[บทที่ 1]

ณ ดาวเอนเลส (Endless) โลกแห่งการเรียนรู้

ท้องฟ้าสีแดงเพลิงราวยามตะวันตกดิน กลับเป็นสีท้องฟ้าธรรมดาของโลกแห่งนี้ มวลเมฆปุยนุ่นราวสำลี ลอยละล่องประดับฟากฟ้าสีแดงระเรื่อ นกน้อยใหญ่สยายปีกกว้างออกร่ายรำเคียงคู่หมู่เมฆอย่างเพลินใจ ฟองอากาศสีนวลใสและโปร่งแสงราวกระจก ลอยขึ้นจากพื้นดินสีเขียวชอุ่มราวจังหวะเพลงคลาสสิค ต้นไม้ใบระย้าสีม่วงใหญ่ยักษ์พริ้วไหวไปกับสายลมอันอบอุ่น ผืนน้ำแผ่ซ่านกว้างใหญ่ไพศาลระยิบระยับพร่างพราวตาดั่งแสงสะท้อนจากดวงตะวัน

ยานอวกาศรูปปลาดาวสีเหลืองทองอร่าม เริ่มหมุนรอบตัวเป็นวงกลมด้วยความเร็วสูงเพื่อเข้าสู่ชั้นบรรยากาศ และค่อย ๆ หยุดลงบนพื้นคอนกรีตสำหรับจอดยานอวกาศหน้าปราสาทสูงเสียดฟ้าสีชมพูมุก ร่างสูงโปร่งก้าวเท้าออกจากตัวยานอย่างโซซัดโซเซ ใบหน้าซีดเผือดราวไข่ต้ม มือข้างหนึ่งพยุงศีรษะ ก่อนล้มลงกลิ้งลงมาตามทางเดินลาดเอียงจากตัวยาน และนอนแผ่หลาอยู่บนพื้นหญ้าเขียวชอุ่มข้างตัวยานด้วยอาการเมาเครื่องบิน พร้อมด้วยนกม่วงลาเวนเดอร์เมามายไม่แพ้กัน

“รีบเกินไปรึเปล่าขอรับท่าน!”“ฮ่า ๆ ๆ อ๋อย…”

ชายหนุ่มผมเทาสั้นเกลียวลอนใหญ่สีสะเก็ตดาวตก ดวงตาแหลมชี้ขึ้นฟ้าดั่งสุนัขจิ้งจอก นัยน์ตาสีเทาค่อนไปขาวราวดวงตาว่างเปล่า  สวมชุดยูคาตะสีเทาดำ ก่อนจะทับด้วยเสื้อโค้ทสีน้ำตาล ดึงหมวกฮูดจากเสื้อโค้ทเข้าปิดทับใบหูจิ้งจอกสีเทาปลายแหลมดำชี้ขึ้นฟ้า เพื่อความน่าเกรงขามและลึกลับ โดยไม่รู้ตัวเลยว่านกม่วงกำลังหัวเราะเยาะในลำคอเมื่อเห็นท่าทางน่าชวนขันของร่างสูง จากนั้นจึงพยุงตัวเองลุกขึ้นยืนอย่างมั่นคง ก่อนจะรีบวิ่งเข้าหาประตูใหญ่สีน้ำตาลตรงหน้า และเปิดกลอนประตูเข้าไปยังด้านในทันที พร้อมด้วยนกม่วงลาเวนเดอร์ตามไปติด ๆ

แววตาว่างเปล่าแต่ในใจกลับส่งเสียงเรียกร้องหาน้องสาวอย่างบ้าคลั่ง เพราะข้อความในจดหมายนั่นอาจจะหมายถึงนางก็เป็นไปได้ ชายหนุ่มรีบวิ่งตรงดิ่งไปยังประตูด้านในด้วยความเร็วปานเสียง วิ่งคดเคี้ยวเข้าไปยังส่วนลึกด้านในของตัวปราสาท ผ่านห้องโถงใหญ่ยักษ์ เข้าประตูมิติทรงกลมในห้องมืดใจกลางปราสาท ไปยังโรงเรียนคาร์ตอน เพื่อเข้าหาเจ้านายของนกม่วงลาเวนเดอร์และถามหาความกระจ่างในจดหมายนั้น

