บทที่ 11

มนัสได้ยินเสียงชญาภาถอนหายใจมาหลายรอบแล้ว

อาจจะเป็นเพราะตั้งแต่ช่วงบ่ายที่ชายหนุ่มได้ยินเพื่อนบ้านคุยโทรศัพท์กับใครสักคนเกี่ยวกับชเยศ ฟังเสียงก็ให้รู้ว่าดูจะเหน็ดเหนื่อยและทุกข์ร้อนมากยิ่งขึ้น ระหว่างนั้นเขาไม่ได้พูดอะไร เช่นเดียวกับชญาภาที่คุยโทรศัพท์ไปเรื่อยๆ โดยไม่ได้ปิดบังอะไรเขาเลยแม้แต่น้อย แต่การที่ชญาภาถอนหายใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างนี้ก็ทำให้เขาอดสงสัยไม่ได้ สิ่งที่สงสัยไม่ใช่ทางครอบครัวของชเยศที่ปรารถนาให้ลูกชายกลับมาได้ยินอีกครั้ง แต่เป็นชเยศเองต่างหากที่มีอะไรติดอยู่ในใจมากถึงขนาดไม่ยอมเพียงแค่สวมหูฟังให้ตัวเองได้ยิน

มนัสขยับตัวเล็กน้อย เอื้อมมือแตะลงที่แขนของชญาภาแล้วถามขึ้น

“คุณเชนอยู่แถวนี้รึเปล่า”

“เปล่า ไม่ได้อยู่”

พอพูดชื่อชเยศ ชญาภาก็พ่นลมหายใจอีกรอบ ได้ยินเสียงเธอครางแผ่วแล้วขยับตัวซึ่งมนัสคิดว่าคงจะเอนพิงกับพนักโซฟากระมัง ชายหนุ่มเม้มเรียวปากเล็กน้อย ครุ่นคิดอีกประเดี๋ยวหนึ่งก่อนเอ่ยถาม

“ฉันถามได้รึเปล่า”

“เรื่องอะไร”

“มีเหตุผลอะไรที่ทำให้คุณเชนไม่ต้องการที่จะได้ยินเสียง”

เขาไม่เคยคิดที่จะก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของคนอื่น แต่บางทีพอได้รับรู้มากเข้าก็อยากจะทำความเข้าใจ เขาไม่อยากมองชเยศในแง่ร้าย เพราะความจริงแล้วชเยศสำหรับเขาน่ะ...ถ้าไม่นับเรื่องน่ารำคาญที่ชอบช่วยเหลือเขามากจนเกินไป ชเยศก็เป็นผู้ชายที่ร่าเริงพอจะทำให้เขายิ้มได้แทบตลอดเวลา

อุปนิสัยที่มนัสได้รับรู้ขัดกับการต่อต้านรุนแรงของชเยศเกี่ยวกับการรักษา

“นายคงไม่อยากรู้หรอกนัท...”

“ทำไม?”

ชญาภาเคลื่อนไหวร่างกาย ก่อนมือเรียวของมนัสจะสัมผัสถึงไออุ่นจากมือเรียวผอมของเพื่อนบ้าน หญิงสาวจับมือเขาไว้แล้วบีบเบาๆ และโดยไม่ต้องเอ่ยคำใดหลังจากนั้น ชายหนุ่มก็คล้ายจะเข้าใจอะไรได้มากขึ้นกว่าที่เคย ใบหน้าเรียวมนส่ายไปมาเชื่องช้า รู้สึกได้ถึงหัวใจที่เต้นไหวรุนแรงจากในอก กระนั้นเขาก็ยังกัดฟัน เอ่ยออกไปอีกหนึ่งประโยคให้ชญาภาได้พรั่งพรูลมหายใจอีกรอบ

“บอกฉันเถอะ มันคงไม่ใช่เรื่องที่ยากเกินกว่าจะรับไหว...ฉันแข็งแกร่งพอน่ะฟ้า”

