บทที่ 15

กลิ่นบรรยากาศของกระแสลมที่พัดผ่านคนทั้งสอง ทำให้กลีบปากอิ่มสีเรื่อขยับยิ้มราบเรื่อย บางสิ่งที่แปลกไปจากวันวาน แม้จะทำให้เขาติดขัดไปบ้าง...หากความอบอุ่นที่กำลังโอบคลุมอยู่นั้น ก็ทำให้อุ่นใจ

ปกติแล้วหากมนัสจะพาลัคกี้ออกมาเดิน หรือไม่ว่าชายหนุ่มจะเดินไปตามที่แห่งหนไหน มือข้างขวาของเขาจะกุมกระชับสายเชือกที่ใช้จูงเจ้าลัคกี้เอาไว้แน่น หากแต่ในวันนี้สายจูงนั้นกลับอยู่ที่มือของใครอีกคน เช่นเดียวกับมือขวาของเขาที่มีมือกว้างกุมกระชับกันเสียแทน

ในหัวใจของมนัสบอกว่าเขามีความสุขดี แต่อีกส่วนหนึ่งของใจ...ชายหนุ่มก็กลับรู้สึกได้ถึงความอึดอัดอย่างที่นานครั้งจะเป็น

หากมันไม่ใช่เพราะสัมผัสอ่อนโยน ไม่ใช่เพราะไออุ่นที่ชเยศมอบให้ แต่เป็นเพราะบางสิ่งที่ติดรากฝังลึกอยู่ในใจนั่นต่างหาก ที่ทำให้กลีบปากยกยิ้มของเขาเริ่มคลายลง เจือจาง บางเบา จนกระทั่งกลายเป็นใบหน้าที่เรียบนิ่งในที่สุด

“ระวังนะครับ ข้างหน้ามีหลุม” ชเยศเอ่ยเตือนเขาด้วยกระแสเสียงของความหวังดี แต่จู่ๆ ก็กลับผละมือที่กุมกันห่างไป แล้วขยับเคลื่อนโอบเอวแตะลงที่สีข้าง เรียกรั้งให้เรือนกายของมนัสขยับใกล้ชิดกัน “ผมว่าอย่างนี้น่าจะดีกว่า”

มนัสส่ายหน้า ไม่รู้ว่าควรจะยิ้มให้หรือจะทำหน้าดุดี “แค่จับมือไว้ก็พอแล้วครับ ทำถึงขนาดนี้...เกรงว่าตัวเองจะเหมือนคนพิการโดยสมบูรณ์”

น้ำเสียงนั้นติดเรียบเย็นอยู่บ้าง ให้ชเยศได้หัวเราะเบาๆ แล้วยิ่งรั้งร่างนั้นให้แนบชิดกับเขา เพราะอย่างนั้นแล้วการเดินจึงเป็นไปด้วยจังหวะไม่คงที่ ทั้งตะกุกตะกักเพราะคนที่มีปัญหาทางดวงตาไม่ยินยอม และเป็นเขาเองที่ทั้งขำทั้งอยากจะเอาชนะอีกคนเสียให้ได้ แต่ถึงอย่างนั้นแล้วสุดท้ายชเยศก็ยอมแพ้ เขาปล่อยให้มนัสเป็นอิสระ โดยไม่ลืมที่จะเคลื่อนมือจับมือของอีกฝ่ายเอาไว้

ก่อนนี้เพียงกระชับมือไม่ให้หลุดห่าง หากคราวนี้กลับสอดเรียวนิ้วประสานรวม...กระชับแน่นไม่ห่างกัน

ไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าทำไมต้องทำแบบนี้ เขารู้เพียงว่าเขาอยากทำ เขาก็จะทำ

ชเยศก็เป็นคนอย่างนี้เอง

“เราอยู่ตรงไหนกันแล้วครับ?”