โรงเรียนคาร์ตอน โรงเรียนแห่งการเรียนรู้และการศึกษาทั้งปวงของเจ้าหญิงเอมิเลียที่จัดตั้งขึ้นมาเพื่อให้ความรู้กับบุคคลทั่วไปที่ต้องการศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมไปจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต ประชาชนของดาวแห่งนี้ล้วนมีอาชีพเป็นดาราแทบทั้งสิ้น จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อว่า ดาวลูมินาเรีย (Luminaria) เพียงแค่หยิบมือเท่านั้นที่ยังคงเป็นคนธรรมดา หาตัวจับได้ยากอย่างกับแรร์ไอเทม คนเหล่านี้ส่วนใหญ่จะเป็นลูกหลานเชื้อพระวงศ์หรือผู้ปกครองแห่งดาวนั้น ๆ จำต้องเรียนวิชาความรู้การปกครองเพิ่มเติมเพื่อใช้บริหารดาวตนเองต่อไป มีเพียงสองถึงสามคนที่นอกคอกยอมทำตามความฝันเป็นดาราตามคนทั่วไป เพียงเพราะไม่อยากรับหน้าที่ปกครองดวงดาวของตนเองและเพื่อทำตามความฝัน

ประตูมิติมืดมิดทรงกลมมีแค่เชื้อพระวงศ์เท่านั้นที่จะเห็นห้องนี้ได้ ชายหนุ่มก้าวเท้าผ่านบาเรียเสมือนกำแพงสีชมพูตรงทางเดินเงียบสงัด เมื่อชายหนุ่มก้าวข้ามเหยียบพื้นของโรงเรียนคาร์ตอน เป็นความโชคดีที่วันนี้คือวันหยุดแห่งจักรวาล เด็กนักเรียนกลับบ้านกันหมด ไม่หลงเหลือผู้ออกมาเดินเพ่นพ่านไปมาตรงทางเดิน เสมือนเป็นเพียงซากปรักหักพังแห่งโบราณสถานคร่ำครึ ชายหนุ่มวิ่งขึ้นบันไดตึงตังขึ้นไปยังชั้นสอง ปรากฎประตูกระจกขนาดใหญ่ตรงหน้า จึงรีบเปิดประตูเข้าไปยังด้านในด้วยหัวใจสั่นระรัว

“เอมี่ ! ! !” ชายหนุ่มเปิดประตูพร้อมร้องไห้โฮ น้ำตาไหลรินลงแก้มทั้งสองราวสายน้ำเชี่ยวกราก กวาดสายตามองไปทั่วห้องหวังจะเจอน้องสาวสุดที่รักในดวงใจ แต่กลับพบเจอกับชายหนุ่มร่างบางสีขาว และสาวผมยาวปริศนาชมพูมุกนั่งเท้าคางอ่านหนังสือในมืออย่างใจเย็น ไม่สะทกสะท้านไปกับเสียงกระแทกประตูเมื่อครู่แม้แต่น้อย

“เอ่อ… ท่านมิกซ์ เจ้าหญิงไม่ได้อยู่ที่นี่น่ะขอรับ… วันนี้เป็นวันหยุด ไม่มีใครอยู่หรอก” ร่างขาวบางหันหลังขวับ มองชายผู้กระหืดกระหอบด้วยความเหนื่อยล้าด้วยใบหน้าเรียบเฉย มิกซ์ถึงกับเข่าทรุดเมื่อรู้ว่าน้องสาวสุดที่รักไม่ได้อยู่ที่นี่“แล้วเจ้าเรียกข้ามาทำไม ฮานซ์”

มิกซ์พยุงร่างอันเหนื่อยล้าด้วยมือทั้งสองยันหัวเข่า หางปุกปุยช่วยพยุงไม่ให้ล้มลงจากด้านหลัง อาการลมจับพร้อมหน้ามืดเพียงเพราะไม่เจียมในอายุขัยหลายศตวรรษของตนเอง ใบหน้าซีดเผือดพร้อมเหงื่อเม็ดโตผุดกลางหน้าผาก เงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มร่างขาวทั้งตัวตรงหน้า พร้อมปากอันสั่นเทาเพราะในใจกลับคิดถึงแต่เรื่องของเจ้าหญิงเอมิเลีย น้องสาวสุดที่รัก

