บทที่ 2


แสงสลัวจากการปิดกั้นด้วยม่านผืนหนายังคงทำให้คนที่นั่งอยู่ข้างฟูกนอนติดริมผนังมองเห็นภายในห้องนอนที่ไม่คุ้นตา สองมือนั้นกำลังจัดการกับข้าวของที่พกติดตัวมาจากกระเป๋าเดินทางใบโต ทั้งยังมีกล่องอีกหลายกล่องวางเรียงชิดผนังทางฝั่งประตูห้องเพื่อรอคอยให้ชายหนุ่มได้จัดการกับมันหลังจากนี้

ชเยศ หทัยพงศ์เดินทางมาจากกรุงเทพในวัย 24 ปีเพื่อเริ่มต้นใช้ชีวิตกับลูกพี่ลูกน้องที่อยู่เพียงลำพังในบ้านหลังเล็ก อาจจะเป็นเพราะงานที่เขาทำไม่ต้องเดินทางออกนอกบ้านด้วยซ้ำหากไม่จำเป็น และชเยศก็เบื่อหน่ายเหลือเกินกับการใช้ชิวิตอยู่ในเมืองหลวงและบ้านหลังใหญ่ร่วมกับครอบครัว แม้ความจริงแล้วจะมีเหตุผลหลักที่นอกเหนือจากนั้นก็เถอะ แต่กว่าเขาจะมาอยู่ที่นี่ได้น่ะใช่ว่าง่ายดายเสียเมื่อไหร่ นั่นเพราะชายหนุ่มที่ไม่ได้สมบูรณ์พร้อมเหมือนใครๆ ในด้านของการสื่อสาร และแม้ปีนี้เขาจะอายุยี่สิบหกแล้วก็ตาม...แต่ยังไงที่บ้านก็ยังเป็นห่วงอยู่ดี

มือกว้างวางกรอบสี่เหลี่ยมที่มีกระดาษสีฉายเป็นภาพครอบครัวของเขาลงบนโต๊ะเล็กข้างฟูกนอน ระบายลมหายใจพลางยกกลีบปากคลี่ยิ้มจางๆ ที่ดูแล้วไม่ได้มีความสุขเท่าไรนัก ปลายนิ้วโป้งเกลี่ยกระจกกั้นกระดาษที่บุคคลหนึ่งอยู่เช่นนั้นซ้ำๆ กระทั่งปลายสายตาที่มองเห็นว่าบานประตูห้องแง้มเปิดออกนั่นแหละ ที่ทำให้เขาผละจากกรอบรูปตรงหน้าแล้วหันไปมองคนที่เปิดประตูเพียงแค่เยี่ยมหน้าเข้ามาส่องเขา

“ตื่นแล้วหรือเชน?”คำถามนั้นเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน แต่ชเยศกลับขมวดคิ้วด้วยเห็นรูปปากที่ขยับนั้นไม่ชัดเท่าที่ควร เพราะอย่างนั้นแล้วชายหนุ่มจึงหยัดกายขึ้นยืน เปิดม่านผืนหนาให้แสงยามเช้าสาดทอเข้ามาภายในห้องและหันกลับไปหาลูกพี่ลูกน้องของตัวเองอีกครั้ง

“เมื่อกี้พี่ว่าอะไรนะ?”“พี่ถามว่าตื่นแล้วหรือเชน?”ชายหนุ่มส่งเสียงอย่างเข้าใจ พยักหน้ารับแล้วตอบกลับไปพร้อมรอยยิ้มบาง “ตื่นสักพักแล้วล่ะ กำลังจัดห้องอยู่เลย”

“ให้พี่ช่วยอะไรไหม?”“ไม่เป็นไรหรอกครับ ขอบคุณมากนะ”

ชเยศเก่งในเรื่องของการพูดออกเสียงและอ่านปากคู่สนทนามากพอสมควร อาจจะเป็นเพราะเขาไม่ได้พิการแต่กำเนิด และหากจะถามถึงระยะเวลาที่เกิดการเปลี่ยนแปลงกับร่างกายของตัวเองแล้วล่ะก็...นับๆ ดูแล้วปีนี้ก็คงเข้าปีที่หกแล้วกระมัง เพราะฉะนั้นแล้วแม้ชเยศจะไม่ได้ยินสิ่งใด แต่เขาก็ใช้ความเคยชินในการพูดสื่อสารเมื่อครั้งในอดีต กับพยายามอ่านปากของคู่สนทนาอย่างตั้งอกตั้งใจเพื่อการสื่อสาร“นี่เชน แน่ใจหรือที่ย้ายมาอยู่นี่น่ะ”

