีที่อยู่ในช่วงปรับปรุง ขอกลับไปนั่งลิฟต์แบบเดิมดีกว่า
เพราะสูงมากเวอร์ เหมือนสวนสนุกเลย
ในภาพอาจจะมองไม่เห็น แต่ถ้าไม่มีต้นไม้บัง จะเห็นได้ว่าโครงเหล็กสูงมาก สำหรับ
ใครที่ไม่กลัวความสูงจัดว่าโอเคเลยนะ น่าจะชอบ เพราะเพื่อนร่วมทริปหลายคนที่รู้สึกตื่นเต้นกับโมโนเรลมาก
น่าจะถูกใจผู้ที่รักในธรรมชาติ และความตื่นเต้น แถมราคาก็ไม่แพงด้วย
เอาล่ะ มาดูพอให้หายสงสัย
ใครที่ตั้งใจจะมานั่งโมโนเรล อาจจะต้องสอบถามก่อนว่าโมโนเรลสามารถใช้ได้รึเปล่า
ไม่งั้นอาจจะมาเสียเที่ยวได้ แต่สำหรับเรา
ขอตัวกลับไปนั่งลิฟต์ลงเขาเหมือนเดิม
และขาลงก็อย่างที่คิด งานหนักกว่าเดิม ( สำหรับคนกลัวความสูงอาจจะเข้าใจความรู้สึกว่า ขาลง น่ากลัวกว่าขาขึ้นมาก ) เรียกได้ว่านั่งหลับตาตลอดทาง มีแอบหรี่ขึ้นมาดูบ้างให้พอโลกสดใส
ขาลงก็ลงทางเดิม แต่ช่างรู้สึกว่าตาข่ายที่รองรับอยู่นั้นช่างห่างไกลกันเหลือเกินนน

โดยรวมแล้ว เป็นสถานที่ถ้าได้มาถึงกวางจูแล้ว ไม่ควรจะพลาดด้วยทุกประการเลย เพราะบรรยากาศดี ชิลมากถึงมากที่สุด
ถ้ามีโอกาสได้มากวางจู ต้องไม่พลาดอุทยานแห่งชาติ มูดึงซันเด็ดขาดเลยนะจ๊ะ
วิธีการเดินทางก็ง่ายๆ เลยจ้า หากเริ่มจาก
Gwangju Bus Terminal ก็นั่งรถบัสสาย 9 มาลงที่ทางเข้าวัด Jeungsimsa แล้วเดินต่ออีกหน่อย มายังอุทยานแห่งชาติมูดึงซาน
Dwaeji galbi หมูย่างกระทะร้อน

มาตอนนี้ก็เข้าสู่ช่วงกลางวันแล้ว และเราก็ไม่ลืมว่ากองทัพต้องเดินด้วยท้อง! ฉะนั้นก่อนจะไปลุยกันต่อ เราก็มาเติมพลังกันสักหน่อย โดยอาหารเกาหลีมื้อแรกที่เราจะได้ไปทานกันในฐานนะมื้อกลางวันก็คือ
หมูย่างกระทะร้อน หรือที่เรียกว่า Dwaeji Galbi
ซึ่งร้านที่เราไปทานกันอยู่ที่เมือง
Damyang
และน่าจะขึ้นชื่อทีเดียวเพราะว่ามีคนมาทานเยอะมาก

ซึ่งอาหารส่วนใหญ่จะมาแบบเป็นเซ็ต มีเมนูแปลกตาหลายอย่างมาก
ไม่ว่าจะเป็นซุปเย็นๆ ที่ต้องกินทั้งที่ยังมีน้ำแข็ง หรือแม้แต่สลัดมะเขือเทศ
ซึ่งมะเขือเทศของที่นี่ ลูกใหญ่ หวานฉ่ำ อร่อยมากๆ เลย
แต่ที่ขาดไม่ได้ก็คือ
หมูย่างกระทะร้อน ซึ่งจะมีเนื้อหมูมาชิ้นใหญ่ๆ ให้เราย่าง แล้วตัดกินกันได้ตามใจชอบ
รสชาติที่ได้ชิมก็คือ คล้ายๆ หมูย่างนมสด
แต่ว่าอร่อยกว่า เนื้อนุ่ม ชิ้นใหญ่กว่ามาก ถ้าใครชอบอาหารปิ้งย่าง ต้องมาลองสักครั้งจ้า

Soswaewon Garden

สวนซอแซวอน จัดเป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งในเมือง Damyang
เนื่องจากความชิลล์ และวิวทิวทัศน์ที่สวยเหมาะแก่การถ่ายภาพสุดๆ
ไม่ว่าจะสายวิว หรือ portrait จะต้องชอบแน่นอน เพราะจุดเด่นของที่นี่คือป่าไผ่ที่สัมผัสได้ถึงบรรยากาศป่าไผ๊ ป่าไผ่จริงๆ
มีจุดชมวิวมากมาย แถมมีแหล่งธารธรรมชาติด้วยนะ น่ารักมากๆ เลยแหละจ้า


