บทที่ 11

แม้ว่าการรับมือกับคุณปู่เจ้าแผนการที่อยากได้หลานจนประสาทเสียจะผ่านพ้นไปด้วยดี แต่ก็เล่นเอาฉันกับมาโคโตะเหนื่อยใจกันพอสมควร แถมยังกลับบ้านมาแล้วมองหน้ากันแบบกระอักกระอ่วนเมื่อคิดว่ามีคนรอให้พวกเรา ‘มีลูก’ กันอยู่


รู้จัก ‘ดิโอเมน’ มั้ย? หนังเด็กนรกที่เป็นซาตานกลับชาติมาเกิดแล้วไล่ฆ่าชาวบ้านน่ะ


ลูกของพวกเราจะต้องออกมาเป็นแบบนั้นแน่ๆ แค่คิดก็สงสารมนุษย์โลกแล้ว


ดังนั้นเพื่อป้องกันบรรยากาศพิลึกพิลั่นของคู่ข้าวใหม่ปลามันที่นับถอยหลังรอวันหย่าร้างอย่างพวกเรา ฉันและสามีตามกฎหมายจึงแยกย้ายกันเข้านอนเพื่อลดการใช้เวลาร่วมกันให้น้อยที่สุด



====================================




ช่วงเวลาแห่งความสุขมักผ่านไปเร็วเสมอ แต่ก็เร็วไม่สู้ช่วงเวลาแห่งการนอน


ฉันงัวเงียตื่นขึ้นมาในเช้าวันอาทิตย์อันแสนสงบ เหลือบมองนาฬิกาที่บอกเวลาบ่ายโมง รู้สึกประหลาดใจที่วันนี้ตัวเองตื่นเร็วกว่าปกติ


พร้อมกันนั้นเสียงกระเพาะอาหารที่ดังโครกครากก็บอกฉันว่าถึงเวลายัดอะไรบางอย่างลงท้อง เพื่อให้มันหยุดประท้วงและสงบปากสงบคำสักที


คิดได้ดังนั้นจึงลากร่างของตัวเองเดินออกจากห้องไป เป้าหมายคือห้องครัว หรือพูดให้ถูกก็คือตู้เย็นในห้องครัวเพราะฉันไม่คิดจะประกอบอาหารใดๆ ทั้งสิ้น กินพวกสำเร็จรูปง่ายกว่าเยอะ


ทว่าคนที่อยู่ในนั้นก่อนหน้าฉันคือสามีตามกฎหมาย ที่แต่งตัวเหมือนเพิ่งกลับมาจากข้างนอก ฉันจึงเหลือบมองเล็กน้อย ยกมือขึ้นขยี้หัวที่ไม่ได้สระมา 2-3 วันก่อนเอ่ยถาม


“ตื่นเช้านะ ไปไหนมาล่ะ”


คำถามนั้นทำคนฟังถลึงตามองด้วยสายตารังเกียจทันที


“เช้าบ้าบออะไรนี่มันบ่าย เธอนั่นแหละนอนอะไรนักหนาจนฉันเกือบจะโทรไปจองโลงให้แล้ว ผู้หญิงอะไรนอนอย่างกับคนตาย”


มาโคโตะบ่นพร้อมกับพับแขนเสื้อขึ้น ก่อนจะเอาจานที่เพิ่งกินเสร็จไปล้างแล้วคว่ำไว้อย่างเป็นระเบียบ หมอนี่เป็นคนรักสะอาดน่าดู สังเกตได้จากพฤติกรรมหลายๆ ของเขา


“ก็ไม่รู้จะรีบตื่นไปทำไมนี่ วันหยุดทั้งทีก็ต้องใช้ให้คุ้มหน่อย”


ฉันตอบกลับพลางยักไหล่ เดินไปเปิดตู้เย็นพลางสแกนหาของที่พอจะยัดเข้าปากได้


“อย่างน้อยก็ตื่นมาทำหน้าที่ภรรยาหรือแม่บ้านที่ดีบ้างสิ มาอยู่ในฐานะอะไรสำเหนียกบ้างรึเปล่า”


เมื่อได้ยินฉันก็เบะปาก ลำพังห้องตัวเองฉันยังไม่เก็บเลย แล้วจะให้มาทำความสะอาดบ้านทั้งหลังเนี่ยนะ คนพูดต้องสติไม่ดีแน่ๆ ยิ่งถ้าให้ฉันลุกขึ้นมาทำอาหาร ก็เตรียมจองห้องในโรงพยาบาลไปหยอดน้ำเกลือเล่นสัก 3-4 วันได้เลย