หญิงสาวหน้าตาละม้ายคล้ายชเยศไม่น้อยถามขึ้นขณะที่นั่งลงเพื่อช่วยเหลือด้วยการหยิบเครื่องใช้ออกจากกล่อง ดวงตาคู่คมที่เคยจับจ้องเมื่อครู่ก็พลันเสมองไปทางอื่นราวกับไม่ได้รับรู้ถึงคำถามนั้น นั่นเองที่ทำให้คนที่เคยยิ้มอย่างอ่อนโยนแยกเขี้ยวในทันที เธอฟาดมือตีเข้าที่แขนแข็งแรงของน้องชาย ดึงแก้มสากๆ ไม่น่าสัมผัสสักนิดสำหรับเธอจนคนโดนกระทำอ้าปากค้าง บีบบังคับให้ทั้งดวงหน้าและนัยน์ตาคู่คมหันกลับมามองแล้วขมวดคิ้วใส่

“อย่าทำเหมือนไม่รู้เรื่องที่ฉันถามแกนะชเยศ!”“...เมื่อกี้พี่ยังพูดกับผมดีๆ อยู่เลยนะ”“ก็เพราะแกที่ทำเป็นไม่สนใจฉันน่ะสิ!” เธอตอบกลับอย่างเหนื่อยใจ ดึงแก้มของน้องชายแล้วพาลไปดึงที่ใบหูจนใบหน้าคมคายเอี้ยวตามอย่างเจ็บปวด “ตอบฉันนะ คิดดีแล้วรึไงที่ย้ายมาที่นี่”

“ปล่อยก่อน ปล่อย”ชญาภา หทัยพงศ์ปล่อยน้องชายที่มีเชื้อสายเดียวกันให้เป็นอิสระในที่สุด ก่อนชเยศจะเสสายตาไปทางอื่นคล้ายหลบหลีกที่จะตอบคำถาม จนมือเรียวขาวนั่นตีเข้าที่แขนของเขาอีกหนึ่งหนนั่นแหละ ชายหนุ่มถึงได้ถอนหายใจแล้วตอบคำถามด้วยกระแสเสียงที่แม้เจ้าตัวจะไม่ได้ยินเสียง แต่เขาก็มั่นใจว่ามันคงอู้อี้จนแทบไม่เป็นคำ

“ผมแน่ใจที่สุดแล้ว...นี่ลูกพี่ลูกน้องหรือแม่กันแน่ โอย...เลิกทำร้ายผมสักทีเถอะ!”“นายนี่มัน...”ชญาภาเหนื่อยใจกับเจ้าของหน้าคมคายคนนี้จนกลายเป็นมันเขี้ยวอยากจะทำร้ายอีกรอบ แต่สิ่งที่เธอทำก็เพียงแค่ผลักศีรษะของคนที่มีศักดิ์เป็นน้องชายในเครือญาติแล้วลุกขึ้นยืน ชเยศเงยหน้าขึ้นมองตามเพราะคิดว่าอาจจะมีคำพูดอะไรหลุดออกมาอีก และเขาก็จับใจความได้เพียงว่า ‘ทำกับข้าวไว้ให้แล้ว’ ก่อนเธอจะเดินออกไปแล้วปิดประตูให้สนิทเรียบร้อย

ชเยศคลายยิ้มกว้างขึ้นอย่างอารมณ์ดี ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้จะไม่ได้ติดต่อคุยกันกับพี่สาวคนนี้เท่าไหร่นัก แต่ก็ยังดีที่เมื่อตัดสินใจย้ายมาอยู่ที่นี่แล้ว...ความอึดอัดที่เคยเกรงอยู่บ้างว่าจะเกิดขึ้นก็กลับไม่มี


ทว่าเพราะคำถามของชญาภาที่ยังคงติดค้างอยู่กับสายตาของเขา รอยยิ้มที่เคยคลี่กว้างก็กลับเจือจางลงจนกลายเป็นเรียบเฉยในตอนที่ดวงตาคู่คมเหลียวมองไปยังกรอบรูปอีกหน แม้ทุกสรรพสิ่งจะอยู่ในความเงียบงัน กระนั้นก็ยังมีกระแสสายตาของเขาที่จับจ้องอย่างเศร้าหมอง ชายหนุ่มปิดเปลือกตาชั่ววินาทีสั้นๆ พลางกลืนน้ำลายลงคอ เปิดเปลือกตาอีกครั้งแล้วยกยิ้มให้กำลังใจตัวเองก่อนจะเริ่มจัดของเข้าห้องหลังจากนั้น

*

“พี่รู้จักคนแถวนี้บ้างรึเปล่า?”

