ตอนที่ 10

“รถมาเสียอะไรตอนนี้กันว้า...”

เด็กหนุ่มบ่นอย่างเสียอารมณ์ยามเมื่อก้าวลงจากรถบัสของกลุ่มนักท่องเที่ยว เสียงจอแจที่บ่นทำนองเดียวกันก็ดังเรื่อยระหว่างการก้าวเดินออกจากบริเวณรถ นัยน์ตาคู่คมกวาดมองหาร่มไม้ ก่อนจะชักชวนให้พี่ชายของเขาก้าวเดินไปหลบแดดร้อนแรงของช่วงบ่ายด้วยกันด้วยใบหน้าบูดบึ้ง

“เดี๋ยวเขาก็ซ่อมได้ ยิ้มดิวะ นี่มาเที่ยวนะไม่ได้มาขึ้นเขียง”

ชนัต หทัยพงศ์ว่าขึ้นอย่างนั้นพลางส่ายหน้าไปมา เขายื่นพัดให้น้องชายก่อนจะจับสาบเสื้อกระพือพัดให้ลมร้อนๆ โอบไล้ผิวของเขา นัยน์ตาที่คล้ายจะคมเข้มกว่าน้องชายมองไปรอบๆ บริเวณ นักท่องเที่ยวเฉพาะรถบัสคันนี้มีเพียงประมาณสิบกว่าคนเท่านั้น เป็นรอบรถที่ตกค้างจากนักท่องเที่ยวอีกสามคันรถบัสที่เหลือ

ชนัตถอนลมหายใจ หันไปหาน้องชายแล้วหรี่เรียวตามองเมื่อเห็นท่าทีลุกลี้ลุกลน

“เป็นอะไรเชน”

“เหมือนจะลืมกระเป๋าตังไว้บนรถ”

ชเยศตอบกลับด้วยกระแสเสียงไม่สบายใจเท่าไรนัก ทั้งๆ ที่เพิ่งหย่อนกายลงนั่งบนพื้นใต้ต้นไม้ใหญ่เมื่อครู่นี้ ทว่าสิ่งที่ลืมไว้ก็ทำให้เด็กหนุ่มผุดลุกขึ้นยืนในทันที สองเท้ากำลังจะก้าวพ้นจากร่มไม้เพื่อตรงไปยังรถบัสที่จอดนิ่ง หากมือกว้างของชนัตกลับรั้งไว้แล้วพยักพเยิดหน้าเบาๆ

“ไปนั่งที่เดิมไป เดี๋ยวฉันไปเอาให้”

ชเยศคล้ายครุ่นคิดครู่เดียวเท่านั้นก่อนยกยิ้มขอบคุณ “มันอยู่ในกระเป๋าเป้นะ ใบสีเขียวน่ะ”

“อ้อ โอเค”

ชนัตยกยิ้มที่มุมปาก หันมองน้องชายที่ส่งสายตามองเขาอย่างคาดหวังก่อนจะยกมือแล้วหันหลังวิ่งเหยาะๆ จากไป ทิ้งไว้ให้ชเยศยืนนิ่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ทอดสายตามองตามการเคลื่อนไหวของพี่ชายไม่ผละจาก จังหวะหนึ่งชเยศมองเห็นว่าช่างที่เพิ่งเดินทางมาถึงเดินออกห่างจากตัวรถ ใครบางคนยกโทรศัพท์ขึ้นแนบใบหู เพราะอย่างนั้นจึงทำให้เขาคาดคะเนเอาเองว่าคงอีกนานกว่าที่รถบัสจะซ่อมเสร็จแน่ๆ

ชเยศหันมาให้ความสนใจกับพี่ชายอีกครั้ง

“จะเห็นไหมล่ะนั่น”

เด็กหนุ่มพึมพำแผ่วเบา เห็นร่างของพี่ชายผ่านกระจกใสของหน้าต่างรถบัสก็เฝ้ามองอยู่อย่างนั้น ดูเหมือนว่าชนัตจะมองหากระเป๋าเป้ใบเขียวที่เขาบอกผิดตำแหน่ง ท่าทีก้มๆ เงยๆ ของพี่ชายทำให้ชเยศส่ายศีรษะแล้วก้าวเท้าเดินหมายจะขึ้นไปหาด้วยตัวเอง แต่ชนัตก็กลับยืดตัวขึ้นเต็มความสูงเสียก่อนพร้อมทั้งหันมองออกมานอกกระจกหน้าต่างรถ

