ตอนที่ 3


24 June 1995...


สาวน้อยใต้ต้นตาเบบูญ่า...


มองหน้าเธอมาเกือบหนึ่งเดือน...แต่ไม่เคยกล้าเข้าไปคุยด้วยเลย


เธอ เป็นเพื่อนสนิทของเนย...และหลงใหลการวาดรูปเป็นชีวิตจิตใจ


เราได้รู้จักนิสัยเธอมากขึ้น...เธอร้ายพอตัว ค่อนข้างกร้านโลก แถมยังขวางสังคมอีก


เธอเป็นคนแปลก...ชนิดที่หาผู้หญิงคนไหนเหมือนยาก…และเธอก็เข้าใจยากด้วย


วันที่เธอปั่นจักรยานเข้ามาในคณะ...เราเห็นเนยซ้อนท้ายมาด้วย เลยวิ่งเข้าไปขวาง


ดูเธอตกใจไม่น้อย...เพราะเอาแต่จ้องหน้าเราเขม็ง


รู้มั้ยเราร้อนแค่ไหนตอนโดนจ้อง..แต่ต้องแสร้งไม่สนใจ ทำเป็นชวนเนยคุยไปเรื่อย


แต่ยัยเนยกลับทำหน้ารำคาญตลอดเวลา...ยัยบ้านี่...ไม่ช่วยเพื่อนบ้างเลย


มันบ่นว่า...หิวข้าวโว้ยจะรีบไปโรงอาหาร...เราถึงต้องยอมปล่อยแฮนด์จักรยาน


เธอคงไม่รู้หรอก...ว่าเราเฝ้ามองเธอจนกระทั่งลับตา..


ใบหญ้า...เมื่อไหร่เราสองคน...จะมีโอกาสได้คุยกันสักที




พอปิดวาร์ก...มีการผูกบายศรี รุ่นพี่ออกมาผูกข้อมือรุ่นน้อง พี่วาร์กที่เคยใจร้ายกลับกลายเป็นใจดี


รุ่นน้องทราบซึ้งใจ ร้องไห้ร้องห่ม เพราะในที่สุดความเหนื่อยยาก หยาดเหงื่อ และน้ำตาจะหมดสิ้นไปเสียที  ต่อไปนี้สิ่งที่เด็กปี 1 อย่างพวกเขาจะได้รับก็คือ...อิสระ


เมธาวีไม่มาเรียนถึงสามวันแต่สุดท้ายก็ยอมกลับมาเพราะพวกบอยโทรไปขอร้อง


ตอนแรก...เมธาวีตั้งใจจะไม่กลับมาเรียนเพราะวางแผนจะสอบเอนทรานซ์ใหม่ปีหน้า แต่ปะป๊ามะม้าของเธอไม่เห็นด้วย อยากให้ลูกกลับมาลองเรียนให้เต็มที่ก่อน ถ้าเรียนไม่ไหวยังไง...ค่อยลาออกทีหลังก็ได้


ในวันที่เมธาวีกลับมาเรียน บอยต้องถ่อไปรับถึงหน้ามหา’ลัย ต้องพาเข้าคณะ อัญเชิญเข้ามานั่งในห้องเรียน ส่วนโจเองก็เอาอกเอาใจสารพัด…จนทอมอิ๋วโมโหน้อยใจย้ายไปอยู่กลุ่มนิวหนึ่งอาทิตย์ แต่ด้วยอิ๋วเป็นคนจำพวกที่อยู่กับเพื่อนหน้าตาธรรมดาๆไม่ค่อยได้ สุดท้ายอิ๋วก็ต้องแบกหน้ากลับมาอยู่กลุ่มบอยตามเดิม และแล้ว...อิ๋วกับเมธาวีก็ต้องยอมอยู่กลุ่มเดียวกันมาตลอดจนถึงสอบกลางภาคเทอม 1 แต่ทั้งสองก็ไม่เคยยอมมองหน้าหรือพูดคุยกันแม้แต่นิดเดียว


ยิ่งนานวัน เนย โบว์ ใบหญ้าก็ยิ่งสนิทกับกลุ่ม ท็อป บีท ตี๋ และพลัมมากขึ้นส่วนดีมจะแยกไปอยู่กับปลายซะส่วนใหญ่ เพียงไม่เกินกลางเทอม...สองคนนั้นก็ได้เป็นแฟนกัน


โชคดีที่โบว์ทำใจได้ โบว์บอกตัดใจได้ตั้งนานแล้วตั้งแต่วันที่เห็นดีมลูบหัวปลาย ดูแค่นั้นก็รู้แล้วว่าดีมชอบปลาย แต่เนยกลับตัดใจไม่ได้เหมือนโบว์ ยิ่งเธอได้เห็นปลายอยู่กับดีมมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเจ็บปวด เวลาดีมซ้อมบาส เห็นปลายไปนั่งเชียร์ และคอยส่งน้ำให้ดื่ม เนยแอบไปฝันว่าสักวันจะป็นตัวเองที่ได้ส่งน้ำให้ดีมแบบนั้นบ้าง เธอผูกใจกับผู้ชายคนนี้มากเหลือเกิน


