บทที่ 14

ในที่สุดวันที่ฉันจะต้องทำภารกิจตัวแทนโรงเรียนก็มาถึง นอกจากจะเป็นประธานนักเรียน หัวหน้าห้อง และนักเรียนดีเด่นแล้ว ตอนนี้โปรไฟล์ของชิรายูกิ ซาโฮะ คนนี้ยังพ่วงตำแหน่ง ‘ทูตวัฒนธรรม’ อีกด้วย คนอะไรมันจะดีพร้อมได้ขนาดนี้


วันนี้เป็นวันศุกร์ ซึ่งผิดคาดเล็กน้อยเพราะฉันนึกว่างานจะจัดขึ้นในช่วงเสาร์-อาทิตย์ ดังนั้นจึงได้รับสิทธิพิเศษในการไม่ต้องเข้าเรียนตลอดทั้งวัน


และแม้จะอยากใช้สิทธิ์นั้นในการนอนขลุกอยู่บนเตียงมากแค่ไหน แต่คำว่า ‘คะแนนพิเศษ’ ก็เป็นแรงผลักดันที่ดีให้ฉันต่อสู้กับแรงดึงดูดของหมอนจนสามารถขุดตัวเองออกจากบ้านได้


การนัดหมายของพวกเราค่อนข้างซับซ้อนเล็กน้อย เนื่องจากฉันเคยออกตัวไปว่าไม่สนิทกับมาโคโตะ อาจารย์สาวคนสวยแห่งภาคสังคมเลยอาสาเป็นคนกลางระหว่างพวกเรา


แต่ฉันกับสามีตามกฎหมายไม่สามารถออกมาพร้อมกันได้แม้จะอยู่บ้านเดียวกันก็เถอะ ดังนั้นฉันเลยต้องแสร้งทำเป็นมายืนรอแถวสถานีรถไฟ เพื่อให้อาจารย์มิยาโกะมารับไปเจอกับหมอนั่นซึ่งรออยู่อีกที่หนึ่ง ซับซ้อนดีมั้ยล่ะ


“อรุณสวัสดิ์ค่ะอาจารย์สึบุรายะ”


เมื่อครบองค์ประชุม ฉันก็ทักทายพร้อมส่งยิ้มหวาน


ทั้งที่ความจริงพวกเราเพิ่งแยกจากกันเมื่อ 15 นาทีที่แล้วเอง พิลึกพิลั่นเป็นบ้า


“อรุณสวัสดิ์ชิรายูกิซัง วันนี้ลำบากเธอแล้วนะ”


คนหน้าหล่อทักกลับ ส่งรอยยิ้มน่ามองที่ขับให้ใบหน้าคมคายสว่างไสวขึ้นมาทันใด และฉันคงจะเคลิ้มไปแล้วถ้าไม่ติดว่าพวกเรารู้ไส้รู้พุงกันจนดูออกว่าเป็นรอยยิ้มของนักแสดง


“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ หนูเองก็อยากจะทำอะไรเพื่อโรงเรียนของพวกเรามานานแล้ว ครั้งนี้สบโอกาสพอดี ต้องขอบคุณอาจารย์มิยาโกะด้วยนะคะที่เลือกหนูมาทำหน้าที่สำคัญแบบนี้”


สุนทรพจน์ยาวเหยียดถูกร่ายออกจากปากฉัน ซึ่งคนฟังก็ขยับรอยยิ้มพราวพลางมองด้วยสายตาชื่นชม ในสายตาอาจารย์สังคมฉันคงดูดีไม่น้อยเลยทีเดียว


“ชิรายูกิซังนี่เป็นเด็กดีจริงๆ แบบนี้คุณมาโคโตะต้องดูแลไม่ให้ขาดตกบกพร่องเลยนะคะ”


อาจารย์มิยาโกะว่าพลางกลั้วหัวเราะ จากนั้นก็เอื้อมไปจับมือสามีตามกฎหมายของฉันด้วยท่าทางสนิทสนม ทำให้ฉันที่ยืนมองอยู่ต้องเลิกคิ้วขึ้นเงียบๆ