วิธีการเดินทาง นั่งรถบัสจากสถานี
Gwangju Bus Terminal โดยขึ้นสาย 2-1 หรือ 2-4 จากนั้นลงที่ป้าย Soswaewon ได้เลยจ้า
Metasequoia - lined road

Metasequoia-lined Road
หรือชื่อไทยก็คือ
ถนนต้นสน
ถ้าคุณเคยเห็นถนนต้นสนสวยๆ ในซีรีส์เกาหลี หรือถนนต้นสนบนเกาะนามิล่ะก็
ที่นี่แหละคือต้นแบบฉบับของถนนต้นสน ใครจะรู้ล่ะว่าถนนต้นสนแบบออริจินอลจะอยู่ที่เมือง Damyang แห่งนี้เอง
ถ้าใครอยากได้วิวสวยๆ เหมือนอยู่ในซีรีส์
แนะนำให้เดินทางมาที่นี่ในฤดูใบไม้เปลี่ยนสี แล้วคุณจะได้พบกับถนนต้นสนแดง รับรองว่าสวยงามเหมือนอยู่ในโลกนิยายมากๆ เลย
แต่ถึงแม้จะมาฤดูใบไม้เขียวก็ได้ความรู้สึกสดชื่นไปอีกฟีล มีนักท่องเที่ยว และชาวเกาหลีเองก็พากันมาเดท มาเดินเล่นมากมาย ชิลล์ๆ สวยๆ ชมบรรยากาศสดชื่นกันไป


วิธีเดินทาง ขึ้นรถจากสถานี Central City Bus Terminal ไปที
Damyang Bus Terminal จากนั้นขึ้นรถบัสสาย 10-1 ( Nongeochon ) และลงรถที่ Gipeunsil Bus Stop
จากนั้นเดินต่ออีกเล็กน้อยก็จะถึงจ้า
Pengguin Village

มาถึงอีกสถานที่ที่อยากจะแนะนำให้ทุกคนได้รู้จักมากมากเลย ฟังจากชื่อ
หมู่บ้านเพนกวิน
ครั้งแรกที่ได้ยินทุกคนจินตนาการว่าจะเป็นหมู่บ้านยังไงกันเอ่ย
ส่วนใหญ่น่าจะคิดว่าจะต้องมีอะไรน่ารักๆ หรือมีเพนกวินเยอะ
ความเป็นมาจะต้องเกี่ยวกับสัตว์ที่ชื่อว่าเพนกวิน หรือไม่ก็ตุ๊กตาเพนกวินเยอะแยะมากมายเหมือนกันแน่ๆ
แต่ไม่ใช่เลย ประวัติความเป็นมาของหมู่บ้านเพนกวินนั้นเกิดจากการที่
วัยรุ่นส่วนใหญ่ก็อยากจะเข้าเมืองหลวง
เหมือนที่ประเทศไทยคนส่วนใหญ่ก็อยากจะไปทำงานที่กรุงเทพ
ฉะนั้นที่หมู่บ้านต่างจังหวัดแบบนี้ จึงเหลือแต่ผู้สูงอายุ และหมู่บ้านเพนกวินที่ว่าคือ ท่าเดินของผู้อาวุโสที่จะเดินคล้ายๆ เพนกวินนั่นเอง
เมื่อมีแต่ผู้สูงอายุก็จะเงียบเหงา แต่ที่แห่งนี้ได้แก้ไขด้วยการ
ทำให้หมู่บ้านนี้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยว ให้นักท่องเที่ยวมาถ่ายรูป ด้วยการจัดพร็อบไว้เต็มหมู่บ้านกันไปเลย
ไอเดียดีไม่เบานะเนี่ย!





นอกจากการตกแต่งหมู่บ้าน ที่สุดจะอาร์ต และน่ารักแล้ว
อีกมุมหนึ่งก็มีรูปปั้นที่เรียกร้องสิทธิสตรี โดยมีประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจอยู่ด้วยนะ

เป็นรูปปั้นของเด็กสาวคนหนึ่งที่นั่งกำมือแน่น ข้างๆ เป็นหญิงวัยชรา ซึ่งทั้ง 2 คนนี้เป็นคนเดียวกัน โดยหญิงคนนี้เป็น
ตัวแทนของสตรีเกาหลีในยุคที่โดนรุกรานจากชาวญี่ปุ่น ซึ่งในสมัยนั้นมีสตรีเกาหลีมากมาย ที่ถูกเกณฑ์ไปใช้แรงงาน บริการให้ทหารชาวญี่ปุ่น
ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ โดยบุคคลในรูปปั้นนี้เป็นสัญลักษณ์เรียกร้องที่บอกว่า
ชาวเกาหลี ยังคงต้องการคำขอโทษอยู่ และพร้อมที่จะให้อภัยหากมีการขอโทษ
ก็เป็นอีกเรื่องราวหนึ่งที่ค่อนข้างสะเทือนใจเช่นกัน
Yanglimdong historical cultural village