สอบกลางภาค โอได้คะแนนท็อปเกือบทุกวิชา เขาเก่งด้านวิชาการ แต่วิชาด้านศิลป์กลับทำคะแนนได้แย่ ผิดกับใบหญ้าที่ห่วยวิชาการ แต่วิชาที่ใช้หัวด้านศิลป์ เธอทำได้เยี่ยมยอดหมด โบว์ทำได้ดีทุกวิชาเฉลี่ยๆเท่ากันในขณะที่เนยอยู่ระดับกลางๆ นิวคนที่ดูเหมือนจะเรียนเก่งและรู้ไปหมดทุกเรื่องกลับทำคะแนนได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ สำหรับท็อป...ที่เก่งวิชาใช้คอมพิวเตอร์...เขายังมีน้ำใจคอยช่วยเพื่อนที่ใช้คอมม์ไม่ค่อยเป็นอีกด้วย และคนเรียนห่วยสุดในคลาสคือ...โจ เพราะวันๆเขาเอาแต่โดดเรียนไปจีบสาวคณะนู้นทีคณะนี้ที แต่ไม่ว่าโจจะเจ้าชู้ขนาดไหน...ผู้หญิงที่เขาสนิทด้วยมากที่สุดก็คืออิ๋ว ซึ่งเรียนแย่พอๆกับเขาเนื่องจากเวลาเรียนที่ควรจะตั้งใจฟังอาจารย์ ทั้งสองกลับเอาไปใช้ พูดคุยเล่นหัว ตีต่อย หยิกหยอกกันทั้งวัน




ใกล้งานกีฬามหา’ลัย...เมธาวีกับปลายฟ้าถูกรุ่นพี่ทาบทามไปเป็นเชียร์ลีดเดอร์  เมธาวีได้ยืนตรงกลางชนิดที่เรียกได้ว่าเด่นสุด ส่วนปลายฟ้าก็ยืนอยู่ข้างๆเมธาวีนั่นเอง เมื่อต้องซ้อมถึงดึกดื่น บอยก็ทำหน้าที่ไปคอยรับส่งเมธาวีถึงหอพักทุกคืน


ส่วนดีม...แรกๆก็ไปรับปลายกลับจากซ้อม แต่พอถึงช่วงใกล้แข่งบาสเก็ตบอล เขาก็ฝากให้บอยไปรับแทน ทำให้ช่วงหลังๆดีมกับปลายทะเลาะกันบ่อยครั้งเพราะปลายเป็นคนขี้น้อยใจ ดีมเองก็เป็นคนขี้หึงเพราะปลายมีหนุ่มมาจีบเยอะ ทั้งรุ่นพี่ ทั้งรุ่นเดียวกันต่างเข้ามากลุ้มรุมแย่งจีบเธอ  พี่วิทย์...เดือนปีสามที่เข้ามาจีบปลายดูจะมีภาษีดีกว่าคนอื่น เพราะเขาทั้งหล่อรวย พร้อมด้วยชาติตระกูล ดีมก็เลยชอบแสดงท่าทางหึงหวงออกหน้าออกตา...จนบางทีก็ต่อว่าปลายเสียงดังกลางห้องเรียน


“นี่ของใคร ดีมถามว่าของใคร!”ดีมตะโกนเสียงดัง...เมื่อแอบเห็นจดหมายรักที่หนุ่มหล่อคนนั้นส่งให้ปลาย


“เราเป็นเพื่อนกันนะดีม ทำไมดีมตอ้งทำให้ปลายอายด้วย ฮือๆๆ” ปลายเอาแต่ร้องไห้ทุกครั้งที่ทะเลาะกัน จนเป็นที่เมาท์สนุกปากของเพื่อนๆไปทั้งคณะ ตั้งแต่ปลายเป็นแฟนกับดีม ปลายก็ห่างจากเมธาวีไป ทำให้เมธาวีต้องอยู่โดดเดี่ยวเสมอ


ในวันหนึ่งขณะที่เมธาวีกำลังยืนตากฝนรออพ่อขับรถมารับกลับบ้านอยู่ที่หน้าประตูคณะ ใบหญ้าเห็นเมธาวีเห็นเมธาวีอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่เพียงลำพังก็เข้าไปยืนเป็นเพื่อน และเนื่องจากใบหญ้าเป็นคนไม่ค่อยชอบใส่เสื้อนักศึกษา แต่จะใส่เสื้อสีดำเก่าๆเปื้อนคราบสีคลุมทับเสื้อยืดไว้อีกตัวหนึ่ง เธอเห็นเสื้อนักศึกษาของเมธาวีเปียกมากจนบางแทบเห็นเนื้อในแล้ว...จึงตัดสินใจถอดเสื้อตัวนอกส่งให้