“ทำไมไม่มีอะไรกินเลยล่ะ”


ฉันบ่นกับตัวเองพลางนิ่วหน้า บะหมี่ที่ซื้อเตรียมไว้ก็หมดสต๊อกแล้ว เห็นทีจะต้องไปเที่ยวคอนบินิ* สักหน่อย (คอนบินิ* (コンビニ) ร้านสะดวกซื้อ)


เหมือนสามีตามกฎหมายของฉันจะได้ยิน เพราะเขาหันมาชำเลืองมองเล็กน้อย


“มีข้าวกล่องอยู่บนโต๊ะ ถ้าไม่เรื่องมากก็ไปกินซะ” ร่างสูงกล่าวเสียงเรียบ


ฉันยืดตัวขึ้นทันที ทำสีหน้าตกตะลึงจนโอเวอร์พลางหรี่ตามอง


มันเกิดอะไรขึ้น หมอนี่ซื้อข้าวมาฝากฉันงั้นเหรอ?


ทว่าสมมติฐานนั้นก็ถูกทำลายลงทันใดเมื่อเสียงทุ้มเอ่ยประโยคถัดมา


“ไม่ต้องมามองแบบนั้น ฉันกินเหลือมาจากข้างนอกจะทิ้งก็เสียดาย จะเอากลับมาให้หมาก็นึกได้ว่าไม่ได้เลี้ยง เลยยกให้เธอกินแทนไงล่ะ”


แสดงว่าถ้าพวกเราเลี้ยงหมา อาหารนี่จะกลายเป็นของมันสินะ


โชคดีจริงๆ ที่ไม่ได้เลี้ยง ข้าวของหมาเลยมาตกถึงฉันแทน


“ขอบใจ”


ฉันตอบเบาๆ ก่อนรีบถลาตัวไปที่โต๊ะ มองข้าวกล่องที่จัดเรียงเป็นระเบียบเหมือนยังไม่ได้แกะกล่องด้วยความสงสัย เพราะดูยังไงก็ไม่เหมือนอาหารกินเหลือเลยสักนิด


กระนั้นความหิวก็บดบังทุกสิ่ง จึงรีบแกะตะเกียบที่แถมมาด้วยแล้วคีบข้าวเข้าปากทันที


ผ่านไปไม่กี่นาที วัตถุตรงหน้าก็เหลือเพียงกล่องเปล่า


ฉันเลยลุกขึ้นไปหยิบแก้ว ก่อนเดินตรงไปยังก๊อกน้ำแล้วเปิดออก (ที่ญี่ปุ่นการกินน้ำประปาจากก๊อกเป็นเรื่องปกติ) จากนั้นก็เหลือบมองอาจารย์คณิตศาสตร์ที่ตื่นมาแต่งหล่อแต่เช้า อดถามออกไปไม่ได้ด้วยความสงสัย


“ไปไหนมาล่ะนั่น”


มาโคโตะชะงักไปเล็กน้อย แค่นิดเดียวเท่านั้น แล้วจึงตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ


“ไปเดท”


ฉันพยักหน้าหงึกๆ ก็ไม่ต่างจากที่คิดเอาไว้เท่าไหร่


“ไปกับอาจารย์มิยาโกะที่สอนสังคมน่ะเหรอ”


พยายามชวนคุยดีๆ แต่จู่ๆ หมอนี่ดันตวัดสายตาเฉียงๆ มาทางฉันคล้ายไม่พอใจอะไรบางอย่างซะงั้น บางทีอาจจะคิดว่าฉันละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวมากไป


“อืม”


แล้วก็ตอบส่งๆ เหมือนไม่อยากพูดถึง


แต่ฉันหน้าด้าน ยิ่งเห็นหมอนี่ทำท่าอิดออด ฉันยิ่งอยากเผือก


“ไปเที่ยวไหนกันมาล่ะรอบนี้ หวังว่าคงไม่ไปเดินเตร่กลางเมืองให้สายคุณปู่มาเจออีกนะ”


ฉันแกล้งกระแซะ แต่ก็แอบอยากรู้จริงๆ จะได้ระวังตัวไว้ รอบแรกคุณปู่ของหมอนี่ส่งนักบำบัดชีวิตคู่มาให้พวกเรา รอบสองมาขอให้คลอดหลานให้ ฉันไม่อยากคิดเลยว่ารอบต่อไปจะมีอะไรมาเซอร์ไพรส์อีก