เดินมาอีกไม่ใกล้ ไม่ไกล จากหมู่บ้านเพนกวิน ที่เป็นหมู่บ้านของผู้อาวุโส ณ
ที่หมู่บ้านแห่งนี้ก็เป็นเสมือนหมู่บ้านของวัยรุ่น ซึ่งจะมีร้านรวง คาเฟ่ ในแบบโบราณ สไตล์มินิมอลอยู่เต็มไปหมด
รวมถึงงานสตรีทอาร์ตที่เหมาะแก่การถ่ายรูปเป็นอย่างยิ่ง





ถือว่าเป็นอีกพิกัดที่น่าสนใจมากๆ
มาต่อเดียว ได้สองต่อเลย ทั้งหมู่บ้านสำหรับผู้สูงอายุ และวัยรุ่น
ตั้งอยู่ใกล้ๆ กัน แถมแต่ละที่ก็น่าสนใจไม่แพ้กันเลยนะเนี่ย ส่วนวิธีการเดินทางสามารถมาได้โดย
นั่งรถไฟใต้ดิน ที่สถานี Gwangju Line 1 มาลงที่ Namgwangju Station ใช้ทางออก 3 จากนั้นต่อแท็กซี่ ไปที่ Penguin village จ้า
สำหรับโรงแรมในแถบกวางจูที่เราได้ไปพัก และอยากแนะนำก็คือโรงแรม
ACC Design Hotel
ซึ่งนอกจากจะค่อนข้างสบาย และบริการดีเยี่ยมแล้ว สิ่งสำคัญคือ
อยู่ใกล้แหล่งช้อปใจกลางเมืองกวางจูเลย ประหนึ่งเมียงดงย่อมๆ
กันเลยทีเดียว เที่ยวมาทั้งวัน
อยากจะหาครีมดีๆ เสื้อผ้าสวยๆ ใส่วันต่อไป รองเท้าใส่สบายๆ คู่ใหม่สักคู่ ก็มีหมด
ช้อปกันให้หนุกหนาน แล้วค่อยกลับไปพักผ่อนให้สบายใจกันได้เลยจ้า



Day 2 ◑
Gwangju Art Street

ถนนศิลปะเมืองกวางจู
น่าจะเป็นโลเคชั่นที่ถูกใจสายอาร์ตทุกคน เพราะสถานที่แห่งนี้จะ
เต็มไปด้วยศิลปะ ไม่ว่าจะเป็นงานรูปปั้นศิลปะ หรือจะเป็นร้านค้าส่วนใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับงานศิลปะ
อย่างงานเขียน งานวาด งานเซรามิก และอื่นๆ อีกมากมาย
ซึ่งทุกๆ วันเสาร์จะมีตลาดนัดงานศิลปะด้วยนะ
นอกจากจะถูกใจสายอาร์ตแล้ว คนอื่นๆ ก็น่าจะสนใจด้วยเช่นกัน เพราะว่าที่แห่งนี้บอกแล้วว่าเต็มไปด้วยศิลปะ
ฉะนั้นตลอดข้างทาง จะเต็มไปด้วยพร็อบ และฉากที่เหมาะแก่การถ่ายรูปมากๆ แม้แต่ร้านค้าก็ยังดูเป็นศิลปะเลย ใครที่ชอบวิวสวยๆ ฉากสวยๆ จะต้องชอบแน่นอนเลยจ้า


ใครสนใจโลเคชั่นสวยๆ หรืองานศิลปะ สามารถเดินทางมาได้ง่ายๆ โดยนั่ง
ใต้ดินมาลงที่สถานี Geumnamno 4 ( sa )-ga Station ( สาย 1 ) ทางออก 4
Heaven - ร้านอาหารจากชาเขียว

ที่เมืองโบซอง มีสถานที่เลื่องชื่ออย่างไร่ชาเขียวอยู่ด้วยนะ
และในวันที่ 2 นี้ก็จะได้ไปทัวร์ไร่ชาเขียวกัน ซึ่งตื่นเต้นมาก เพราะอยากรู้มานานแล้วว่า ไร่ชาเขียวจริงๆ นี่มันเป็นยังไง จะมีกลิ่นหอมชาเขียว เหมือนที่เราได้กลิ่นตอนสั่งชาเขียวมาดื่มมั้ย!? แต่ก่อนจะไปหาคำตอบกันนั้น ก็มาตื่นเต้นกับอาหารกลางวันกันก่อน
เพราะร้านอาหารที่เราจะไปวันนี้ มีอาหารที่ทำมาจากชาเขียวด้วย ไม่ว่าจะเป็นพิซซ่าชาเขียว หรือแม้แต่หมูที่เลี้ยงด้วยชาเขียว!