“เสื้อนักศึกษาเปียกฝนแล้วมันบาง...เธอเอาเสื้อตัวนี้ไปเถอะ”


เมธาวีมองใบหญ้าด้วยสายตาทึ่ง...ก่อนจะเอื้อมมือไปรับเสื้อ และนับจากวันนั้นเองทั้งสองก็กลายเป็นเพื่อนกัน พอเมธาวีสนิทกับใบหญ้า สาวสวยคนนั้นก็เข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ในกลุ่มเนย ตอนแรกเนยอึดอัดใจที่มีคนสวยและโดดเด่นขนาดเมธาวีมาอยู่ในกลุ่มด้วย เพราะรู้สึกเหมือนวางตัวไม่ค่อยถูก แต่พอได้รู้จักนิสัยแท้จริงอันแสนตรงไปตรงมา และค่อนข้างบ้าบิ่นของเมธาวีเนยก็ได้รู้ว่า...สาวสวยหน้าหยิ่งคนนี้ไม่ได้ร้ายอย่างที่ใครๆคิด แม้ดูเป็นคนไม่ยอมคนและออกจะขี้โวยวาย แต่ในใจลึกๆแล้วกลับไม่เคยคิดร้ายใครเลย ท่ามกลางเสียงผู้คนที่คอยนินทาเธอ เมธาวีไม่เคยนินทาใคร  และแม้แต่ศัตรูตัวฉกาจของเธออย่างเช่นอิ๋ว ถ้าไม่ได้ทะเลาะหรือด่ากันซึ่งๆหน้า เธอก็จะไม่ยอมด่าลับหลังเด็ดขาด


แต่จะมีอยู่คนเดียวเท่านั้นที่เมธาวีชอบนินทา...นั่นก็คือปลาย…เพื่อนสนิทของเธอเองเมธาวีบอกว่าปลายเป็นคนร้องไห้เก่งมาก...จนบางทีเธอคิดว่าปลายไม่ได้ร้องออกมาจากใจจริง เมธาวีเคยเปรยๆกับใบหญ้าหลายครั้งเรื่องปลาย...พูดเป็นนัยว่าที่จริงแล้วปลายก็ไม่ได้นิสัยดีนักหรอก  เธอเล่าให้ใบหญ้าฟังว่าสมัยเรียนมัธยมปลายโรงเรียนหญิงล้วน อยู่ๆเพื่อนทั้งห้องก็พากันเกลียดเธอหมด...หาว่าเธอหยิ่ง และชอบมานินทาเธอให้ปลายฟัง แต่ปลายก็ไม่เคยแก้ปากให้เธอเลยแม้แต่ครั้งเดียว บางครั้งแค่เมธาวีมาโรงเรียน แล้วรู้สึกง่วง พอเงียบไปไม่ค่อยคุยกับปลาย ปลายก็ไปร้องไห้บอกเพื่อนๆซะทั่วห้องว่า...


“เมเกลียดปลายแล้ว ไม่คุยกับปลายเลย”


แล้วเพื่อนๆก็มารุมว่าเธอกันใหญ่ทั้งที่เธอไม่รู้เรื่องอะไร บางทีเวลามีผู้ชายโรงเรียนอื่นมาชอบ...คุยกับเธออยู่ดีๆก็หันไปจีบปลายแทน แล้วอ้างเหตุผลในการเปลี่ยนใจว่าเพราะเธอนิสัยไม่ดี ซึ่งเมธาวีก็คิดว่าคนที่เล่าให้ผู้ชายพวกนั้นฟังว่าเธอไม่ดีอย่างนู้นอย่างนี้ก็อาจจะเป็นปลายเองนั่นแหละ แต่ปลายก็ไม่เคยแสดงอะไรออกมาให้เธอจับได้ชัดๆว่าเป็นคนไม่ดี เธอเลยไม่กล้าไปถาม หรือซักไซ้เอาความอะไรกับปลาย เธอได้แต่คิดว่า...ความจริงก็คือความจริงวันยังค่ำ...หากใครคนหนึ่งมีเนื้อแท้ไม่ดี แต่ตัวฉาบด้วยทอง สักวันทองก็ต้องหลุดกร่อนออกมาให้เห็นเหล็กที่ขึ้นสนิมอยู่ภายใน