สองสายตาสบประสาน พี่ชายยกกระเป๋าสตางค์ใบโปรดที่เต็มแน่นไปด้วยรูปภาพของความทรงจำในครอบครัวที่แสนจะหวงแหนให้น้องชายได้มองเห็น

แน่นอนว่าชนัตได้รับรอยยิ้มยินดีจากชเยศ ก่อนจะได้พยักหน้าหงึกหงักเมื่อน้องชายกวักแขนโบกมือเรียกให้เขารีบลงมาจากรถเสียที และทั้งๆ ที่เด็กหนุ่มเข้าใกล้รถจนเกือบจะถึงทางขึ้นแล้ว แต่เขาก็ไม่ได้คิดรอพี่ชายที่กำลังจะก้าวเดินลงมาเลยแม้แต่น้อย ด้วยความร้อนจากไอแดดทำให้เด็กหนุ่มสาวเท้าออกวิ่ง

วิ่ง...โดยที่ไม่ได้หันหลังกลับไปมองพี่ชาย

เพราะอย่างนั้นแล้วเสี้ยววินาทีหนึ่งที่ชเยศออกห่างจากรถได้เพียงครึ่งทางกับต้นไม้ใหญ่ที่ร่มรื่น เสียงตูมใหญ่ก็ดังขึ้นพร้อมกับร่างของเขาที่กระเด็นตามแรงอัดเสียเต็มรัก

เด็กหนุ่มกระเด็นถลาตัวเบียดไปกับพื้นถนน รับรู้ถึงอาการแสบร้อนที่ทั้งช่วงแขนและขา แต่สิ่งที่มากไปยิ่งกว่านั้น ก็คือหูของเขาที่แทบไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว ชเยศได้ยินเพียงเสียงหวีดหวืออยู่ในโสตการรับรู้ ย่นคิ้วพลางพยุงร่างขึ้นนั่งแล้วเหลียวมองรอบๆ ด้วยความงุนงงสงสัย

ก่อนจะค่อยๆ เบือนหน้าเหลียวสายตามองไปตามทิศที่ผู้คนอีกกลุ่มหนึ่งยืนมองด้วยสีหน้าตระหนกตกใจและหวาดกลัว...สายตาของทุกคนมองไปที่ด้านหลังของเขา

ลมหายใจของชเยศแทบขาดห้วง ริมฝีปากแห้งผากไร้สาเหตุ มือที่ถลอกจากการเบียดถลากับพื้นถนนสั่นอย่างเห็นได้ชัด และดวงตาคู่คมก็เบิกกว้างและระริกไหววูบในทันทีที่มองเห็นภาพเบื้องหลังชัดเจน ราวกับมีบางสิ่งทุ่มร่างเขาให้ติดแน่นกับพื้นร้อน ราวกับทุกสิ่งหยุดการขยับเคลื่อนไหวทั้งที่ผู้คนยังคงวิ่งถอยห่างจากบริเวณนั้น ชเยศได้แต่อ้าปากค้างมองภาพที่มองเห็นนิ่ง...จนกระทั่งมีใครบางคนเดินเข้ามาหาเพื่อสำรวจบาดแผลของเขา เมื่อนั้นสติจึงกลับเข้าตัว

“ไม่...ไม่....ช้าง....ช้าง!!”

เด็กหนุ่มไม่รู้ว่าตัวเองพูดอะไร ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งที่ได้เห็นเป็นความจริงหรือเพียงฝัน ภาพของรถบัสที่มีเพลิงไฟลุกไหม้จากส่วนที่นั่งคนขับ ไอร้อนแผดเผาทุกคนที่แม้จะยืนห่างมากเพียงใดให้รู้สึกถึง ทว่ากลับเป็นชเยศเพียงคนเดียวที่พยายามกระเสือกกระสนกายจะลุกขึ้นยืน หมายจะวิ่งพุ่งเข้าใส่เพลิงไฟนั้นด้วยสติที่ลดทอนขาดไป

“ปล่อยผม ช้าง เห็นพี่ช้างไหม? พี่ช้าง!!”