ชญาภาผละตัวห่างออกไปแล้ว แต่ทั้งสองคนก็ยังคงนั่งอยู่บนเบาะโซฟาเดียวกันอย่างเงียบเชียบ ความเงียบนั้นเกาะกินนานพอที่จะทำให้มนัสเข้าใจว่าเขาคงไม่สามารถรับรู้เรื่องของชเยศได้ แต่ที่สุดแล้วชญาภาก็ขยับตัวอีกรอบ ส่งเสียงเบาๆ ในลำคอแล้วเอ่ยขึ้น

“เรื่องของเชนน่ะนัท มัน...”

ประตูห้องเปิดออกก่อนที่ร่างของชายหนุ่มผู้มีปัญหาทางดวงตาจะก้าวเข้าไปด้านใน

สัมผัสถึงกลิ่นอายของเจ้าของห้อง ความเงียบงันแว่วเสียงลมหายใจผ่อนเข้าออกสม่ำเสมอ มนัสค่อยๆ ปิดประตูให้ลงล็อกเบามือที่สุด ก้าวย่างเชื่องช้าแผ่วเบาจนกระทั่งแตะกับผืนฟูก เขาขยับขานิดหน่อยเมื่อปลายนิ้วของคนที่หลับใหลแตะเข้าที่ข้อเท้าของเขา ชายหนุ่มย่อกายลงนั่ง นั่งเงียบๆ อยู่เช่นนั้นโดยไม่คิดปลุกอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย

และเพราะมนัสที่จมอยู่ในความมืดมิดเท่านั้น จึงไม่ได้รู้เลยว่าคนที่เขาคิดว่ายังคงหลับสนิท เปิดเปลือกตาแล้วทอดมองเขาตั้งแต่ที่กำลังหย่อนกายลงนั่งแล้ว

ชเยศยกยิ้มอุ่น ทว่าก็กลับกลายเป็นราบเรียบอีกครั้งเมื่อสังเกตได้ถึงสีหน้าของมนัสที่ค่อนไปทางหม่นหมองมากกว่าจะสดใส ชายหนุ่มขยับตัวเบาๆ ก่อนลุกขึ้นนั่ง ให้คนที่เข้ามาในห้องของเขาได้เม้มเรียวปากเล็กน้อยแล้วส่งเสียง

“ตื่นแล้วหรือเชน”

เขาไม่ได้ยิน และเขาอ่านปากมนัสไม่ออก

ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ชายหนุ่มเป็นประเภทกักตัวอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมให้น้อยแสงมากที่สุด ผ้าม่านผืนหนาบดบังแสงสว่างจากเบื้องนอกไม่ให้กระทบเข้ามามากเกินไป ก่อนนี้มันไม่เคยเป็นอุปสรรคสำหรับเขา แต่หลังๆ มานี้ที่มนัสมักจะได้รับหน้าที่ให้เข้ามาปลุกเขาอยู่เสมอ ชเยศก็เริ่มรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งกีดขวางการมองเห็นของเขาอย่างน่ารำคาญแล้วล่ะ

ชเยศไม่ได้พูดอะไรออกไป และไม่ได้ขยับตัวหนีไปไหนเมื่ออีกฝ่ายเอื้อมมือมาตรงหน้า แตะๆ ปัดๆ ร่างกายของเขาอย่างเงียบเชียบ ก่อนที่มนัสจะผละถอยห่างไปเล็กน้อย หยัดกายขึ้นอีกครั้งแล้วก้าวขึ้นเหยียบฟูกนอน

นั่นเองที่ทำให้ชายหนุ่มครางต่ำในลำคอ มนัสรู้ได้ยังไงว่าเขามองไม่เห็นอ่านปากไม่ออก รู้ได้ถึงขนาดที่ว่าเขาไม่ได้เปิดผ้าม่านเอาไว้ จึงทำหน้าที่เป็นคนเปิดผ้าม่านผูกมัดไว้เสียเอง แสงยามเย็นจากด้านนอกสาดส่องเข้ามาให้ชายหนุ่มหรี่เรียวตาลงเล็กน้อย แต่เขาก็ยังนึกอยากจะแกล้ง...แกล้งทำเป็นไม่สนใจมนัสซะอย่างนั้น