ไร่ชาเขียว Daehandawon

ไร่ชาเขียวแดฮันดาวอน หรือไร่ชาเขียวโบซองเป็นไร่ชาเขียวที่ใช้วิธีการปลูกชาแบบญี่ปุ่น ซึ่งจัดเป็นสถานที่ผลิตชาเขียวที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งในเกาหลีเลย และด้วยภูมิประเทศทำให้การปลูกไร่ชาเขียวแห่งนี้ใช้วิธีการปลูกแบบขั้นบันได ซึ่งทำให้วิวทิวทัศน์ที่ออกมาสวยสบายตามากๆ แถมอากาศก็ดี เรียกได้ว่าบรรยากาศสุดยอดไปเล้ย!

สำหรับค่าเข้าชมผู้ใหญ่จะมีค่าใช้จ่าย 4,000 วอน แต่ถ้ากลุ่ม 20 คนขึ้นไปราคาจะลดเหลือเพียง 3,000 วอน เท่ากับราคาของเด็กและผู้สูงอายุเลยจ้า


วิธีการเดินทางสามารถเดินทางมาได้โดย
ขึ้นรถ express bus จากสถานี Seoul Central City Bus Terminal มาลงที่สถานี Boseong Intercity Bus Terminal จากนั้นขึ้นรถบัสปลายทาง Yulpo แล้วลงรถที่ป้าย Daehan Dawon
Naganeupseong Folk Village

สำหรับหมู่บ้านนี้ เป็นหมู่บ้านที่รู้สึกว่าต้องมาให้ได้สักครั้งในชีวิต เพราะ
หมู่บ้านนากันอัปซอง เป็นหมู่บ้านโบราณที่สามารถคงความเป็นบ้านสไตล์โบราณไว้ได้อย่างดี และยังมีชาวเกาหลีอาศัยอยู่จริงๆ เกือบ 100 หลังคาเรือน
ซึ่งทุกคนก็ยังคงทำมาค้าขายกันอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้ โดยเป็นทั้งที่อยู่อาศัย และแหล่งท่องเที่ยวที่เปิดรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก และแน่นอนว่ามุมถ่ายรูปมีเพียบไปหมดเลยจ้า






Day 3 ◑
Suncheon Bay Wetland Reserve

อีกสถานที่ท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อของเมืองซันชอน ก็คือ
Suncheonman Bay Wetland Reserve
นี่แหละค่ะ สถานที่แห่งนี้จัดว่าเป็นพิกัดที่เหมาะกับผู้ที่ชื่นชอบธรรมชาติอย่างแท้จริง และขอนิยามเลยว่า
"
เป็นสถานที่ที่อากาศดี จนหามุมเซลฟี่ไม่ได้ "
เพราะลมพัดดีจริงๆ
ใครที่คิดจะปล่อยผมมาสวยๆ อาจจะต้องคิดใหม่ เพราะคุณอาจจะไม่สามารถคอนโทรลผมของตัวเองได้ ในสถานที่แห่งนี้!



ที่สวนแห่งนี้ น่าจะระบบนิเวศดีพอสมควร
เพราะหากมองลงไปตรงโคลนของทุ่งหญ้า คุณอาจจะได้เห็นปลาตีน และปูโผล่ขึ้นมาจากโคลนอยู่ก็เป็นได้
สำหรับสถานที่แห่งนี้
ยามหน้าร้อนก็เขียวสวยงาม ยามฤดูใบไม้เปลี่ยนสี ก็จะยิ่งสวยขึ้นอีกเท่าตัว กับท้องทุ่งสีทองอร่าม ใครอยากได้วิวสีไหน ก็ต้องเลือกช่วงเวลาที่จะมาให้ดีๆ นะจ๊ะ
ส่วนวิธีเดินทาง สามารถมายังสวนแห่งนี้ได้โดย
เริ่มจากสถานีรถบัส Suncheon Bus Terminal จากนั้นเดินมาเรื่อยๆ ตรงถนน Palmaro และขึ้นรถบัสสาย 67 และลงที่สถานี Suncheonman
Suncheon Bay Natural Garden

อีกหนึ่งสวนที่ไม่ควรพลาด หากคุณได้มาถึงเมืองซันชอนแล้วล่ะก็ ควรจะได้มาสัมผัสบรรยากาศที่หลากหลายของสวนนานาชาติแห่งนี้
ซึ่งสวนแห่งนี้มีต้นไม้มากกว่า 505 ประเภท และดอกไม้มากกว่า 113 ชนิด โดยเฉพาะดอกทิวลิป และดอกอาซาเลีย
โดยที่แห่งนี้จะมีการจัดสวนของนานาประเทศ ให้เราได้ไปชมกัน
ไม่ว่าจะสวนสไตล์ยุโรป สวนสไตล์ญี่ปุ่น แม้แต่สวนของประเทศไทยก็มีอีกต่างหากแน่ะ
ถ้าใครได้ไปอย่าลืมไปแชะภาพกับสวนประเทศไทยกันนะจ๊ะ