ชเยศสบถอีกหลายคำเมื่อมีใครหลายคนวิ่งเข้ามาแล้วรั้งตัวเขาไว้ จากนั้นไม่กี่วินาที คนทั้งหมดก็สะดุ้งกายคล้ายได้ยินฟังเสียงอันดังสนั่นที่เขาไม่ได้ยิน เขาเห็นเพียงเพลิงไฟที่ลุกโหมโชติช่วง ห่อหุ้มปกคลุมเผาไหม้ทั้งคันรถอย่างเกรี้ยวกราดกระพือแรง เด็กหนุ่มได้แต่ส่ายหน้าไปมา พยายามอย่างยิ่งที่จะให้หลุดพ้นจากการดึงรั้งของใครหลายคน ทว่าเรี่ยวแรงจากการบาดเจ็บและสติที่ขาดหายก็ทำให้ร่างกายไร้พลัง สุดท้ายชเยศจึงได้แต่ค่อยๆ ทิ้งกายลงนั่งกับพื้น เสียงหวีดหวือยังคงดังอื้ออยู่ในหู

และไม่ทราบว่าเมื่อไร...ที่ภาพของเพลิงไฟเบื้องหน้าค่อยๆ เลือนจางมัวแสง จนกระทั่งกลายเป็นมืดมิดในที่สุด

ลมหายใจหอบหนักทั้งๆ ที่ยังอยู่ในห้วงฝัน แม้จะลืมตาตื่นขึ้นและหยัดกายขึ้นนั่งในตอนนี้ ชเยศก็ยังรู้สึกได้ถึงหัวใจที่เต้นแรง

ชายหนุ่มพยายามประคับประคองความรู้สึกไม่ให้จมลึกไปกับอดีตที่กลายเป็นฝันร้ายตามหลอกหลอน มือเย็นเฉียบชื้นเหงื่อสั่นเล็กๆ ในตอนที่เขาพยายามจับมันแล้วบีบเบาๆ เพื่อให้ตัวเองผ่อนคลาย ชเยศแลบลิ้นเลียกลีบปาก กลืนน้ำลายลงคอแม้จะยากลำบากก็ตามที ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วถอนยาว ทำเช่นนั้นซ้ำๆ จนอาการวิตกและหวาดกลัวเลือนหายไปในที่สุด

แสงไฟจากด้านนอกที่กระทบลงกับผืนม่านทำให้ชายหนุ่มรับรู้ว่าเขาสะดุ้งตื่นขึ้นในเวลาที่ไม่สมควรเท่าไรนัก ถึงอย่างนั้นก็ไม่สามารถที่จะล้มตัวลงนอนกับผืนฟูกได้อีกครั้ง ดังนั้นแล้วจึงลุกขึ้นแล้วเดินออกมาด้านนอก หมุนสวิตซ์ไฟให้ทั้งห้องกลางมีเพียงแสงสีส้มสลัวก่อนจะเดินเข้าไปในห้องน้ำ กวักน้ำเย็นเฉียบปะทะหน้าตนเองซ้ำๆ แล้วจึงเดินออกมา

เพิ่งจะตีสี่กว่าๆ เอง...ชเยศพ่นลมหายใจแล้ววกกลับเข้าห้อง หยิบซองบุหรี่กับไฟแช็กที่เก็บไว้ในลิ้นชักเล็กๆ หยิบพวงกุญแจบ้านไว้กับมือแล้วเดินออกมารับลมเย็นยามใกล้ฟ้าสาง

บุหรี่หนึ่งมวนคีบอยู่ที่กลีบปาก ชายหนุ่มจุดมันแล้วพ่นควันสีขาวขณะเปิดประตูรั้วเพื่อออกมายังด้านนอก ร้างผู้คนสัญจรในเวลานี้ ซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งที่เขาปรารถนาเป็นอย่างยิ่ง ชเยศเพียงต้องการความว่างเปล่าของสิ่งมีชีวิตใดๆ ระหว่างทางที่เขาเดิน