ชายหนุ่มร่างสีขาวนามว่า ฮานซ์ เชอร์วิเย เผ่าพันธุ์อมตะเหมือนมิกซ์ แต่ระดับคลาสต่ำกว่า ผมซอยสั้นขาวบริสุทธิ์ดั่งดวงดาวทอแสงบนฟากฟ้ายามค่ำคืน ดวงตาเรียวยาวสีขาว นัยน์ตาสีขาวราวพลังแห่งแสง สวมชุดสีขาวปิดถึงข้อแขนและคลุมถึงปลายเท้า เว้นเแผ่นหลังสำหรับปีกคู่ใหญ่แข็งแรงดั่งปีกนกอินทรีย์ทะยานฟ้า เดินเข้าหาชายหนุ่มผู้เหนื่อยหอบตรงหน้าอย่างเชื่องช้า ก่อนที่จะผิวปากเป็นสัญญาณเรียกนกม่วงลาเวนเดอร์ที่บินอยู่เหนือหัวมาไว้ในอ้อมกอด ลูบหัวไปมาอย่างแผ่วเบาจนทำให้นกม่วงลาเวนเดอร์ถึงกับผลอยหลับคาอ้อมแขนเรียวบางคู่นั้นทันที

“ข้าแค่ต้องการให้ท่านมาช่วยข้าเท่านั้นเอง…”“หา ! ถึงกับต้องให้ข้ารีบมาเลยเรอะ !" ใบหน้าเหนื่อยล้ามองช้อนขึ้นมองใบหน้าขาวผ่องตรงหน้าทันควัน จนลมจับและหน้ามืดอีกครั้ง เป็นภาระให้กับร่างสีขาวต้องมาพยุงแต่กลับยัดเยียดไม้เท้าสีน้ำตาลข้างตัวในมือให้มิกซ์แทน และยืนหัวเราะในลำคอด้วยความสะใจ

“ถ้าข้าไม่ทำแบบนั้นท่านจะมาไหมละ…”ฮานซ์หันหลังควับให้กับมิกซ์ผู้เหนื่อยหอบ ก่อนจะก้าวเท้าเดินตรงไปยังโต๊ะบรรณารักษ์สีน้ำตาลเข้มดั่งเปลือกต้นโอ๊คของห้องสมุดแห่งนี้ ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนกำลังโดนเยอะเย้ยจึงได้ขว้างไม้เท้านั่นทิ้งไปไกลตัวและพยายามยืดตัวเหมือนหายดีแล้วจึงเดินตามหลังมาติด ๆ ก่อนเสยปลายผมที่ปรกหน้าออกอย่างสง่างาม ถ้าเป็นวันธรรมดา ท่านผู้นี้จะเป็นเหมือนไฟนีออนที่คอยเรียกเหล่าแมลงนานาชนิดให้มาชุมนุมกัน เพราะเขาคือผู้ครองตำแหน่งเจ้าชายผู้เลอโฉมที่สุด 3 ปีซ้อนแห่งจักรวาล

“แล้วเจ้าต้องการให้ข้าช่วยอะไร”“ช่วยข้าจัดหนังสือพวกนี้หน่อยสิ”

“อะไรนะ ! จะให้ข้า เจ้าชายผู้เลอโฉมคนนี้จัดหนังสือฝุ่นเขรอะพวกนี้เรอะ !” มิกซ์ปรายนิ้วชี้เข้าหาหนังสือกองพะเนินด้านหลังด้วยใบหน้าตื่นตระหนก “เจ้าก็รู้ว่าข้าแพ้ฝุ่นนะ… แค่ก แค่ก เห็นไหม…”

“อย่ามัวเสียเวลาแกล้งอยู่เลย เดี๋ยวงานจะไม่เสร็จนะ”

ฮานซ์เดินออกไปด้วยหนังสือแถวยาวสิบเล่มในมือ ไม่บ่นอิดออดเหมือนเจ้าชายผู้เสแสร้ง ทำให้มิกซ์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะยอมหยิบแถวหนังสือยาวสิบเล่มตามหลังฮานซ์เดินตามติดเข้าไปยังชั้นหนังสือด้านในสุด

ห้องสมุดแห่งนี้เสมือนเป็นสถานร้างป่าช้าในโรงเรียนแห่งนี้ เนื่องจากไม่มีนักเรียนคนใดที่ตั้งใจจะเข้ามาศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมเหมือนเหล่าเชื้อพระวงศ์ เป็นเพราะนักเรียนทั่วไปคือเหล่าดาราดังสุดกู่ไปจนถึงตกต่ำ ฝุ่นจับเขรอะด้วยความหนาสูงกว่าหนึ่งนิ้วเหล่านี้คือหลักฐานชั้นเยี่ยม วันนี้คือวันหยุดแห่งจักรวาลที่สิบปีจะหยุดพร้อมกันทั่วจักรวาลหนึ่งครั้ง เป็นวันดีที่จะนำหนังสือเหล่านี้มาทำความสะอาดและดูแลรักษาให้มั่นคงสืบไปหลายชั่วอายุ พวกผู้ดูแลหนังสือเหล่านี้ก็คือเผ่าพันธุ์ผู้ไม่แก่ไม่ตายเหมือนมิกซ์ ทั้งสองคนจึงเป็นเสมือนญาติสนิทมิตรสหายนั่นเอง

“ว่าแต่ เอมี่ล่ะ ? นาง… เป็นไงบ้าง…” มิกซ์เอ่ยปากด้วยสีหน้าหมองหม่น

“กระผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ไม่มีใครหาร่างเจ้าหญิงได้เลยสักคน ท่านไม่รู้บ้างหรอว่าเจ้าหญิงอยู่ที่ไหน ?”