เมธาวีแม้จะมีคนมาจีบเยอะแต่เธอก็ไม่เคยคบใครเป็นแฟน เนยเคยถามเมธาวีว่า...เธอชอบใครในคณะบ้างหรือเปล่า เธอก็บอกว่าไม่ชอบใครสักคน แต่เนยแอบเห็นสายตาที่เมธาวีมองพลัมบ่อยๆ และคิดไว้ในใจว่าเธอต้องชอบพลัมแน่ ถ้าดาวกับเดือนเป็นแฟนกันคงดูดี หากสองคนนี้ถ้าจับคู่กันได้...เดินไปไหนคงมีแต่แสงสว่าง แต่สายตาพลัมกลับไม่ยอมเบือนมาจับที่เมธาวีบ้างเลย วันๆมันเอาแต่มากวนเนย จนบางทีเนยต้องถามมันว่า


“แกจะมาเล่นอะไรกับชั้นนักหนา ชอบชั้นรึไงวะ”


มันก็ตอบแบบติดตลกกลับมาว่า“ชอบดิ...เพราะแกตลกดี”


แต่เนยก็รู้ว่าว่าพลัมคิดกับเธอแค่เพื่อน ซึ่งเธอก็คิดกับเขาแบบเพื่อนเช่นกัน เนยห่วงใยพลัมแบบที่ห่วงโบว์กับใบหญ้า กลัวเขาสอบตก กลัวเขาขาดเรียน...ก็แค่นั้น


“ตั้งแต่มีเพื่อนมา ที่โรงเรียนมีแต่พวกคนแบบบอย  เราอยู่ห้องคิงเลยเจอแต่คนเห็นแก่ตัว เจอแต่พวกวางมาดทำเป็นดี แต่ลับหลังก็ไม่เคยอยากเห็นใครเด่นกว่าตัวเอง”


พลัมเล่าให้เนยฟังบ่อยๆ...ถึงชีวิตส่วนตัวของเขา


เขาบอกว่าตัวเองเคยเป็นคนเรียนเก่งมาก...เพราะอยากทำให้พ่อพอใจ แต่เรียนไปมาก็เริ่มเบื่อที่จะต้องต่อสู้แข่งขัน กับคนอื่น เลยปล่อยให้การเรียนตกไปในระยะหลังๆ ตอนสอบเข้ามหา’ลัยแล้วลองสอบวิชาดรออิ้งดู ปรากฏว่าทำคะแนนได้ดีเหนือความคาดหมาย การเอ็นท์ทรานส์ติดที่นี่ได้ก็ถือว่าเป็นโชคดีของเขาเหมือนกัน


“รู้มั้ยเนย ตั้งแต่รู้จักเพื่อนมา ไม่เคยเห็นใครที่มีแววตาท่าทางซื่อขนาดแกมาก่อนเลย แกเป็นคนไม่มีอะไรจริงๆ จะดีใจ เสียใจ หรือเกลียดใครก็แสดงออกทางสีหน้าหมด ต่อให้แกไม่พูดแต่เพื่อนก็เดาใจได้ตลอด เพราะไม่มีพิษภัย...เราถึงได้ชอบแกมากไง"


เนยตกใจร้องเฮ้ย! เสียงดังลั่น แทนที่จะดีใจ กลับรู้สึกจักกะดี้จักกะเดียมบอกไม่ถูกพลัมเห็นหน้าแหยๆของเนยก็เลยรีบอธิบาย…


“อย่าเข้าใจผิด ไม่ได้ชอบแบบนั้นโว้ย ชอบแบบเพื่อน อย่าหลงตัวเองนัก หน้าอย่างแกกว่าจะหาแฟนได้คงอีกนาน”


“ไอ้บ้า ไอ้บ้าเอ๊ย”เนยโกรธจนหน้าแดง“รู้อยู่แล้วโว้ยว่าไม่สวย แต่ไม่ชอบให้ใครมาด่า”


พลัมหัวเราะรื่นเริง ใบหน้าของเพื่อนคนนี้ไม่ว่าจะยิ้ม หัวเราะ หรืออยู่เฉยๆก็ดูราวกับเทพบุตรไม่แปลกเลยที่เขาเดินไปไหนจะมีแต่คนมอง แต่เนยก็ไม่เคยรู้สึกอะไรกับพลัมมากเกินกว่าคำว่าเพื่อนเลย


คนเรานี่ก็แปลก หากไม่ใช่...มันก็ไม่ใช่วันยังคำ หากไม่ได้รัก...ต่อให้สนิทกันยังไง มันก็ไม่รู้สึกอะไรอยู่ดี ผิดกับเวลาที่เราถูกชะตาหรือหลงรักใครสักคน ถึงพยายามดิ้นรนไม่ให้รักคนๆนั้นยังไง...ก็ทำไม่สำเร็จสักที