ระหว่างมื้อเที่ยง จู่ๆ ชเยศก็เอ่ยขึ้นขณะจับจ้องดวงหน้าของชญาภาอย่างรอคอยในคำตอบ เธอเลิกคิ้วขึ้นคล้ายงุนงงไม่น้อยกับคำถามนั้น แต่ก็พยักหน้าแล้วเอ่ยขึ้นพร้อมกับตักข้าวเข้าปากหนึ่งคำ “ก็พอรู้จักบ้าง แต่รู้ไม่เยอะหรอก ปกติก็อยู่แต่ในบ้านนี่นา”

“อย่าพูดไปเคี้ยวข้าวไปจะได้ไหม”

เรื่องมากชะมัด! ชญาภาฮึดฮัดในใจพลางกลืนข้าวลงคอจนหมด ก่อนจะพูดอีกหนให้คนที่ขมวดคิ้วหน่อยๆ ได้ส่งเสียงในลำคอเป็นเชิงรับรู้ จากนั้นบทสนทนาของทั้งคู่จึงเงียบลง ชญาภาเองก็สนใจกับรายงานข่าวภาคเที่ยง ส่วนชเยศก็กินข้าวไปพลางอ่านหนังสือพิมพ์ไปพลางเช่นเดียวกัน

อันที่จริงชญาภาค่อนข้างกังวลว่าหากชเยศมาใช้ชีวิตอยู่กับเธอในบ้านหลังเล็กแล้วจะมีสิ่งที่ทำให้น้องชายอึดอัดหรือไม่ เธอเป็นหญิงสาวที่รักในเสียงเพลง หลงใหลในท่วงทำนองที่กลั่นกรองออกมาเป็นดนตรีจนจำเป็นต้องเปิดโทรทัศน์ช่องรายการเพลงหรือไม่ก็เครื่องเสียงทั้งวัน แล้วกับชเยศที่ไม่สามารถรับฟังสิ่งใดได้ทั้งๆ ที่เห็นว่าอยู่ตรงหน้า เธอก็กลัวเหลือเกินว่าสิ่งที่เธอเสพติดจะทำให้น้องชายรู้สึกไม่ดี

แต่ดูเหมือนว่าชเยศจะใช้ชีวิตเหมือนปกติทั่วไป โดยไม่รู้สึกอะไรกับสิ่งที่สูญเสียเลยสักนิด

“ชเยศ” ชญาภาเอ่ยเรียกน้องชายอย่างลืมตัว และเพราะคนที่มัวแต่อ่านหนังสือพิมพ์อย่างไม่รู้เลยสักนิดว่าเธอส่งเสียง เพราะอย่างนั้นแล้วจึงต้องเอื้อมมือไปแตะให้เงยหน้าขึ้นแล้วพูดสิ่งที่ต้องการ “ยังไม่มีงานใหม่เข้ามาหรือ?”

“อืม ยังครับ เพิ่งย้ายมาอยู่นี่ก็เลยยังไม่รับงานเพิ่มน่ะ อยากให้เข้าที่เข้าทางก่อน”

ชเยศตอบคำถามด้วยรอยยิ้มเล็กๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ของเขา พับหนังสือพิมพ์จนเรียบร้อยแล้วก็หยัดกายขึ้นยืน เอ่ยบอกเพียงว่าจะออกไปเดินเล่นแถวบ้านนิดหน่อยแล้วจะกลับเข้ามาอีกครั้ง ให้ชญาภาเพียงพยักหน้ารับแล้วโบกมือไล่โดยไม่เอ่ยรั้ง

ดวงตาคู่คมเหลียวมองไปนอกบ้านก็ให้ได้เห็นว่าแสงแดดยามเที่ยงของวันนี้แรงไม่น้อย เช่นนั้นแล้วเขาจึงกลับเข้าห้องไปหยิบหมวกมาสวม เดินผ่านห้องนั่งเล่นที่มีพี่สาวกำลังให้ความสนใจกับมิวสิควิดีโอที่น่าจะเป็นเพลงใหม่ สวมรองเท้าแตะสีเทาที่นุ่มสบายเท้า ก้าวเดินออกจากบ้านแล้วเลี้ยวไปทางขวาเพื่อเริ่มปฏิบัติการเดินเล่นของเขานั่นล่ะ

*

“แม่ครับ?”