วิธีเดินทาง จาก
Suncheon Bus Terminal ให้เดินไปทางทิศตะวันตกประมาณ 250 ม. ไปยังแยก Sungo และเลี้ยวซ้าย
จากนั้นก็ให้เดินต่อไปอีกประมาณ 150 ม.
ขึ้นรถบัสเขียวเบอร์ 101 ที่ป้ายข้างๆ ร้าน GS25 แล้วลงที่ป้าย Suncheon Bay Garden ( ประมาณ 9 ป้าย )
หลังจากนี้เราก็จะย้ายเข้าสู่เมืองจอนจู และไปเช็คอินที่ห้องพักกันก่อน สิ่งที่น่าตื่นเต้นในการพักผ่อนคืนนี้ก็คือ
เราจะมาสัมผัสประสบการณ์การพักแบบพื้นเมืองกัน
ซึ่งเราจะเรียกกันว่า "
Hanok Stay
" โดยจะเป็นการนอนพื้น และมีเบาะนอน
คล้ายๆ กับซีรีส์แนวพีเรียดที่เราเคยเห็นกันเลยค่ะ



ที่บ้านพักนี้มีครบหมดทั้งตู้เย็น ผ้าขนหนู ฝักบัวปรับระดับความร้อนได้ แอร์ หรือแม้แต่พัดลมก็มี
ความเก๋อยู่ตรงระบบล็อคกุญแจแบบแมนนวลมาก ต้องใช้แม่กุญแจล็อค
ซึ่งคุณลุงเจ้าของบ้านพักก็ใจดีมาก สอนวิธีการล็อคให้ทุกคนเลย แถมฝนตกก็หากระดาษลังมาบังกันน้ำฝนให้ด้วย
แต่ข้อสำคัญต้องไม่ลืมตัวแปลงหัวปลั๊กไฟมาด้วยนะจ๊ะ
หลังจากเช็คอินเรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลาเดินทางกันต่อแปลนต่อไปคือ พิพิธภัณฑ์รูปภาพของกษัตริย์เกาหลี แต่ก่อนจะไปที่นั่นเราจะต้องเดินทางผ่าน
Hanok Village
ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่เต็มไปด้วย
หมู่บ้านแบบโบราณ และร้านค้าครึกครื้นเรียงรายมากมาย โดยเฉพาะร้านเช่าฮันบก แทบไม่ต้องแปลกใจเลย ถ้าจะได้เจอผู้คนสวมชุดฮันบกเดินเล่นกันไปมา!


ระหว่างทางจะมีจุดพักชมวิว มองเห็นหมู่บ้านฮันอกแทบได้ทั่ว สวยงามมากมาย





ถ้าหากใครคิดจะเดินเที่ยวในบรรยากาศครึกครื้น หรืออยากถ่ายรูปฮันบกสวยๆ แนะนำให้มาช่วงเย็นๆ ที่ยังมีแสง เพราะคนจะยังเยอะอยู่มาก
ไม่ว่าจะเด็ก วัยรุ่น หรือผู้ใหญ่ก็มากันเพียบจริงๆ แต่ใครที่คิดจะเก็บไว้รอเดินตอนค่ำๆ หวังว่าคนจะเยอะ และบรรยากาศคงจะคึกคักกว่านี้ล่ะก็ อย่าเลยเชียว เพราะเราเองก็คิดแบบนั้น แต่เมื่อได้พบกับความจริง ก็อดไม่ได้ที่จะ
แอบนิยามว่าหมู่บ้าน Harvestmoon
ถ้าใครเคยเล่นเกม Harvest moon น่าจะพอทราบกันดีว่า
เวลาที่มีเทศกาลหากเราออกจากฉากปุ๊บ เทศกาลจะหายทันที
นั่นแหละจ้า
ที่นี่ก็เหมือนกัน พอออกจากฉากไปสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ ปุ๊บ กลับมาอีกทีค่ำๆ คนหายไปไหนหมดไม่รู้ ร้านก็ไม่เยอะเท่าตอนเย็น
แต่ก็ยังพอมีคนมาเดินเล่นอยู่ เพียงแต่ไม่เยอะมากๆ เท่าตอนเย็น และส่วนใหญ่
ร้านที่เปิดจะเป็นร้านอาหาร ร้านนั่งชิล ซึ่งก็ได้บรรยากาศไปอีกแบบ เพียงแต่ว่าถ้าใครอยากจะเดินเล่นในบรรยากาศคึกคักมากๆ แนะนำให้เดินเล่นตอนเย็นๆ จะฟินกว่าจ้า
Royal Portrait Museum