ในชีวิตของเนย ดีมอาจจะเป็นเจ้าชายในดวงใจ เป็นความรักครั้งแรกที่ไม่เคยสมหวัง เป็นความสุขที่มากพอจนทำให้เนยสามารถจดจำเขาไปตลอดทั้งชีวิตแต่พระเอกในชีวิตของเธอกลับกลายเป็นพลัมเขากลายเป็นคนที่เนยรู้สึกศรัทธามาก...เพราะจะหาผู้ชายที่ยอมทุ่มเททั้งชีวิตให้กับความรักได้เท่าเขาในโลกนี้...คงไม่มีอีกแล้ว




“ปิดเทอมแล้ว....พวกเราไปเที่ยวกันนะ“


โบว์เปรยกับเพื่อนๆ              ในระหว่างที่นั่งอ่านหนังสือก่อนสอบปลายภาคด้วยกัน


“ไปกัน4คน...แค่พวกเรานะเพื่อนๆ”โบว์พูดต่อทั้งที่สายตายังไม่ถอนจากหนังสือ หลายเดือนมาแล้วที่โบว์ดูซึมๆเหมือนคนอกหัก เนยเคยคิดว่าอาจเป็นเรื่องเดียวกับเนย...คือยังทำใจเรื่องดีมไม่ได้


“ทำไมอยู่ๆโบว์ถึงอยากไปเที่ยวล่ะ”ใบหญ้าถาม


“เห็นกลุ่มนั้นเค้าอิ๋ว บอย โจ เค้าชวนกันไปเที่ยว แล้วยังมาชวนกลุ่มดีมกับปลายด้วย แต่ไม่เห็นเอ่ยปากชวนกลุ่มเราเลย”โบว์พูดน้ำเสียงเหมือนน้อยใจ


“ก็เราเป็นที่รังเกียจ เธออยู่กลุ่มเดียวกับเรา พวกเค้าก็เลยไม่ชวนพวกเธอไง อย่าน้อยใจไปเลย เธอไปกับพวกเค้าเถอะ บอกว่าเราไม่ได้ไปด้วย เดี๋ยวเค้าก็ให้เธอไป”ใบหญ้าพูด


“ไม่หรอก ถ้าเพื่อนสนิทโบว์ไม่ไป โบว์ก็ไม่ไป ไม่เห็นตั้องง้อเลย คนพวกนั้น”


โบว์รีบหันหน้าขึ้นมาจากหนังสือทันที เธอเป็นคนแคร์เพื่อนมาก


“ก็ไปสิ!”เมธาวีพูดขึ้น“ไปเที่ยวกัน แค่เรา4คนอย่างที่เธอบอก พวกเธออยากไปไหนล่ะ”


“อืม เรายังไม่เคยเห็นทะเลเลยตั้งแต่เกิดมา ไปทะเลกันนะ”โบว์ตอบ ด้วยสีหน้าที่ดูสดชื่นขึ้น


“โอเค งั้นไปทะเลกัน”เนยตะโกนอย่างดีใจ ยื่นมือออกไปกลางโต๊ะ“แทคทีม! ปิดเทอมนี้พวกเราจะไปทะเลกัน”


แล้วทั้ง 4 มือก็ประสานทับกันพลางตะโกนว่า “แทคทีม!”


ที่บ้านพักริมทะเล…พวกเนยได้ความช่วยเหลือจากพลัม ที่พอรู้ว่าสาวๆอยากมาเที่ยวทะเล เขาก็เสนอบ้านพักแห่งหนึ่งให้ทันที ชายหนุ่มจะอาสาขับรถพาไปให้โดยบอกว่าผู้หญิงหมดไปกัน4คนอันตราย มีผู้ชายไปด้วยคนหนึ่งอุ่นใจกว่า แต่เนยคิดว่านั่นเป็นข้ออ้าง แท้จริงแล้วเขาคงอยากใกล้ชิดเมธาวี


พลัมไม่แสดงทีท่าว่าจะจีบผู้หญิงคนไหนเลย ตั้งแต่ขึ้นมหาวิทยาลัยมา ทั้งที่ได้ข่าวมากลายๆว่าสมัยมัธยมเขาผ่านผู้หญิงมาอย่างช่ำ แต่ภาพของพลัมที่เธอเห็น…คือผู้ชายที่เงียบสนิท และเฉยชาจนดูเหมือนว่าจะมีอารมณ์รักกับใครไม่เป็น การที่เขาดูเหมือนจะเริ่มชอบเมธาวีอย่างนี้ก็เป็นเรื่องดี เพราะเท่าที่มองผู้ชายในคณะทุกๆคน เนยไม่เห็นว่ามีใครเหมาะสมกับเมธาวีเท่ากับพลัมในเช้าวันที่ไปเที่ยว เพื่อนๆทุกคนตื่นแต่ตีห้า ขึ้นรถโฟล์กสีขาวคันเล็กของพลัม นั่งเบียดกันไปเป็นเวลา กว่า3ชั่วโมงจนถึงระยอง เมธาวีบ่นเล็กน้อย แต่ก็เป็นการบ่นแกมตลกไม่ได้จริงจัง เนื่องจากเธอไม่ใช่ลูกคุณหนูชนิดที่ทนลำบากนิดหน่อยไม่ได้ หากเพื่อนสนุกๆ เธอก็สนุกไปด้วยบ้านหลังนั้น อยู่ที่ระยอง ติดทะเลพอดี เนื้อที่กว้างเป็นส่วนตัว ในรั้วเตี้ยๆสีเทามีบ้านเล็กๆสีขาวล้อมรอบด้วยสวนกุหลาบ พลัมบอกพ่อซื้อไว้นานแล้วเป็นของขวัญวันแต่งงานให้แม่ พอแม่ตายบ้านก็ทิ้งไว้เฉยๆไม่มีคนอยู่ ทุกเดือนจะมีแม่บ้านมาทำความสะอาด ตอนเด็กๆพลัมเล่าว่าเขาเคยมาเที่ยวบ่อย