เพียงแค่อยากปลดปล่อยฝันร้ายให้ลอยจากไปพร้อมกับสายลมเย็น...แม้จะได้เพียงไม่กี่ชั่วโมง แต่มันก็คงดีกว่ากักเก็บเอาไว้ในใจเช่นนั้น ก่อนจะถึงราตรีกาลครั้งใหม่อีกหน

ชเยศก้าวเท้าไปเรื่อยๆ อย่างไม่เร่งรีบ ค่อยเป็นค่อยไปทั้งทางความรู้สึกและการเคลื่อนที่ ก่อนจะได้ก้าวเดินให้ช้าลงยิ่งกว่าเก่าเมื่อมองเห็นเงาวูบไหวจากหน้าบ้านของใครบางคน ชายหนุ่มหยุดเดินอึดใจหนึ่ง ทอดสายตามองเงามืดดำนั้นก่อนค่อยๆ คลายริมฝีปากเป็นรอยยิ้มเจือจาง

เดินเข้าไปใกล้ ใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะยกแขนขึ้นพาดวางบนกำแพงบ้านแล้วส่งเสียงออกไป...ที่เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเบาหรือดัง

“ตื่นเช้าจังเลยนะครับคุณนัท”

เจ้าของชื่อสะดุ้งสุดตัวก่อนหันขวับมาทางต้นเสียง ชเยศเห็นใบหน้าที่ตระหนกตกใจจากแสงไฟริมทางที่กระทบจางบนใบหน้าเรียวมน ริมฝีปากอิ่มล่างถูกขบไว้ด้วยฟันขาว มนัสอยู่ในชุดนอนลายทาง หยัดกายขึ้นยืนแล้วก้าวเท้าออกห่างจากเจ้าลัคกี้ที่นอนหงายท้องรับสัมผัสจากเรียวนิ้วของเขา

“คุณ...อยู่ตรงไหน”

มนัสถามว่าอย่างนั้น และชเยศก็ต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมากที่จะอ่านปากของอีกคน แต่เมื่อเขาอ่านปากไม่ออกเพราะบริเวณที่อีกฝ่ายหยุดยืนนั้นมืดจนเกินไป ชายหนุ่มจึงบอกกล่าวเพียงว่าอ่านปากไม่รู้เรื่อง ให้มนัสได้พรูลมหายใจแล้วก้าวเท้าออกมามากขึ้น

“พูดอีกสิครับ อะไรก็ได้ ผมจะเดินไปหา...อา...อ่านปากผมไม่ออกสินะ”

ชเยศเห็นว่ามนัสขยับปาก แต่เขาก็ยังคงอ่านไม่ออกอยู่ดีนั่นแหละ ชายหนุ่มส่งเสียงครางแผ่วในลำคอก่อนนิ่งไป เฝ้ามองคนที่มีปัญหาทางดวงตาซึ่งกำลังพยายามก้าวเดินไปยังทิศทางที่เขาน่าจะอยู่

คราแรกชเยศเกือบหัวเราะด้วยความเอ็นดูที่ชายหนุ่มเดินไปอีกทาง ก่อนจะได้ยกบุหรี่ขึ้นสูบพลางทอดสายตามองอยู่เช่นนั้นโดยไม่ปริปากเอ่ยคำใด ดูเหมือนว่ามนัสกำลังจับทิศของกลิ่นเย็นซ่านชวนแสบจมูก จากอีกทางที่เดินผิดไป จึงค่อยหันมาอีกทางแล้วค่อยๆ ก้าวเดินอย่างระมัดระวัง

มือเรียวแตะลงที่ประตูรั้ว ไล่เรื่อยมาจนถึงกำแพงอิฐ และหยุดลง...เมื่อปลายนิ้วของเขาแตะลงที่แขนของชเยศ

“เก่งมากครับคุณนัท”