“ไม่ต้องห่วง ไม่ได้ไปเที่ยวที่แบบนั้นหรอก”


เป็นอีกครั้งที่สามีตามกฎหมายทำท่าเหมือนไม่อยากตอบ ฉันเลยสาวเท้าเข้าไปใกล้ ทำหน้าตามีเลศนัย จงใจกวนประสาทเต็มพิกัด


“เห?...งั้นไปไหนกันมาล่ะ โรงหนังเหรอ”


ถามพลางเท้าแขนกับตู้วางของ ยกน้ำขึ้นดื่มแล้วจ้องหน้ามาโคโตะที่ชักสีหน้ารำคาญใจ


“โรงแรม”


พรืดด! ฉันพ่นน้ำที่กำลังจะกลืนออกมาอย่างรวดเร็ว จนบางส่วนกระเด็นไปเลอะเสื้ออาจารย์คณิตศาสตร์ที่ส่งสายตาขยะแขยงมาให้ทันควัน


“ว่าไงนะ!?”


แต่ฉันไม่สนใจว่าตัวเองเพิ่งแสดงความซกมกลงไป รีบยกแขนขึ้นเช็ดปากแล้วถามกลับทันที


“หูหนวกหรือไง ก็บอกว่าไปโรงแรมมา”


พระเจ้า! กลางวันแสกๆ ในเช้าวันอาทิตย์แบบนี้ หมอนี่ไม่รู้จักอายฟ้าอายดินเลยหรือไง


แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น...ใจความหลักของมันก็คือการไป ‘ที่แบบนั้น’ ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาแบบมีสติเลย เกิดสายคุณปู่มาเจอมาโคโตะเดินเข้าโรงแรมกับผู้หญิงคนอื่น ฉันนี่ไม่อยากจะนึกภาพชะตากรรมในอนาคต


“ประสาทรึเปล่า!? ถ้ามีคนมาเห็นจะทำยังไง ทั้งสายคุณปู่ ทั้งพวกอาจารย์กับนักเรียนคนอื่น นี่นายเรียนจบปริญญามาจริงเหรอเนี่ย”


ฉันกล่าวรัวเร็ว ถลนตาจนเกือบหลุดออกมาจากเบ้า ก่อนจะซัดน้ำที่เหลืออยู่ค่อนแก้วลงคออย่างรวดเร็ว วางมันลงบนโต๊ะแล้วยกมือขึ้นกอดอก


“นี่...ฉันไม่ใช่เด็กๆ นะ ไม่ต้องมาทำท่าแบบนี้ รู้ล่ะน่าว่าต้องจัดการยังไงน่ะ”


เขาตอบด้วยท่าทีไม่ใส่ใจ พร้อมกับส่ายหน้าเล็กน้อยคล้ายจะตำหนิฉันที่ตีโพยตีพายไปไกล


“ให้มันแน่ก็แล้วกัน จะทำอะไรก็ให้เดือดร้อนเฉพาะนาย อย่าให้มันลามมาถึงฉันล่ะ”


มาโคโตะตวัดสายตามามอง ก่อนตอบกลับ


“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ต้องเป็นห่วง”


จากนั้นร่างสูงก็เดินออกจากห้องครัวไป ทิ้งให้ฉันถอนหายใจด้วยความหงุดหงิดอยู่คนเดียว



==================================


“นี่ซาโฮะ เรื่องอาจารย์มาโคโตะไปถึงไหนแล้ว”


จู่ๆ มายูก็ถามขึ้นมาระหว่างช่วงพักกลางวัน ทำเอาฉันนิ่งค้างไปชั่ววูบเลยทีเดียว เพราะถึงแม้ยัยนี่จะเป็นเพื่อนตั้งแต่สมัยประถม แต่ฉันก็ไม่เคยแพร่งพรายเรื่องอยู่กินกับอาจารย์คณิตศาสตร์ให้ใครหน้าไหนที่โรงเรียนฟังทั้งนั้น


“...เธอพูดเรื่องอะไร”


ถามกลับหน้าตาย ใช้ความสามารถพิเศษในการกลบเกลื่อนพิรุธทันที


“ก็เรื่องของใช้ส่วนตัวที่บอกให้ไปหยิบมาจากห้องพักครูไงล่ะ นี่ออเดอร์วิ่งเข้ามาหลายเจ้าละนะ เดี๋ยวลูกค้าก็หายหมดกันพอดี ยิ่งมียัยมินาโกะห้อง 4 คอยแย่งจ๊อบอยู่ด้วย”