Royal Portrait Museumเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ผู้คนเริ่มให้ความสนใจ และเริ่มจะมีชื่อเสียงในเมืองจอนจู โดยพิพิธภัณฑ์แห่งนี้จัดว่าเป็นสถานที่ที่ทรงคุณค่ามากเพราะเป็นสถานที่จัดแสดงโชว์ภาพวาดของพระเจ้าแทโจ และพระราชาอีก 6 พระองค์โดยพิพิธภัณฑ์จะมีสองชั้นชั้นบนจะจัดแสดงภาพวาด และชั้นใต้ดินจะเป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงเกี่ยวเนื่องกับประวัติศาตร์ของพระมหากษัตริย์ไม่ว่าจะเป็นขบวนแห่พระเกี้ยว หุ่นขี้ผึ้ง รวมไปถึงมีตัวอย่างพระเกี้ยว ให้ผู้เยี่ยมชมได้ลองเข้าไปนั่งได้ด้วยนะ


ใครที่สนใจประวัติศาสตร์ของเกาหลี ก็คิดว่าไม่ควรจะพลาดเด็ดขาด
จะมีสักกี่ครั้งที่ได้มีโอกาสมาเห็นภาพวาดของพระราชาเกาหลี แบบของจริง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคอซีรีส์เกาหลีพีเรียดไม่ควรพลาดเลยน้า
ราคาค่าเข้าชม
ผู้ใหญ่ 3000 วอน / แบบกลุ่ม 2500วอน
วัยรุ่น 2000 วอน / แบบกลุ่ม 1500 วอน
เด็ก 1000 วอน / แบบกลุ่ม 500 วอน
วิธีเดินทาง แนะนำให้เดินทางโดย
KTX จากสถานี Yongsan Station มาลงที่ Jeonju Station
- เดินประมาณ 239 เมตร มาขึ้นรถบัสที่ป้าย Jeonju
- ขึ้นรถบัส สาย 119 และลงที่โบสถ์ Jeondong Catholic Church-Hanok Village
- เดินอีกนิดประมาณ 104 เมตร ก็จะถึงศาลเจ้า Gyeonggijeon และพิพิธภัณฑ์ก็อยู่ที่เดียวกันเลยจ้า
Day 4 ◑
เริ่มเช้าวันใหม่ ด้วยอาหารเบาสบายท้อง กับ
ข้าวต้มถั่วงอกเกาหลี
เป็นร้านใกล้ๆ ที่พักเมื่อคืน ซึ่งถ้าไปแต่เช้าจะบรรยากาศดีมากๆ เงียบสงบ แถมข้าวต้มถั่วงอกก็อุ่น และรสชาติค่อนข้างเป็นกันเองมากๆ เลย ชอบความกรุบของถั่วงอก ที่ใหญ่กว่าถั่วงอกของไทย
รสชาติจะนุ่มๆ ละมุนหน่อย โดยในนี้จะไม่มีเนื้อเลย มีเพียงไข่เท่านั้นที่มาจากสัตว์


โรงเรียนขงจื๊อ Jeonju Hyanggyo

ใครคุ้นๆ กับฉากนี้บ้างมั้ยเอ่ย? ที่นี่เป็น
โรงเรียนสอนปรัชญาขงจื๊อ
ที่สร้างขึ้นใน
สมัยพระเจ้า Gongmin
ในปี ค.ศ.1354 ถือว่าเป็นสถานที่ที่มีคุณค่าทางวัฒนธรรมและศาสนาที่หนึ่งเลย แต่ที่ทำให้โรงเรียนสอนปรัชญาขงจื๊อโด่งดังเป็นพลุแตกมีคนมาเที่ยวกันมากมาย นั่นเป็นเพราะว่าที่นี่เป็นหนึ่งใน
สถานที่ถ่ายทำซีรีส์เกาหลียอดฮิตอย่างเรื่อง Sungkyunkwan Scandal
,
The Moon That Embraces the Sun
และอีกหลายๆ เรื่อง ก็เลยกลายมาเป็นส่วนหนึ่งในทริปตามรอยซีรีส์เกาหลีในที่สุด


ไหนๆ ก็มาที่เมืองจอนจูแล้ว
ก็ไม่ควรพลาดอาหารที่ขึ้นชื่อที่สุดของที่นี่
อย่าง
บิบิมบับ
ซึ่งในมื้อกลางวันเราได้มาทานกันที่ร้านอาหารที่มีชื่อเสียงในย่านนี้
ที่ได้รับการรับรองจากรายการทีวีหลายช่อง
โดย
เมนูที่แนะนำก็คงหนีไม่พ้นข้าวยำ
แต่มีอีกอย่างที่อยากให้ลองทานกันคือ
แพนเค้กเกาหลี
กรุบกรอบอร่อยเวอร์