“ถ้าตื่นก็ลุกเถอะครับ นอนตอนเย็นเดี๋ยวก็ไม่สบายเอาพอดี”

ชเยศอ่านปากของมนัสได้ชัดเจนทุกถ้อยคำแล้ว ถึงอย่างนั้นชายหนุ่มก็ยังเงียบไม่ปริปาก ให้เรียวคิ้วเข้มขมวดเข้าหากันด้วยความแปลกใจ ก่อนจะได้ระบายลมหายใจยาวเมื่อได้ยินเสียงขยับเคลื่อนไหว มนัสก้าวเข้าใกล้ชเยศที่ล้มตัวลงไปนอนอีกรอบ ทิ้งตัวลงบนฟูกแล้วไล่มือแตะจนถึงโครงหน้าได้รูปของอีกฝ่ายก็ให้ได้เม้มเรียวปากแน่น

กิริยาไม่สนใจนั่นหมายความว่ายังไงกัน แล้วเนื้อตัวที่สั่นน้อยๆ นี่อีกล่ะ...ชเยศกำลังกลั้นขำอยู่ใช่ไหม?

“คุณชเยศ”

ชายหนุ่มแกล้งอีกคนด้วยการกดใบหน้าแนบลงหมอน ให้กลายเป็นว่ามือของมนัสก็จมลงไปเนื่องจากถูกข้างแก้มของอีกฝ่ายทับเอาไว้ด้วย ชายหนุ่มส่ายศีรษะอย่างเหนื่อยหน่าย บังคับใบหน้าของชเยศให้หันมายังทิศทางของตัวเองแล้วเอ่ยขึ้น

“มองผมเดี๋ยวนี้นะ” ไร้คำตอบรับใด “คุณชเยศ มองผม!”

“โอเคๆ ผมมองคุณอยู่ครับ”

มนัสกัดกลีบปาก ผละมือออกจากโครงหน้าของคนที่เขาไม่มีวันมองเห็นแล้วถดกายถอยห่างไป อาจจะเป็นเพราะใบหน้าที่ไร้สีสันใดของความรู้สึกนั่นกระมังที่ทำให้ชเยศแลบลิ้นเลียกลีบปากพลางจับจ้องใบหน้าอย่างค้นหา ลุกขึ้นนั่งมองคนที่ขยับถอยห่างออกไปเรื่อยๆ ด้วยความไม่เข้าใจนัก

“คุณชเยศ” ริมฝีปากสีเรื่อขยับเป็นคำเรียก “ฟังอะไรผมหน่อยได้รึเปล่าครับ”

ถึงจะไม่ได้ยินเสียง แต่ชเยศก็พอจะเดาได้ว่าอีกคนจริงจังมากแค่ไหน เพราะอย่างนั้นแล้วชายหนุ่มจึงหยัดกายขึ้นยืน ก้าวเข้าไปหาสามก้าวแล้วหยุดนิ่งอยู่ตรงหน้า “ครับ”

มนัสสูดลมหายใจเข้าลึก เผยอกลีบปากสีเรื่อค้างอยู่เช่นนั้นหลายวินาที อาการที่ชเยศก็ไม่แน่ใจนักว่าคือประหม่าหรือไม่มั่นใจนั่นทำให้เขาเอื้อมมือไปกุมมืออีกฝ่ายไว้ ถึงค่อยรู้ว่ามือเรียวเย็นมากเพียงใด มันเย็น...จนชายหนุ่มอยากจะยกขึ้นลูบปลอบประโลมให้ผ่อนคลาย

ทว่าถ้อยความที่มนัสขยับให้เขาได้อ่านออกนั่น...