มายูว่าพลางหยิบนมกล่องรสสตรอเบอร์รี่ขึ้นมาดูด พร้อมทำเสียงพึมพำงุบงิบอีกเล็กน้อย


ได้ยินดังนั้นฉันก็แอบลอบระบายลมหายใจ นึกว่าเรื่องการแต่งงานทางกฎหมายกับมาโคโตะจะแตกซะแล้ว ก่อนจะชะงักไปด้วยความประหลาดใจ เพราะไม่คิดว่าธุรกิจสำหรับคนโรคจิตของมายูจะมีคู่แข่งด้วย บางทีอาจจะมีสารพิษบางอย่างแพร่กระจายอยู่ในโรงเรียนก็เป็นได้ ทุกคนถึงได้ดูเสียสติกันไปหมด


“เออๆ ฉันก็ลืมไป เดี๋ยวถ้าได้โอกาสจะเอามาให้แล้วกัน เธอจะเอากี่ชิ้น”


“รอบนี้คนสั่งเยอะ ซาโฮะพอจะหยิบมาให้สัก 7-8 ชิ้นได้มั้ยล่ะ”


ฉันถลึงตามอง นั่นมันไม่ใช่การขโมยเล็กๆ น้อยๆ แล้ว แบบนั้นมันการยกเค้าชัดๆ ทว่ายังไม่ทันจะได้ตอบกลับมายู ฉันก็รู้สึกได้ถึงแรงสะกิดเบาๆ ที่หลังจนต้องหันไปมอง


“สวัสดีจ้ะ...ชิรายูกิซัง”


เสียงหวานของอาจารย์มิยาโกะที่สอนสังคมทักทาย พร้อมกับขยับรอยยิ้มพิมพ์ใจ แต่นั่นทำให้ฉันนิ่งค้างพลางกะพริบตาปริบๆ ทันที


“เอ่อ...สวัสดีค่ะ”


ฉันอ้อมแอ้มตอบกลับ พยายามไม่มองหน้าอาจารย์ ไม่อยากจะคิดว่าคนที่ภายนอกดูเรียบร้อยแบบนี้จะกล้าเดินเข้าโรงแรมกับผู้ชายกลางวันแสกๆ แบบไม่อายฟ้าดิน


“ขอคุยอะไรด้วยหน่อยสิ”


อาจารย์สาวเอ่ยถามด้วยท่าทีเกรงอกเกรงใจ จนฉันต้องมุ่นคิ้ว


“คุย? เรื่องอะไรเหรอคะ”


แม้จะมีอาจารย์หลายคนเข้ามาทักทายและคุยธุระกับฉันบ่อย เพราะตำแหน่งประธานนักเรียน หัวหน้าห้อง และนักเรียนดีเด่นมีไว้เพื่อเลียแข้งเลียขาคนเหล่านั้นอยู่แล้ว แต่ฉันก็ยังนึกไม่ออกว่าอาจารย์มิยาโกะมีเรื่องอะไรต้องคุยกับฉันเป็นการส่วนตัว


“เรื่องชิรายูกิซัง...แล้วก็เกี่ยวกับอาจารย์สึบุรายะนิดหน่อยน่ะ”


คำตอบนั้นทำให้ฉันถึงกับอึ้งไปเลยทีเดียว นี่ฉันไม่ได้หูฝาดไปใช่มั้ย?


“...ว่าไงนะคะ”


ถามกลับเหมือนหุ่นยนต์โง่ๆ ที่ระบบปฏิบัติการเสียศูนย์จนไม่อาจกลั่นกรองข้อมูลได้อีก


“แล้วก็...ถ้าเป็นไปได้ก็อยากคุยเป็นการส่วนตัวน่ะ ช่วยตามมาทางนี้หน่อยสิ”


อาจารย์คนสวยกล่าวพร้อมกับพยักเพยิดไปอีกทาง ซึ่งฉันก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากตอบรับ ไม่อย่างนั้นมายูที่ลอบมองมาด้วยความสงสัยคงผิดสังเกต


“...ได้อยู่แล้วค่ะ”


ตอบกลับแล้วส่งยิ้มหวาน ทำท่าเต็มอกเต็มใจจะเดินไปกับอาจารย์ ทั้งที่ในใจตะโกนลั่นว่า


ฉิบหายแล้ว...คู่เดทของสามีกำลังจะชวนฉันออกไปตัวต่อตัวกับหล่อน


สึบุรายะ มาโคโตะ นำภัยพิบัติมาสู่ฉันจนได้!!