หลังจากนี้ก็เตรียมย้ายถิ่นฐานเข้าสู่กรุงโซลกันอีกครา
จากที่ตอนมาครั้งแรกเห็นมีแต่น้ำ ก็เลยคิดว่าต้องนั่งเรือเข้าโซล แต่ไม่ใช่นะ รถบัสก็ไปด๊ายย คุณลุงโชเฟอร์ผู้น่ารัก ก็ทำหน้าที่อย่างดี พาเราไปส่งถึงโซลได้อย่างสวัสดิภาพ และเพลิดเพลินกับวิวธรรมชาติข้างทางกันไป
เมื่อมาถึงโซล รสก็มาจอดที่แถบ
Yongsan - Gu
ดังนั้นแน่นอนว่าต้องไม่พลาด
คาเฟ่ชื่อดังอย่าง C. Through
แน่นอน ถ้าใครเคยอ่านบทความก่อนหน้านี้ของเรา ก็อาจจะเคยคุ้นตากับบทความ
คาเฟ่ที่หน้าตาดีทั้งครีมอาร์ท และบาริสต้า
อย่างบทความนี้!

ว้าว! C. Through cafe คาเฟ่ที่มีบาริสต้า เอ้ย..กาแฟน่ากินที่สุดในเกาหลี!
https://sistacafe.com/summaries/36764
ไม่ต้องบอกก็รู้ ว่าครั้งแรกที่ได้ยินว่ามีร้านกาแฟชื่อ
C.Through
อยู่แถวนี้ จะหูผึ่งเพียงใด แน่นอนล่ะ เคยทำบทความร้านนี้มา มีโอกาสได้มาเยือนถิ่นถึงที่
ก็ต้องไปยลให้เห็นกันหน่อยล่ะว่าบาริสต้า เอ้ยกาแฟครีมอาร์ตของที่นี่งานดีสักแค่ไหน!
หลังจากได้ชิมแล้ว ก็พบว่างานดีสมชื่อจริงๆ !
ทั้งครีมอาร์ตที่สุดแสนจะน่ารัก ทั้งรสชาติที่ทำออกมาได้อร่อยถูกปาก
เห็นเครื่องดื่มสวยๆ แบบนี้แล้ว รู้สึกว่าคุ้มค่ากับราคามากๆ เลย สิ่งที่ชอบอีกอย่างคือ
บาริสต้าของที่นี่จะดูใจเย็นและชิลมาก ปล่อยให้ลูกค้านั่งชิลได้ ถ่ายรูปก็ได้
สำหรับคาเฟ่ที่นี่จะมีครีมอาร์ตหลากหลายหน้าตาให้เลือก
แต่บางออเดอร์ก็ต้องสั่งในช่วงเวลาที่กำหนดไว้ เนื่องจากคนที่จะทำให้คุณได้มีเพียงคนเดียว
ฉะนั้นเลือกช่วงเวลาให้ดีๆ ก่อนจะมานะจ๊ะ



วิธีการเดินทางโดย
รถไฟใต้ดิน Line 6
มาลงที่สถานี
Noksapyeong
จากนั้นออก
ทางออกที่ 2
แล้วเดินต่ออีกนิดนึงก็ถึงแล้วจ้า
สำหรับร้านอาหารที่เราจะแนะนำอีกสักมื้อก็คือ
ร้านชังฮวาดัง เป็นร้านที่ขึ้นชื่อเรื่องเกี๊ยว และต๊อก
เป็นร้านที่ต้องจองก่อนถึงจะได้กิน ถ้าวอล์ค อิน นี่หมดหวังแน่นอนเลย
สำหรับใครที่สนใจอยากลองชิมร้านนี้ขอแนะนำให้มาจอง และต่อคิวไว้ก่อน มิฉะนั้นคุณอาจจะอดได้นะจ๊ะ



Day 5 ◑
Haneul (Sky) Park

สวนสาธารณะ ฮานึลปาร์ค หรือสวนลอยฟ้า
แห่งนี้ มีที่มาที่ค่อนข้างน่าทึ่ง และชาบูในไอเดียคนคิดแก้ปัญหามากๆ
เดิมทีสวนแห่งนี้เคยเป็นแหล่งขยะมาก่อน
และแน่นอนว่ากลิ่นในที่แห่งนี้มันก็คงไม่น่าอภิรมย์แน่นอน แถมยังส่งกลิ่นรบกวนชาวบ้านชาวช่องอีก
แต่แทนที่จะทนกันต่อไป หรือกำจัดออกไปให้สิ้นซากอย่างเดียว พวกเขากลับใช้วิธี่ทำแหล่งขยะให้กลายเป็นสวนสาธารณะซะเลย!