เสียงทุ้มดังขึ้นขณะที่ก้าวออกมาจากห้อง ทว่าความเงียบงันกลับเป็นสิ่งตอบรับให้ชายหนุ่มย่นคิ้วเข้าหากันน้อยๆ กระนั้นเขาก็ยังก้าวเดินออกมาด้านนอก ยกยิ้มบางเมื่อเสียงหอบแฮ่กของสุนัขคู่ใจดังขึ้น ก่อนจะตามด้วยขนนุ่มๆ ของมันที่คลอเคลียอยู่กับช่วงขาของเขา

มนัส วรโชติค่อยๆ ย่อกายลงแล้วนั่งติดพื้นในที่สุด มือเรียวขาวลูบไปตามโครงหน้าของเจ้าลัคกี้ที่ส่งเสียงงิ้งๆ ในลำคอตามประสาสุนัขขี้อ้อนเอาใจ ให้เจ้าของอย่างเขาได้บีบจมูกมันเสียหนึ่งหนด้วยความมันเขี้ยว หัวเราะอย่างชอบใจเมื่อลิ้นของมันแลบเลียที่แก้มของเขา ก่อนจะได้ส่งเสียงดุเบาๆ เมื่อลิ้นสากนั่นไม่ยอมหยุดจนแก้มเขาแทบเปียก พลางพาตัวลุกขึ้นยืนแล้วเดินเลียบติดชิดผนังบ้านด้านซ้ายไปด้วยความเคยชิน

กลิ่นหอมอ่อนๆ กับพื้นกระเบื้องที่ชื้นแฉะทำให้มนัสรู้ว่าผู้เป็นแม่ของตนคงออกไปข้างนอกแล้วเป็นแน่ แต่ถึงอย่างนั้นกลีบปากที่ยกแต้มเป็นรอยยิ้มก็ยังไม่จางเจือลดเลือน ยามเมื่อมือปัดโดนก๊อกเหนืออ่างล้างหน้าและเปิดให้สายน้ำพวยพุ่งออกมาจากปากก๊อก ความเย็นของมันที่สัมผัสกับสองอุ้งมือก็ทำให้คนที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องอย่างเขารู้สึกดีไม่น้อย มนัสกวักน้ำที่รองเต็มสองอุ้งมือขึ้นประพรมล้างหน้า แล้วจึงเริ่มต้นทำกิจวัตรประจำวันอย่างที่เคยทำในทุกวัน

“ลัคกี้...”

ทันทีที่ชายหนุ่มเปิดประตูออกมาจากห้องน้ำ สุนัขคู่ใจที่นั่งหลังตรงอยู่หน้าประตูก็ยกขาหน้าข้างซ้ายขึ้นแล้วใช้เท้าสะกิดขาของเขา รู้หน้าที่ดีว่าเจ้าของของมันคงต้องการจะออกจากบ้านเพื่อเดินทางไปที่ไหนสักแห่ง มนัสย่อกายลงแล้วลูบหัวของมันทั้งรอยยิ้ม หยัดยืนขึ้นอีกหนก่อนจะก้าวเท้าเลียบชิดผนังแล้วหยุดลงที่เสาบ้านต้นหนึ่งซึ่งมีสายจูงสุนัขคล้องอยู่

“ไปบ้านฟ้ากันนะ เอาคุกกี้ไปให้ฟ้ากัน!”

ลัคกี้เห่ารับคำบอกนั้นเสียหนึ่งหน หางของมันสะบัดไปมาพร้อมๆ กับที่ก้าวเท้าสี่เท้าไปตามเส้นทางที่มนัสเดิน ชายหนุ่มเดินอย่างระวังระวังจนกระทั่งถึงห้องครัวของบ้าน มือเรียวปัดป่ายหากล่องคุกกี้ที่อยู่บนชั้นวางอุปกรณ์เครื่องครัว ได้ยกยิ้มเมื่อมือแตะโดนและหยิบมันมาไว้กับมือ จากนั้นจึงเดินออกจากห้องครัวและก้าวเท้าออกจากบ้านไปตามแรงจูงของสุนัขคู่ใจ