แม้เขาไม่ได้มาเยี่ยมระยองนานถึง4ปีแล้ว แต่บ้านหลังนี้ก็ยังสวยเหมือนเดิมเนื่องจากบ้านถูกออกแบบเป็นที่พักชั่วคราว จึงมีห้องนอนเพียงห้องเดียว ห้องรับแขกขนาดกระทัดรัด กับห้องครัวเล็กๆอีก1ห้อง พลัมอาสานอนที่โซฟาห้องรับแขก แล้วให้ผู้หญิง4คน...นอนในห้องที่เปิดแอร์เย็นสบายภายในห้องนอนนั้น...มีผนังวอลเปเปอร์สีขาวลายเมฆสีฟ้าอ่อนๆและผนังอีกด้านเปิดโล่ง...มีประตูบานเลื่อนกระจกใสกั้นอยู่ ประตูนั้นตกแต่งด้วยม่านลูกไม้พลิ้วไหวบางเบา สามารถออกไปยืนริมระเบียงชมทะเลได้ พื้นห้องปูพรมสีเทาเข้มตัดกับเตียงนอนใหญ่สีขาวสะอาดที่ดูเหมือนน่านอนเบียดกันได้พอดีสามคน เมื่อเห็นดังนั้น...ใบหญ้าเลยอาสานอนบนพื้นห้องเองเมื่อทุกคนเริ่มจัดวางข้าวของของตัวเอง เนยเห็นใบหญ้าตรียมอุปกรณ์วาดรูปมามากกว่าพวกเสื้อผ้าซะอีก พอจัดข้าวของเสร็จ ใบหญ้าก็รีบออกไปนอกห้องหาทำเลวาดรูปทันที


ระหว่างกำลังขึ้นขาตั้งสำหรับวาดรูป เธอก็ประสานสายตากับพลัมที่เดินเข้ามาใกล้ หญิงสาวกล่าวชมบ้านกับเขาด้วยน้ำเสียงและประกายตารื่นเริง  ซึ่งไม่ค่อยมีใครได้เห็นจากเธอมากนักนอกจากพวกเพื่อนๆสนิท“บ้านนี้สวยจริงๆ รู้สึกเหมือนเคยเห็นมาก่อนเลย”ใบหญ้ายิ้มอย่างสดใส ขณะกวาดสายตามองไปรอบบ้าน“เธออยากได้มั้ยล่ะ”พลัมถามด้วยแววตาที่เปล่งประกายระยับ“ให้จริงก็เอาสิ”ใบหญ้าพูดติดตลก หยิบกระดานสีและพู่กันออกมาเตรียมวาดรูปขณะวาดรูปใบหญ้าก็คุยอะไรเรื่อยเปื่อยกับพลัม  ปกติหญิงสาวเป็นคนเงียบๆไม่ค่อยคุย แต่วันนี้เธอร่าเริงเป็นพิเศษจึงพูดมากขึ้นหน่อย ส่วนพลัมเองไม่ได้พูดโต้ตอบอะไรเธอมากนัก เขาเอาแต่มองเธอวาดรูป...จนผ่านไปพักใหญ่ๆ ทั้งสองก็เงียบลงพร้อมกัน เพราะสมาธิของใบหญ้าได้จมหายลงไปในรูปวาดของเอแล้ว


พลัมมองเข้าไปในรูปของใบหญ้า...เห็นเธอเลือกวาดด้านหน้าของบ้าน ในส่วนที่มองเห็นกุหลาบขาวล้อมรอบ จากนั้นเขาก็ไล่สายตาขึ้นไปบนดวงหน้าของเธอ เขามองใบหญ้าอยู่นานมากโดยไม่ยอมขยับกายไปไหน“สนใจงานศิลป์เหมือนกันเหรอ...ถึงนั่งดูอยู่ได้ตั้งนาน”ใบหญ้าเริ่มคุยกับเขา ตายังจดจ้องอยู่ที่ลายเส้น“ก็ไม่เชิงหรอก...แต่ตอนนี้รู้สึกจะสนใจอย่างอื่นมากกว่า”พลัมตอบเสียงเบาแทบกระซิบ“อะไรเหรอ...”ใบหญ้าถามลอยๆ ใจยังจดจ่ออยู่กับรูปที่เธอวาดพลัมลุกขึ้นเดินไปยืนใกล้ใบหญ้า โน้มตัวลงกระซิบที่ข้างหูของหญิงสาว“ก็เธอไง...”