“ถ้าข้ารู้ ป่านนี้คงบึ่งไปนานแล้วล่ะ”

มิกซ์ก้มลงมองต่ำด้วยใบหน้าแสนเจ็บปวดรวดร้าวทันที น้ำตาดวงใสหยดหนึ่งค่อย ๆ รินไหลอาบแก้มด้วยสายตาว่างเปล่า ฮานซ์เห็นใบหน้าเศร้าสร้อยดั่งเจ้าชายผู้โดดเดี่ยวท่ามกลางสายฝน เสมือนเพิ่งถูกหักอกจากหญิงสาวผู้เป็นที่รักเมื่อครู่ จึงได้หันหลังควับมองหน้าเพื่อนสนิทของตนเองทันที พร้อมกับวางกองหนังสือในมือลงบนพรมสีแดงเขรอะฝุ่นเบื้องล่าง มือทั้งสองยื่นเข้าจับใบหน้าอันอ่อนเยาว์ของมิกซ์ และค่อย ๆ เคลื่อนใบหน้าสีขาวนวลจันทร์ของตนเองเข้าหามิกซ์เรื่อย ๆ

...โป๊ก! !...

“โอ๊ย ! เจ็บน่ะ ! เจ้าทำอะไรข้าเนี่ย”

ฮานซ์เข้ากระแทกหน้าผากตนเองเข้ากับมิกซ์เหมือนโหม่งลูกฟุตบอล ดวงตาเรียบเฉยและเศร้าหมองปิดลงด้วยความเจ็บปวด มือข้างหนึ่งยกขึ้นแตะหน้าผากที่ค่อย ๆ ปรากฎรอยแดงขนาดใหญ่ สายตาดุดันราวจะกินเลือดกินเนื้อมองตรงมายังร่างสีขาวผู้มีใบหน้าสุดเรียบเฉยและสายตาเอือมระอาสุดทนกับการกระทำของเจ้าชายสุดติงต๊องและบ้าน้องสาว หรือฉายาที่ทุกคนมอบให้ว่า ซิซคอน (Sis-con) สุดหัวใจตรงหน้า

“ข้าให้ท่านมาช่วยข้าจัดหนังสือ ไม่ใช่มาทำมิวสิควิดีโอ !”

ฮานซ์หันหลังควับด้วยความเร็วสูง ชุดยาวสีขาวบริสุทธิ์บิดพริ้วสะบัดไหวตามแรงหมุน ปีกนกคู่ยักษ์สีขาวกลางหลัง กระพือไปมาตามอารมณ์ ใบหน้าขาวผุดผ่องค่อย ๆ แดงระเรื่อด้วยความโมโห จากนั้นจึงค่อย ๆ ลงนั่งยองหยิบกองหนังสือด้านล่างขึ้น ก่อนจะเดินออกไปยังประตูสีขาวห้องถัดไปด้วยท่าทางนิ่งเฉยเช่นเคย ปล่อยให้มิกซ์ยืนงงเป็นไก่ตาแตกด้วยอาการเจ็บปวดบนหน้าผาก จนต้องใช้หางปุกปุยนุ่มนิ่มสีเทาด้านหลังเข้าช่วยยกกองหนังสือแทนมือ และกุมหน้าผากด้วยฝ่ามือคู่ ก่อนจะเดินตามหลังฮานซ์ไปติด ๆ

ภายในห้องสมุดที่เงียบสงัดเสมือนป่าช้า กลับมีหญิงสาวใบหน้ากลมมน รับเข้ากับสีผมชมพูประกายมุกได้เป็นอย่างดี ริมฝีปากแดงระเรื่อดุจผิวแอปเปิ้ล แก้มแดงเลือดฝาดดั่งผลมะเขือเทศที่เพิ่งสุกจากต้น นัยน์ตาคู่สวยจับจ้องอยู่กับหนังสือตรงหน้าไม่วางตา มิกซ์หยุดนิ่งและเหลือบมองไปยังสาวผมยาวปริศนาด้วยความงุนงง โดยไม่สนใจฮานซ์ที่เดินนำหน้าไปไกลลิบ มิกซ์ไม่รอช้ากลับเดินเข้าหาสาวปริศนาผู้นั้นด้วยความสงสัยมากยิ่งขึ้น ในวันหยุดสุดแสนหายากแบบนี้ ทำไมหล่อนถึงเลือกมานั่งอ่านหนังสือคนเดียวแบบนี้กัน

“เธอ ... มาทำอะไรอยู่ที่แห่งนี้ในวันหยุดแบบนี้เนี่ย” มิกซ์เอ่ยขึ้นหลังจากนั่งลงที่เก้าอี้ตรงข้ามหญิงสาวผมยาว

“...”