แบบนี้ภาษาชาวบ้านเขาเรียกว่า ‘กันท่า’ สินะ ฉันคิดถูกจริงๆ...ผู้หญิงคนนี้ร้ายไม่เบา


“ไม่ต้องห่วงครับ ผมจะดูแลเป็นอย่างดีเลย”


อาจารย์คณิตศาสตร์ตอบกลับ พยักหน้ารับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะ


เห็นดังนั้นอาจารย์สาวสวยจึงยิ้มอีกรอบ ก่อนดวงตาที่ปัดมาสคาร่าจนงามงอนจะเหลือบมองนาฬิกาข้อมือ ซึ่งขณะนี้เข้าใกล้เวลาออกเดินทางมากขึ้นทุกที


“เหมือนจะได้เวลาแล้วนะคะ รีบไปกันเถอะ ไปสายจะดูไม่ดีเอา ฉันเองก็ต้องขึ้นรถไฟกลับบ้านแล้วเหมือนกัน ใกล้ถึงเวลาที่นัดไว้กับที่บ้านแล้วน่ะค่ะ” อาจารย์มิยาโกะเอ่ยบอก


“นั่นสิครับ เดินทางปลอดภัยนะ ทางนี้ผมจัดการเอง”


มาโคโตะเอ่ยทิ้งท้าย เมื่อเห็นดังนั้นอาจารย์คนสวยจึงแสดงท่าทีโล่งอก ก่อนตัดสินใจสาวเท้าแยกไปยังอีกทาง ทิ้งฉันกับอาจารย์คณิตศาสตร์ที่ยืนส่งยิ้มเหมือนคนดีไว้ตามลำพัง


“...ไปแล้วใช่มั้ย” ฉันกระซิบถาม


“อืม” อีกฝ่ายตอบกลับ


หลังจากนั้นเราทั้งคู่ก็หุบยิ้มอย่างพร้อมเพรียงโดยไม่ต้องนัดหมาย และกลับมาชักสีหน้ามึนตึงใส่กันตามปกติ


“ไม่ต้องห่วงครับ ผมจะดูแลเป็นอย่างดีเลย...”


ฉันแกล้งทำเป็นทวนคำพูดของสามีตามกฎหมาย ก่อนจะสำทับใจความสำคัญ


“ให้มันจริงก็แล้วกัน ถ้านายทำตัวไม่ดีฉันฟ้องอาจารย์มิยาโกะแน่”


แต่ดูเหมือนคนฟังจะไม่สนใจคำขู่นั้นเลย เพราะหมอนั่นตอบกลับเสียงเรียบ


“ปัญญาอ่อน ทำตัวเหมือนเด็กอนุบาลไปได้ แล้วไอ้คำพูด ‘หนูเองก็อยากจะทำอะไรเพื่อโรงเรียนของพวกเรามานานแล้ว’ นี่มันอะไรกัน เมื่อเช้าเธอเผลอกินน้ำยาล้างห้องน้ำเข้าไปหรือไง”


คำพูดยอกย้อนตามสไตล์คนเถื่อนถูกส่งมา แต่ฉันชินแล้ว เลยทำเพียงยักไหล่


“รู้อยู่แล้วจะมาทำเป็นถามทำไม พวกเราก็คนในวงการเหมือนกัน อย่างคำพูดเมื่อกี้ของนายนี่มันน่าอัดเสียงไปให้มิยาโกะซังคนสวยฟังจริงๆ เลย”


พูดออกไปแล้วก็คิดได้ว่าเป็นวิธีที่เข้าท่าไม่น้อย แต่ติดก็ตรงที่ตัวเองอาจจะโดนหางเลขไปด้วยนี่สิ เกิดอาจารย์ภาคสังคมคนนั้นสงสัยความสัมพันธ์ของพวกเราขึ้นมา บางทีคนที่เจ็บตัวมากกว่าอาจจะเป็นฉันก็ได้ ดังนั้นจึงต้องพับเก็บโครงการกระชากหน้ากากทิ้งไปด้วยความเสียดายนิดๆ


“ไปขึ้นรถได้แล้ว”