เป็นไอเดียที่ดีมากๆ เลย ที่ทำให้แหล่งอากาศเป็นพิษแห่งหนึ่ง กลายเป็นแหล่งอากาศสดชื่น แถมสวยจนเป็นอีกหนึ่งพิกัด ที่นักท่องเที่ยวควรมาด้วยนะ
และสำหรับใครที่สนใจทุ่งคอสมอส ขอ
แนะนำให้มาช่วงปลายๆ ปี เพราะจะเป็นเวลาที่่ทุ่งหญ้าที่นี่ จะเปลี่ยนสีกลายเป็นทุ่งสีทอง
สวยงามกันเชียวแหละ!
หากต้องการเดินทางมาที่นี่ สามารถเดินทางมาได้โดย
รถไฟใต้ดินสาย 6 ลงที่ สถานี World Cup Stadium Station ทางออก 1
มาถึงมื้อกลางวันในย่านนี้ เราได้ไปทานอาหารที่ร้าน
Yeonnam Terrace
ซึ่งจุดเด่นของอาหารในร้านนี้คือ
เป็นการผสมผสานแบบฟิวชั่น
อย่างเช่นเมนูแกงเขียวหวาน ผัดเบคอนอะไรแบบนี้ ลองไปดูภาพกันเลยจ้า




หลังจากทานอาหารกลางวันกันเสร็จ ก็ได้เวลาลุยต่อ ตามล่าหาคาเฟ่ ร้านสวยๆ ต่อในย่านนี้
ระหว่างทางก็ไปเจอเข้ากับร้านอาหารไทยดูสะดุดตามากเลย

เห็นแบบนี้แล้ว นอกจากสะดุดตา แล้วยังสะดุดใจด้วย ว่านี่เรา
เดินมายันประเทศไทยแล้วรึเปล่าเนี่ย ฟอนต์ก็เหมือน แถมการตกแต่งร้านยังเนียน แม้กระทั่งร่มแดง!
พอเดินๆ มาสักพักก็เจอเข้ากับ
ร้านเจจูเบียร์
ที่กำลังโด่งดังในโลกอินเตอร์เน็ต
ด้วยตึกที่สุดแสนจะโดดเด่นเกินใคร
ทนไม่ไหวต้องเข้าไป ทักทาย ไปคุยถามไถ่กันซะหน่อย เมื่อได้คุยแล้วก็พบว่าร้านนี้จะ
เป็นร้านทีมีเฉพาะฤดูร้อนเท่านั้น ไม่ได้ตั้งถาวร
ก็ถือว่าเป็นอีเวนต์พิเศษที่จะมีในหน้าร้อนเท่านั้น คูลๆ กันไป


และที่พลาดไม่ได้เลยก็คือการช้อปปิ้ง!
ฉะนั้นก่อนกลับแบบนี้จึงต้องรีบไปตะลุยฮงแด แหล่งช้อปของชาววัยรุ่นกันสักหน่อยน้าห์ ( ต้อง ห์ ด้วยนะ )


หลังช้อปปิ้งจบ ก็นั่งรถบัสไปลงที่
สนามบินอินชอน เตรียมตัวตีตั๋วกลับกรุงเทพ
กันแล้วจ้า! พอนึกถึงวันกลับทีไรก็ใจหาย อยากจะเที่ยวต่ออีกสักเดือน 2 เดือน! ( เยอะไปมะ )
พูดถึงแหล่งท่องเที่ยวในต่างจังหวัดของเกาหลีใต้ ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าเหมาะสมกับคำว่า อัญมณีที่ถูกซ่อนไว้จริงๆ
เพราะถึงแม้การเดินทางอาจจะไม่สะดวก หรือมีหลากวิธีเท่าเมืองหลวง แต่ว่าก็มีการขนส่งสาธารณะที่โอเคอยู่พอตัว
แถมสถานที่แต่ละอย่าง ส่วนใหญ่ก็ใช้ใจสัมผัสได้ ไม่ว่าจะเป็นธรรมชาติ หรือบรรยากาศของคนในหมู่บ้าน ซึ่งเป็นที่ที่หาไม่ได้ในเมืองกรุง
ถ้าจะให้พูดถึงสถานที่ไหนน่าไปที่สุด บอกตามตรงว่า ไหนๆ ถ้าได้ไปลองเที่ยวเกาหลีที่บ้านนอกสักครั้งแล้ว อยากให้ไปทุกที่เลย เพราะบรรยากาศแต่ละที่แตกต่างกัน แต่ให้ความรู้สึกดีเต็มเปี่ยมจริงๆ!
ถ้าจะไปเกาหลีเมื่อไหร่ อย่าลืมไปเที่ยวต่างจังหวัดกันบ้างนะ ส่วนเราเหรอ ติดใจเกาหลีที่บ้านนอกซะแล้วอะดิ้! ^o^
Cr. visitkorea.or.kr
http://kto.or.th/