“เอ่อ ... เธอ”

“...”

ความขุ่นเคืองจากการถูกละเลยเริ่มปะทุเดือดขึ้น นี่เป็นครั้งแรกที่มีหญิงสาวเฉยเมยต่อคำทักทายของเขา ถือเป็นการสบประมาทคารมของเขาเป็นอย่างมาก มิกซ์ไม่ย่อท้อต่อการเฉยเมยแต่กลับยิงคำถามต่อไปเรื่อย ๆ หวังจะให้เจ้าหล่อนรำคาญและหันมาสนใจเขานอกจากหนังสือตรงหน้า แต่แล้วความพยายามนั้นก็ไร้ผล เขายอมแพ้และเดินกลับมาหาฮานซ์ ซึ่งตอนนี้ฮานซ์ยืนหน้ามุ่ยตรงกองหนังสือของมิกซ์

“ไหนว่าจะช่วยข้าไง กลับไปจีบสาวได้หน้าตาเฉยเลยน่ะท่าน”

“ข้าแค่เกิดความสงสัยว่าทำไมนางถึงมาอยู่ที่นี่ในวันหยุดแบบนี้ต่างหาก”

“ข้าขอเตือนท่าน อย่าไปยุ่งกับนางเลย”

“ฮานซ์ ! เจ้ารู้จักนางงั้นหรอ ?”

ยังไม่ทันที่ฮานซ์จะขยับปากตอบคำถามของมิกซ์ หญิงสาวปริศนาเดินย่างกรายเข้ามาหามิกซ์อย่างเชื่องช้า พร้อมหนังสือเล่มเดิมในมือ นัยน์ตาสีเขียวมรกตจับจ้องเข้าไปยังนัยน์ตาสีเทาอันว่างเปล่าของมิกซ์ แต่นัยน์ตาคู่นั้นกลับน่ากลัวและเฉยเมยเสมือนมิกซ์เป็นเหยื่อที่ถูกจับจ้องด้วยราชสีห์ นี่ก็ถือเป็นครั้งแรกในชีวิตมิกซ์ตั้งแต่เกิดมาร่วมหลายร้อยศตวรรษถูกจับจ้องจนเสียวสะท้านไปทั้งตัว

หญิงสาวจับจ้องเข้าไปยังนัยน์ตาของมิกซ์พร้อมเยื้องกรายเข้าหาเขาทีละน้อย ๆ หลังจากนั้น ... นางเดินผ่านเขาโดยไม่สนใจเขาเลยแม้แต่น้อย นางเริ่มขยับริมฝีปากเรียวเล็กสีแดงราวเปลือกแอปเปิ้ล

“ฮานซ์ ...”

เสียงนางอ่อนหวานราวกับเสียงนางฟ้า นุ่มนวลราวดนตรีขับร้องบนสรวงสวรรค์ นัยน์ตาคู่สวยค่อย ๆ กระพริบลงอย่างช้า ๆ ผมชมพูประกายมุกสยายไปพร้อมกับท่วงท่าอันสง่างามของนาง ทุกท่วงท่าช่างงดงามราวหลุดออกมาจากโลกนิยาย เป็นดั่งเสมือนนางฟ้าลงมาเที่ยวเล่นบนพื้นเบื้องล่าง แต่แล้ว ... ความฝันนั้นกลับสลายไปต่อหน้าต่อตา เมื่อนางเอ่ยปากถามคำถามที่มิกซ์ไม่เชื่อกับหูตนเอง

“ฮานซ์ ... ไอ้ทานูกิอ้วนนี่ใคร ... มายุ่งกับข้าทำไม”

ข้าเป็นจิ้งจอกไม่ใช่ทานูกิน่ะ ! ไม่ใช่สิ ! เรื่องนั้นไม่สำคัญ สำคัญที่สุดคือ ... นางไม่รู้จักข้างั้นเรอะ !


#โปรดติดตามตอนต่อไป