ใบหญ้าหันไปจ้องเขาด้วยสายตาตกตะลึง ยังไม่ทันจะได้ถามอะไรเสียงเมธาวีก็ดังมาจากในห้อง“วันนี้เราจัดปาร์ตี้กันดีกว่า”เมธาวีออกความเห็น“จะจัดยังไงล่ะ”เนยถาม...สาละวนกับการเอาเสื้อผ้าออกจากกระเป๋า“ก็ให้ใครไปซื้อหมึก ซื้อปลา มาย่างกินกัน แล้วก็ตั้งแคมป์ไฟอะไรเงี้ย”“โอ้โห นี่ความคิดลูกคุณหนูเหรอเนี่ย ไม่อยากจะเชื่อ”เนยประชด


“นี่ชั้นก็คนเหมือนกันนะยะ ยัยบ้า”เมธาวีเขกหัวเนย“แล้วใครจะไปซื้อล่ะ”โบว์ถาม“ให้พลัมไปซื้อไง”เนยเสนอ


พลัมได้ยินดังนั้นก็ตะโกนเข้าไปในห้องทันที “โอเคๆ เด๋วไปให้ที่ตลาด จะกินกันเยอะมั้ย”“เยอะ!” ทั้งสามคนตะโกนกลับพร้อมกันเป็นเสียงเดียว“ได้จ้าพวกหมูๆทั้งหลาย”


พลัมว่าแล้ว...ก็หันมายิ้มให้ใบหญ้าที่กำลังมองเขาอยู่ด้วยสายตาตกตะลึง...ในดวงตาสีน้ำชาเต็มไปด้วยประกายคำถาม แต่ชายหนุ่มคิดว่ายังไม่ถึงเวลาที่จะบอก เขาตัดสินใจคว้ากุญแจรถ แล้วเดินออกไปจากบ้านทันที


เมื่อชายหนุ่มกลับมาบ้านพร้อมเสบียงอาหารแน่นเอี๊ยด ทั้งปลาหมึกสด ปลาสด น้ำพริกเผา ผักสด และถ่านจำนวนหนึ่ง พร้อมเตาที่เพิ่งซื้อใหม่สดๆร้อนๆเตรียมทำแคมป์ไฟคืนนี้


เมื่อก้าวออกจากรถ ก็เห็นเพื่อนสาววิ่งกันมายืนอออยู่หน้าบ้าน เหมือนพวกเธอตั้งใจมาโชว์ตัวให้เขาเห็น“เฮ้ย! อะไรกันเนี่ย ไปแป็ปเดียวกลับมาแปลงร่างกันไปหมดแล้วเหรอ”พลัมตกใจอ้าปากค้าง“เป็นไงบ้างล่ะ ตอนนี้เหลือเธอคนเดียวที่ธรรมดาที่สุด พวกเราคือองค์หญิง”เมธาวีพูดยิ้มๆ“โอเค พะย่ะค่ะ เฮ้ย! นี่เนยเหรอเนี่ย”พลัมมองเนยตาโต“ใช่ เป็นไงบ้าง”เนยถามหวาดๆ“ทำไมแกสวยอย่างงี้วะ”พลัมพูดโพล่งๆออกมา จนเนยอาย“ไอ้บ้า อย่ามาเวอร์ ดูใบหญ้าซะก่อน”เนยชี้ไปข้างหลังพลัมหันหลังไปทางที่เนยชี้ แล้วก็นิ่งเงียบ....กลางจุดรวมสายตาของเขา ใบหญ้ายืนหวั่นๆสั่นสะเทิ้นอายเหมือนเท้าแทบจะไม่ติดพื้น เธอต้องหันไปมองทางอื่นเพื่อกลบเกลื่อนอารมณ์หวั่นไหวไม่ให้เขาเห็น“เป็นไง”เนยถาม“สวยใช่มั้ยล่ะ”“อืม…ก็ดี”พลัมพูดแล้วก็รีบเดินแบกของเข้าบ้าน ปล่อยให้โบว์กับเนยยืนงง“ไอ้บ้า ไม่มีมารยาทเลย”เนยบ่น “มันคงแกล้งเธอแหละใบหญ้า ที่จริงเธอสวยจะตาย”“เราไม่สวยหรอก”ใบหญ้าก้มหน้าเดินปลีกตัวเข้าไปหลบในห้องนอน