“ผมอยากขอ...ให้คุณใส่หูฟัง”

ก็ทำให้เขาปล่อยมือเย็นเฉียบนั้นแทบจะในทันที

นัยน์ตาคู่คมจ้องมองคนตรงหน้าอย่างเงียบงัน ไร้ปฏิกิริยาใดให้คนที่มองไม่เห็นได้รับรู้ และชเยศเองก็มองเห็นว่ามนัสคล้ายจะฝืนตัวเองเอ่ยมากเพียงใด จากการที่กลืนน้ำลายลงคอหลังพูดจบ หรือริมฝีปากที่เผยอค้างและขยับคล้ายจะพูดหากก็ไม่ นิ่งงันเงียบเชียบอยู่เช่นนั้นอีกเกือบนาที ชเยศจึงค่อยส่ายหน้าไปมาปฏิเสธคำขอนั้น...ทั้งที่รู้ดีว่ามนัสไม่มีวันมองเห็น

“เชน?”

“ผม...ไม่” เสียงที่แม้จะแปร่งแปลกหากก็แฝงแววขี้เล่นไม่มีอีกแล้ว มนัสสัมผัสได้เพียงกระแสเสียงเคร่งขรึมเย็นชา ติดแฝงไว้ด้วยความไม่มั่นใจที่ทำให้มันสั่นพร่าเล็กน้อย “ผมเคยบอกคุณแล้วว่าเราจะไม่คุยกันเรื่องนี้อีก”

“แต่ผมต้องพูด เชน...คุณไม่อยากได้ยินเสียงแล้วจริงๆ น่ะหรือ?”

“ไม่”

“คุณจะหนีความเป็นจริงไปอีกนานแค่ไหน คุณจะซ่อนมันไว้...ทำเป็นไม่สนใจได้อีกนานเท่าไหร่ เชน ผมอยากให้คุณทบทวน การหนีไม่มีอะไรดี ไม่มีเลย...”

ทุกถ้อยพยางค์มนัสขยับเอ่ยอย่างเชื่องช้า แต่เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าชเยศเมินหน้าหนีไม่ยอมอ่านปากก็ตั้งแต่คำว่าหนีความจริงนั่นแล้ว เพราะอย่างนั้นการตอบรับหลังเอ่ยจบจึงเต็มไปด้วยความว่างเปล่าเงียบงัน และมันนานพอที่จะทำให้มนัสรู้สึกผิดสังเกต ความเป็นกังวลก่อเกิดขึ้นในทันทีหลังจากนั้น มือเย็นเฉียบยกขึ้นเพื่อพยายามแตะโครงหน้าของอีกฝ่าย หากมือกว้างกลับปัดมือเขาให้ออกพ้นอย่างไม่ใยดี กิริยาเช่นนั้นทำให้ชายหนุ่มเม้มเรียวปากแน่น

ถ้าชเยศดื้อด้านนัก เขาก็จะบังคับ...บังคับให้ชเยศอ่านปากของเขาให้ได้

อีกครั้งที่ชเยศปัดมือเขาออกพร้อมทั้งก้าวถอยห่างหนี แต่มนัสก็ก้าวตามไปแล้วประคองโครงหน้าได้รูปให้หันมองตรงมาที่เขาในที่สุด ชายหนุ่มส่ายหน้า เขาไม่รู้เลยว่าชเยศกำลังโกรธหรือผิดหวังในตัวเขาหรือไม่ หากแต่ชายหนุ่มก็ได้เพียงแค่คิด...ว่าถ้าเขาไม่พูดในวันนี้ เขาก็จะกลายเป็นเพียงคนๆ หนึ่งที่ไม่สามารถช่วยอะไรคนที่ช่วยเหลือเขามาตลอดได้เลย

“ฟังผม อ่านปากของผม ชเยศ”

“อย่าบังคับผมอย่างนี้...”