ดูเหมือนคู่กรณีจะไม่สนใจคำกระเซ้าของฉันเท่าไหร่ เพราะอีกฝ่ายหันมาสั่งเสียงเรียบแถมก้าวนำไปที่รถซึ่งจอดอยู่ในลานทันที


ใช้เวลาสักพักพวกเราก็เดินมาถึงยานพาหนะที่จะใช้เดินทาง มันเป็นรถของมาโคโตะที่ฉันไม่เคยมีโอกาสได้นั่ง เพราะหมอนี่คัดค้านหัวชนฝาไม่ให้ฉันยุ่งกับของใช้ส่วนตัวมาโดยตลอด ซึ่งไม่ยุติธรรมเลย เพราะหมอนี่เองยังชอบแอบขโมยใช้แชมพูของฉันบ่อยๆ


“ว้าว วันนี้ซาโฮะจังจะได้นั่งรถของอาจารย์สึบุรายะด้วยหรือเนี่ย ตื่นเต้นจังค่ะ”


ฉันพูดพลางยกมือขึ้นประกบกลางอากาศด้วยสีหน้าปลาบปลื้มใจเต็มประดา ขนาดเป็นคนทำเองยังรู้สึกว่ามันดัดจริตมาก จึงไม่แปลกที่คนมองจะส่งสีหน้ารังเกียจกลับมาให้


“อย่ามาทำท่าทางน่าขนลุก รีบๆ ขึ้นไปเร็ว”


มาโคโตะว่าก่อนจะใช้รีโมทที่ผูกติดกับกุญแจรถปลดล็อค จากนั้นจึงเดินไปเปิดประตู


ก็นะ รู้ๆ กันดีอยู่ว่าหมอนั่นจะต้องเปิดเฉพาะประตูฝั่งตัวเอง ถ้าเดินมาเปิดให้ฉันด้วยฟ้าต้องถล่มแน่ๆ อันนี้ฟันธง


ฉันผิวปากเล็กน้อย ไม่ถือสาอะไรแล้วรีบขึ้นรถเช่นกัน อดคิดไม่ได้ว่าถ้าคู่เดทของมาโคโตะไม่ออกปากขอร้อง คาดว่าผู้ชายคนนี้ต้องสั่งให้ฉันเดินทางไปเองแล้วค่อยไปเจอกันที่งานแหงๆ


จากนั้นความเงียบก็โรยตัวรอบพวกเรา จนฉันต้องเหลือบมองสามีตามกฎหมายที่ยังไม่ยอมออกรถสักที แถมอีกฝ่ายก็มองกลับมายังฉันด้วย


“มีอะไร” ถามพลางมุ่นคิ้วลงด้วยความสงสัย


“รัดเข็มขัดด้วย”


อีกฝ่ายสั่ง ทำฉันชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะสวนกลับด้วยท่าทางกวนบาทา


“อาจารย์สึบุรายะกลัวเสียค่าปรับเหรอคะ” แล้วก็หรี่ตามองพร้อมกับยิ้มตรงมุมปาก


“ประสาท ฉันบอกเพราะมันอันตรายต่างหาก”


คู่สนทนาตอบกลับเสียงเรียบ แต่คำตอบดังกล่าวทำฉันชะงักไปในทันที


นึกสงสัยว่าคนตรงหน้าใช่อาจารย์คณิตศาสตร์ผู้ไม่แยแสต่อมนุษย์คนอื่นจริงหรือนี่ หรือบางทีหมอนี่อาจจะสวมหน้ากากจนเผลอซึมซับตัวตนฝ่ายดีของตัวเองไปแล้วก็เป็นได้


คงไม่ใช่ฉันแล้วล่ะ ที่เผลอกินน้ำยาล้างห้องน้ำมาเมื่อเช้าน่ะ


ทว่าฉันไม่ได้เถียงอะไร พร้อมกันนั้นก็เอี้ยวตัวไปคาดเข็มขัด ก่อนจะหันไปพยักหน้าส่งสัญญาณให้อีกฝ่าย เห็นดังนั้นมาโคโตะจึงกลับไปโฟกัสที่พวงมาลัย ก่อนจะออกรถโดยไม่พูดอะไรอีก