เมธาวีสังเกตเห็นความผิดปกติของพลัมและใบหญ้า ดวงตาเธอหมองลงเพราะเริ่มรู้สึกถึงอะไรบางอย่างได้…


เมื่อถึงยามหัวค่ำ…พวกสาวๆยังคงแต่งตัวสวย วิ่งเล่นริมชายหาด ใบหญ้าทำหน้าที่คอยถ่ายรูปให้เพื่อนๆ ส่วนพลัมก็นั่งหน้าดำอยู่หน้าเตา เขามีหน้าที่ปิ้งอาหารให้พวกสาวๆกิน“ลำบากหน่อยนะพลัม”เนยพูดเย้ยๆ“ไม่เป็นไรครับท่าน เรื่องแค่นี้ขี้ข้าอย่างผมทำได้อยู่แล้ว”พลัมตอบ ยังก้มหน้าก้มตาปิ้งหมึกอยู่อย่างมีสมาธิ“เราช่วยมั้ย...”ใบหญ้าเดินเข้าไปหาพลัม เขารีบหันขวับขึ้นมามองทันที หน้าขาวๆของเขาเปื้อนถ่านเป็นลายทางเหมือนม้าลายถ่าน ทำให้หญิงสาวอดขำไม่ได้พลัมรีบก้มหน้าเอาเสื้อเช้ดหน้าตัวเองทันที “อย่าขำสิ”“เธอไม่เคยทำใช่มั้ยล่ะ”ใบหญ้าพูดขณะนั่งลงใกล้ๆพลัม“ทำไมจะไม่เคย ก็ตอนเรียนลูกเสือไง”เขาตอบยิ้มๆ แววตาสดใสจนทำให้ใบหน้าสว่างโล่ แม้แก้มสองข้างจะเปื้อนสีถ่านกระดำกระด่างเมธาวีแอบมองหนุ่มสาวสองคนนั้นมาแต่ไกล เธอยืนนิ่ง...ถอนหายใจสายตาเศร้าๆพักหนึ่ง ก่อนดวงหน้าแปรเปลี่ยนเป็นยิ้มมากขึ้นอย่างจริงใจ ก่อนจะรีบชวนโบว์กับเนยให้เดินไปทางอื่น ราวกับอยากจะเปิดทางให้พลัมกับใบหญ้าได้มีโอกาสอยู่ด้วยกันตามลำพัง




“ถามอะไรเธอหน่อยสิ ที่เธอพูดกับเราเมื่อเช้าน่ะ...เป็นแค่การพูดเล่นใช่มั้ย” ในที่สุด...ใบหญ้าก็รวบรวมความกล้าเอ่ยถามพลัม...ด้วยน้ำเสียงสั่นๆอย่างคนไม่มั่นใจในตัวเอง“แล้วเธออยากให้เราพูดเล่นหรือพูดจริงล่ะ”พลัมถามต่อ หันมามองใบหญ้าด้วยสายตาจริงจังใบหญ้าตกใจ...ทำเสียงแข็งขึ้นบ่งบอกอารมณ์โกรธ“เราไม่มีอารมณ์มาสนุกด้วยหรอกนะ อย่าทำกับคนอื่นเหมือนเค้าเป็นของเล่นแบบนี้” ...พูดจบเธอก็ทำท่าเหมือนจะลุกหนี แต่ยังไม่ทันก้าวฝีเท้าแรก ร่างเธอก็ทรุดฮวบลงเพราะถูกเขาฉุดลงไปนอนในอ้อมกอด“เรา…รักเธอนะ ตั้งแต่เห็นทีแรกแล้ว” พลัมพูดเสียงสั่นเครือ...กอดเธอไว้แน่น และแม้ใบหญ้าจะแสดงสีหน้าตกใจให้เขาเห็น แต่เขาก็รู้สึกว่าหักห้ามใจตัวเองไม่ไหวอีกต่อไป จึงก้มหน้าลงประทับริมฝีปากกับเธอแผ่วเบาเขาจูบเธอนิ่งนาน จนเมื่อถอนริมฝีปากออก...ก็เห็นเธอยังคงหลับตาพริ้ม“ทำไมเธอไม่ขัดขืนล่ะ” เขาถามพร้อมรอยยิ้มที่ทาบทับอยู่บนริมฝีปาก สีหน้าฉาบไปด้วยรอยสุขอันอิ่มเอมใบหญ้าหลับตานิ่งสักพัก...ก่อนจะลืมขึ้นช้าอย่างช้า แล้วตอบคำถามของเขาด้วยการย้อนว่า…“แล้ว...เธอไม่รู้คำตอบจริงๆเหรอ...”