“ผมรู้ว่าคุณเจออะไรมา แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องหนีตลอดไป...อย่าหลับตาอย่างนั้น ผมขอร้อง มองผมสิเชน”

ปลายนิ้วที่แตะลงยังปลายหางตาทำให้รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังหลบหลีกเขาอีกหนทาง หากเมื่อกรุ่นไอที่อุ่นขึ้นจากเมื่อครู่ก็ทำให้ชเยศลืมตาขึ้นอีกครั้ง เขานิ่งงัน ไม่ตอบรับ ไม่ถอยหนี ไม่มีปฏิกิริยาใดให้คนที่มีปัญหาทางดวงตาได้รับรู้ แต่มนัสก็ยังมั่นใจว่าในตอนนี้ดวงตาของอีกคนกำลังจับจ้องมองเขาอยู่ ดังนั้นแล้วริมฝีปากอิ่มสีเรื่อจึงคลี่คลายเป็นรอยยิ้มเจือจาง สีหน้าแสดงความอาทรอย่างที่ทำให้ชเยศปวดหนึบที่หัวใจ

“คุณไม่อยากได้ยินหรือ...เสียงของพ่อแม่คุณ เสียงของฟ้า เสียงเพลง เสียงลัคกี้ที่ชอบครางเวลาเห็นคุณเข้าใกล้มัน หรือว่าเสียงของผม...ที่คุณคอยดูแลมาตลอด”

ชเยศกลืนน้ำลายลงคอ อยากจะหันหน้าหนีให้พ้นจากความปรารถนาลึกที่ราวกับว่ามนัสรับรู้ได้ถึงก้นบึ้งของหัวใจของเขา ใช่...ชเยศอยากได้ยินทุกอย่าง เขาปรารถนาที่จะรับรู้ทุกเรื่องราวผ่านการได้ยินเหมือนที่เคยเป็นมา อดีตที่ทำให้เขาทั้งทุกข์และสุข ทุกสรรพเสียงที่สร้างให้เขาเกิดประสาทรับรู้ขึ้นอีกอย่างหนึ่ง

คงไม่มีใครรู้ว่าเขาทรมานมากแค่ไหนที่ทำได้เพียงอ่านปากของคู่สนทนา

และคงไม่มีใครรู้...ว่าสิ่งที่ทำให้เขาทรมานมาจนถึงทุกวันนี้...ก็คือความกลัว

เขากำลังกลัว...

“แค่คุณสวมหูฟังนั่น เชื่อผมสิเชน แค่สวมมัน...”

“ไม่” ชเยศส่ายหน้า ตอบกลับไปโดยที่ไม่รู้เลยสักนิดว่าเสียงแข็งมากแค่ไหน “ผมไม่มีวันใส่มัน ไม่มีวัน”

“คุณจะจมปลักอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ น่ะหรือ...เชน ผมเข้าใจคุณนะ”

ชเยศกระตุกยิ้ม จับมือทั้งสองข้างของมนัสให้ออกห่างจากใบหน้าของตัวเองแล้วเดินผ่านด้วยความรวดเร็วไปยังประตู ให้อีกฝ่ายที่รับรู้ถึงการเคลื่อนไหวได้รีบหมุนกายหมายจะเอื้อมมือดึงไว้ ทว่าชเยศที่ได้เปรียบมากกว่ากลับหุนหันออกจากห้องไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“ฟ้า ฟ้า หยุดเชนไว้ที”

สังหรณ์บางสิ่งทำให้มนัสตะโกนบอกชญาภาที่อยู่ข้างนอกเอาไว้ และคนที่นั่งรอคอยอย่างใจเย็นก็รีบคว้าหมับเข้าที่แขนของน้องชายในทันทีที่เกือบจะเดินสวนไป ใบหน้าเรียวสวยส่ายไปมาอย่างติเตียนให้ชเยศหยุดอยู่กับที่ แต่เรียวตาคู่คมแข็งกร้าวกลับเสมองไปทางอีกคนที่เดินออกมาจากห้องของเขาด้วยใบหน้าหวั่นวิตก

“เชน เลิกหนีสักที”