คำชมนั้นทำให้เจ้าของใบหน้าเรียวมนส่ายหน้าเชื่องช้า ไม่ใคร่จะยินดีเท่าไรนักที่ได้รับคำชมนั้น แม้จะรู้ก็ตามทีว่าชเยศเอ่ยจากใจจริง มนัสไม่ได้พูดอะไรหลังจากนั้น เขาเพียงแต่ยกมือขึ้นวางลงบนขอบกำแพงอย่างเงียบเชียบ เช่นเดียวกับชเยศที่แม้จะถอยห่างออกไปเล็กน้อยเพราะสูบบุหรี่ หากนัยน์ตาคู่คมก็ยังคงจับจ้องใบหน้านั้นไม่คละคลาด

เป็นช่วงเวลาหนึ่งที่มีเพียงความเงียบงันและมืดมิด เป็นระยะเวลาที่มีเพียงสายลมโชยเอื่อยและอากาศเย็นสบายยามใกล้ฟ้าสาง เป็นการเดินทางของเวลาที่ไม่ช้าไม่เร็ว...หากก็ทำให้คนที่เงียบเฉยทั้งสองคนสบายใจ

แต่ที่สุดแล้วชเยศก็ดับบุหรี่ด้วยรองเท้าของเขาที่เหยียบมันบิดบี้จนไฟมอด ก้มตัวลงหยิบซากของมันแล้วก้าวเร็วๆ ไปทิ้งลงในถังขยะที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านของมนัส ก่อนจะเดินกลับมาอีกครั้ง แล้วเอ่ยชักชวนให้อีกฝ่ายเอียงศีรษะ

“ออกมาเดินเล่นด้วยกันไหมครับ”

“ตอนนี้น่ะหรือครับ?” มนัสถามขึ้นอย่างไม่วางใจนัก เขาเผลอแตะมือหมายจะลูบไล้หน้าปัดนาฬิกาสำหรับผู้พิการทางสายตาที่เขามักสวมอยู่เป็นประจำ หากก็ลืมนึกไปว่าเวลาเข้านอนเขาไม่เคยใส่มัน ตอนนี้ก็เช่นกัน

ดูเหมือนอีกคนจะรับรู้ถึงการกระทำนั้น ชเยศเองก็ไม่ได้พกโทรศัพท์ติดตัวมา แต่จากการกะเวลาตั้งแต่เขาออกจากบ้านเมื่อครู่น่าจะไม่นานเท่าไหร่นัก “น่าจะตีสีครึ่งโดยประมาณนะครับ”

“คุณกำลังชวนผมเดินเล่นตอนตีสี่ครึ่ง...โดยประมาณ”

เรียวคิ้วเข้มขมวดเข้าหากันอย่างยุ่งยากใจ ก่อนริมฝีปากจะเริ่มคลี่คลายเป็นรอยยิ้มจางๆ คล้ายขบขัน นั่นเองที่ทำให้คนที่จับจ้องคลี่ยิ้มไม่ต่างกัน ชเยศเพียงแต่ส่งเสียงบอกเจตนารมณ์ของตัวเองอย่างชัดเจน ให้อีกคนนิ่งคิดอีกครู่หนึ่งแล้วพยักหน้ารับ

เขาหมุนตัวเดินกลับไปยังบริเวณทางเข้าบ้าน แตะมือหาต้นไม้ที่กระถางใบเล็กแล้วหยิบกุญแจที่วางอยู่ในนั้น จากนั้นจึงสวมรองเท้าแล้วเดินกลับมาที่ประตูบ้านอีกหน ชเยศยืนมองชายหนุ่มปลดล็อกกุญแจบ้านด้วยตัวเอง และช่วยผลักบานประตูนิดหน่อยให้มนัสก้าวออกมา

ทันทีที่ประตูรั้วปิดลงและลงล็อกอีกครั้งด้วยการช่วยเหลือของชเยศ มือที่กว้างกว่าก็คว้ามือของมนัสไปจับเอาไว้ ไม่ได้เอ่ยอะไรเพื่อเป็นสัญญาณให้อีกฝ่ายได้ตั้งตัว ชายหนุ่มก็รั้งมือเรียวให้ก้าวเท้าเดินอย่างเอื่อยช้าไปด้วยกัน