“อย่าเอาคำว่าเข้าใจมาใช้กับผม ต่อให้ผมกับคุณจะพิการเหมือนกัน แต่คุณไม่มีวันเข้าใจสิ่งที่ผมเจอมา คุณไม่มีวันรู้ว่าสิ่งที่ทำให้ผมฝันร้ายทุกวันมันมีผลกับผมมากแค่ไหน ผม-จะ-ไม่-มี-วัน-ใส่-มัน”

มนัสกัดกลีบปากล่างตนเองพลางก้าวเดินอย่างเชื่องช้า ยังคงได้ยินเพียงความเงียบงันให้รู้ว่าชเยศไม่ได้ไปไหน ทั้งลมหายใจที่ผ่อนระบายหนักหน่วงเสียงดังนั่นก็ทำให้รู้ว่าอีกฝ่ายคงกำลังอยู่ในสภาวะอารมณ์ไม่คงที่ แต่เขาก็ยังเดินเข้าไปหา ใกล้มากขึ้น มากขึ้น...พร้อมกับรอยยิ้มที่คลี่คลาย ยิ้มแบบนั้น...ที่คล้ายจะเย้ยหยันมากกว่าปลอบโยน

ยิ่งประโยคที่เอ่ยออกมาด้วยแล้ว...

“คุณมันก็แค่คนขี้ขลาด”

ชญาภารับรู้ได้ในทันทีถึงการเกร็งกล้ามเนื้อแขนของน้องชาย ใบหน้าของชเยศไม่มีเค้าความขี้เล่นอ่อนโยนหลงเหลือเลยแม้เพียงนิด ชายหนุ่มแค่นหัวเราะ สะบัดแขนให้หลุดพ้นจากการเกาะกุมของพี่สาวพลางกัดฟันแน่น คำครหานั้นไม่ได้เกินจริงเลยสักนิดเดียว แต่ทว่ามันก็คล้ายจะเป็นหอกที่ทิ่มแทงลงสู่ก้นบึ้งของความรู้สึกอีกครั้ง

มันไม่ใช่ไม้แข็งที่จะสมานแผลใจ แต่ในเวลานี้กลับเป็นอาวุธร้ายที่ทำให้ชเยศอ่อนแอมากกว่าเดิม

อ่อนแอและขาดสติ

“งั้นก็ให้รู้ไว้ ว่าคนขี้ขลาดอย่างผมนี่แหละ ที่มันช่วยประคองไม่ให้คุณล้มมากี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว”

“อ๊ะเชน!”

ชญาภาอุทานด้วยความตกใจ เมื่อจู่ๆ ชเยศก็หมุนตัวก้าวเร็วออกจากบ้านไปในทันทีที่เอ่ยจบ เสียงประตูรั้วที่กระทบดังทำให้รู้ถึงแรงอารมณ์ที่เจ้าตัวส่งผ่าน นั่นทำให้มนัสได้แต่สูดลมหายใจเข้าลึก ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นไม่ขยับเขยื้อน

ชายหนุ่มได้แต่ก้มหน้าลงต่ำ ครุ่นคิดทบทวนถึงสิ่งที่ตัวเองเอ่ย ที่ชเยศโต้ตอบ และปฏิกิริยาหลังจากนั้นที่ทำให้หัวใจของชายหนุ่มหล่นวูบ เสียงหัวเราะค่อยๆ ดังขึ้นทีละน้อย จากแผ่วเบาก็กลายเป็นดังพอที่จะให้ชญาภาได้ยิน หากเมื่อเสียงหัวเราะนั้นยังดังเรื่อย...ชญาภาจึงมั่นใจ ว่าในกระแสเสียงหัวเราะนั้น...มีคลื่นความสั่นไหวให้ได้รู้สึกถึง

ไม่ต่างอะไรจากใบหน้าเรียวมนซึ่งมักจะมีรอยยิ้มตลอดเวลา...ที่ราวกับจะร้องไห้ก็ไม่เชิง

To be continued