น่าแปลกที่แม้มนัสจะไม่ได้หันมาพูดอะไรกับเขา หรือแม้แต่เขาเองที่ไม่ได้เอ่ยอะไรเพื่อกวนอารมณ์คนที่เดินอยู่เคียงข้าง แต่การที่ได้เดินเล่นท่ามกลางความมืดมิดและเงียบงันนี้ก็ทำให้คนทั้งสองคลายยิ้ม ไม่เชิงว่ามีความสุข แต่เขาทั้งสองก็ไม่ได้มีความเศร้า ความเย็นของอากาศโอบไล้หัวใจที่ร้อนผ่าวของชเยศให้จางลง เช่นเดียวกับสัมผัสนุ่มนวลที่กุมประสานกันที่ทำให้ทุกสรรพสิ่งคล้ายพลิ้วไหวเอื่อยช้า

มันเป็นความรู้สึกสบายๆ ที่พัดพาให้หัวใจสงบนิ่งไร้กังวลใด

‘ทำไมคุณถึงไม่บอกผมแต่แรกว่าคุณมีปัญหายังไง’

ความทรงจำเมื่อหลายวันก่อนหวนกลับมาอีกครั้ง มันทำให้ชเยศอดไม่ได้ที่จะเหลียวสายตามองคนข้างกาย การก้าวเดินยังคงเป็นไปอย่างเชื่องช้า หากมนัสกลับไม่มีท่าทีเบื่อหน่ายเลยสักนิด อาจจะเหมือนวันนั้นที่ใบหน้านิ่งเรียบของมนัสไม่ได้บ่งบอกว่าโกรธเกรี้ยว มันทำให้ชายหนุ่มผ่อนคลายและไร้ความวิตกที่จะตอบคำถาม

แต่ถึงอย่างนั้นชเยศกลับไม่ได้เอ่ยสิ่งใดไปมากกว่าการอยากช่วยเหลืออีกฝ่ายจากใจจริง เขาไม่ได้ต้องการให้มนัสต้องมารับรู้สิ่งที่เขาเป็นและพลอยเป็นกังวลไปด้วย มนัสนิ่งไปนานอีกเกือบนาทีให้หัวใจของเขาวูบดิ่ง แต่ที่สุดแล้วชายหนุ่มก็พยักหน้ารับ แล้วเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าที่คล้ายจะอ่อนโยนมากกว่าเคย

‘ผมพอจะเข้าใจคุณแล้วล่ะครับว่าทำไมคุณถึงอยากช่วยผมมากขนาดนี้’

ชเยศไม่รู้หรอกว่าคำว่าเข้าใจของมนัสมีความหมายว่าอะไร แต่เขาก็รู้สึกได้ว่ามนัสเปิดใจให้เขามากขึ้น จากที่มักจะมีสีหน้าเบื่อหน่ายยามเมื่อชายหนุ่มแวะเวียนไปหาที่ร้านกาแฟ ก็กลับกลายเป็นริมฝีปากที่คลี่ยิ้มอย่างเต็มใจ ไม่มีการพร่ำบ่นเหมือนอย่างเคย หรือแม้จะมีการปฏิเสธบ้าง...ก็เป็นเพราะเขาที่ปรารถนาจะช่วยเหลือมากจนเกินไป

“ไม่ได้ยินเสียงอะไร...แบบนั้นก็อาจจะดีเหมือนกันนะครับ”

มนัสเอ่ยขึ้นหลังจากกระตุกมือให้ชเยศหันมามองแล้วตอบรับ ซึ่งชายหนุ่มก็ได้แต่ระบายลมหายใจแล้วตอบกลับไป “ไม่รู้สิครับ ก็อาจจะดี”

“ถ้ามันไม่ดี คุณคงไม่อยากอยู่แค่ในความเงียบอย่างนี้หรอก...ใช่ไหม”

ชายหนุ่มที่ตัวสูงกว่าคนข้างกายเล็กน้อยกลืนน้ำลายลงคอ เป็นครั้งแรกที่เขานึกขอบคุณที่มนัสมองไม่เห็น ชเยศไม่รู้ว่าตัวเองแสดงสีหน้าออกไปแบบไหน แต่จากกลีบปากที่แห้งผากกับหัวใจที่คล้ายจะหนักหน่วงกะทันหัน ก็ทำให้รู้ว่าเขาคงจะมีสีหน้าที่กังวลค่อนไปทางหวั่นกลัวไม่น้อยเลยทีเดียว

มนัสนิ่งไปอีกเล็กน้อยเมื่อชเยศไม่ตอบอะไร สุดท้ายเขาก็กระตุกมือชเยศแล้วเริ่มก้าวเท้าอีกครั้ง ถึงอย่างนั้นก็ยังรู้สึกได้ว่าอีกคนบิดกายหันมามองเขาตลอดเวลาในการก้าวเดิน ชายหนุ่มคลี่ยิ้ม ก้มหน้าลงต่ำนิดหน่อยแล้วเอ่ยขึ้น

“อย่างน้อยคุณก็ยังมองเห็น”

“อย่างน้อยคุณก็ยังได้ยิน”

คำสวนนั้นไม่ได้กวนใจให้มนัสหงุดหงิด มันกลับทำให้มือเรียวยิ่งกระชับมือกว้างมากยิ่งขึ้น ราวกับปรารถนาจะส่งความรู้สึกหนึ่งให้คนที่ไม่ได้ยินได้รับรู้ อันที่จริงพอมนัสได้รู้ความจริงเกี่ยวกับชเยศ ใช่ว่าเขาจะนิ่งเฉย ระหว่างที่อยู่กับชญาภากันสองคนก็ไถ่ถามเพิ่มเติมบ้าง แต่สิ่งที่ได้รับรู้ไม่ใช่ทั้งหมดที่จะรู้ได้

มนัสรู้เพียงว่าความจริงแล้วชเยศมีโอกาสที่จะได้ยินเสียงอีกครั้งผ่านการใช้หูฟัง ทว่าเจ้าตัวกลับไม่ยินยอม

บางที...ชเยศอาจมีเหตุผลมากพอที่ปฏิเสธส่วนเติมเต็มนั้น เช่นเดียวกับเขา...

“ถ้าคุณมีโอกาส ทำไมคุณไม่คว้ามันไว้ล่ะครับ คุณมีโอกาสที่จะรับมันมาเติมเต็ม อะไร...ที่ทำให้คุณปัดมันทิ้ง”

การก้าวเดินของชเยศหยุดลงแต่เพียงเท่านั้น มนัสไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายกำลังมองเขาอยู่ใช่หรือไม่ แต่มือกว้างที่บีบมือเขาเต็มแรงแต่ก็รีบผ่อนคลายในวินาทีถัดมานั้นราวกับไม่รู้ตัว ชเยศรั้งมืออีกฝ่ายให้เข้าหา ระบายลมหายใจแล้วเอ่ยขึ้น

“กลับกันเถอะครับ ฟ้าใกล้สว่างแล้ว คุณน่าจะนอนอีกสักหน่อย”

“เชน...”

“ผมขอโทษ...แต่เราไม่คุยเรื่องนี้กันอีกได้ไหม ถือว่าผมขอร้องคุณแล้วกัน”

น้ำเสียงแปร่งแปลกเต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์คุกรุ่นที่ทำให้มนัสสัมผัสได้ เช่นนั้นแล้วเขาจึงได้แต่พยักหน้ารับทั้งที่เม้มปาก หมุนตัวกลับไปทางเดิมแล้วปล่อยให้ชเยศได้เป็นฝ่ายจับจูงพาเขาก้าวเดินไป...ด้วยจังหวะที่เร็วขึ้นมากกว่าเมื่อครู่อยู่หลายส่วน

มนัสได้แต่เดินตามความเร็วนั้นโดยไม่ปริปาก หากเขาก็ไม่ได้นึกเสียใจเลยสักนิดที่เอ่ยถามออกไป เพราะเขาเชื่อแน่ว่าบางคำที่อยู่ในถ้อยความนั้นจะทำให้ชเยศคิดอะไรขึ้นมาได้บ้าง

ไม่มาก ก็น้อย

To be continued