“ใกล้ถึงสนามเด็กเล่นแล้วครับ...นี่ผมเพิ่งรู้นะว่าใกล้หมู่บ้านเรามีอะไรแบบนี้ด้วย”

ชเยศตอบกลับไปก่อนจะพึมพำให้อีกคนได้ยิน มนัสเองก็ได้แต่คลายยิ้มบางขณะเดินไปตามการชักจูงของชเยศ อันที่จริงเขาก็แทบจะลืมเลือนไปแล้วด้วยเหมือนกันว่ามีสนามเด็กเล่นเล็กๆ อย่างนี้ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองอธิบายทิศทางให้ชเยศเข้าใจได้หรือไม่ แต่พออีกฝ่ายบอกว่าอย่างนี้ก็ทำให้เบาใจ

“นั่งตรงไหนดี”

“มีอะไรบ้าง ผมลืมไปหมดแล้ว”

ชายหนุ่มส่งเสียงลากยาวในลำคอ หันมองจากทางซ้าย ค่อยๆ ไล่ไปทางขวาพลางบอกกล่าวอีกคน “มีม้านั่งไม้ อืม...ชิงช้า แล้วก็มีศาลาเล็กๆ ครับ แต่ศาลานี่อย่าไปดีกว่า เด็กนั่งเล่นระบายสีกันอยู่”

มนัสพยักหน้ารับรู้ ระบายรอยยิ้มบนดวงหน้าพลางเอ่ยบอก “งั้นนั่งชิงช้ากันครับ”

ชายหนุ่มที่มีอายุน้อยกว่าตอบรับอย่างว่าง่าย พามนัสก้าวเดินเหยียบย่ำลงบนผืนทรายละเอียดแล้วหยุดลงที่ชิงช้า เขาส่งมือของมนัสที่กุมกระชับกันให้ยกขึ้นจับกับโซ่เหล็กที่ใช้ยึดตัวแท่นนั่ง ยืนมองจนกระทั่งมนัสหย่อนกายลงนั่งดีแล้วจึงค่อยก้าวเท้าไปทิ้งกายลงที่ชิงช้าตัวข้างๆ กัน

“เป็นเด็กดี อย่าไปเที่ยวไหนไกลล่ะลัคกี้”

มันเห่ารับเจ้านายหนึ่งหน สะบัดหางไปมาอย่างอารมณ์ดีเมื่อมือเรียวกำลังยุ่งวุ่นวายที่สายรัดร่างของมัน ชายหนุ่มปลดที่เกี่ยวสายออกเพื่อให้ลัคกี้เป็นอิสระ และทันทีที่เป็นอย่างนั้น เจ้าลัคกี้ก็ซุกไซ้ใบหน้าคลอเคลียกับขาของเขาแล้วค่อยวิ่งห่างออกไปหลังจากนั้น

“อากาศดีนะครับคุณเชน”

“ครับ อากาศดีมาก”

เสียงเจื้อยแจ้วของกลุ่มเด็กดังไม่ไกลนัก แต่ถึงอย่างนั้นมนัสก็ไม่ได้รู้สึกรำคาญใจเลยแม้แต่น้อย ชายหนุ่มโคลงศีรษะเบาๆ ยันเท้าไปกับพื้นเพื่อให้ชิงช้าที่นั่งอยู่เคลื่อนไปข้างหลัง ก่อนยกเท้าขึ้นลอยให้การเคลื่อนที่ของชิงช้าเกิดขึ้น ให้สายลมโชยเอื่อยพัดพากลุ่มผมสั้นให้พลิ้วไหว ให้รู้สึกคล้ายร่างกายกำลังติดปีกโบยบิน และให้ใครอีกคนที่นั่งข้างกันได้เฝ้ามอง

“มองผมนานแล้วนะครับ คุณเชนมีอะไรรึเปล่า?”

ทั้งๆ ที่มองไม่เห็น แต่ทุกครั้งที่ชเยศใช้สายตาจับจ้อง มนัสก็ยังรู้สึกได้ทุกครั้งไป เช่นนั้นแล้วถ้อยความที่ถามออกไปจึงไม่เกินจริงเลยแม้แต่น้อย ยังผลให้คนที่ทอดสายตามองกลีบปากเยื้อนยิ้มหัวเราะแผ่วในลำคอ ระบายลมหายใจยาวแล้วค่อยตอบกลับไป

“ผมแค่คิดว่าคุณทำยังไงถึงได้ดูมีความสุขกับชีวิตมากขนาดนี้”

คำเอ่ยนั้นทำให้มนัสหยุดการเคลื่อนไหวของชิงช้า มือทั้งสองข้างยกขึ้นเกี่ยวกับโซ่เหล็กเอาไว้ ริมฝีปากที่คลายยิ้มสดใสคล้ายจะแปรผันไปโดยสิ้นเชิง ชเยศมองไม่เห็นประกายความสุขเหมือนเมื่อครู่แล้ว หากเขากลับมองเห็นบางสิ่งที่แฝงเร้นอยู่ในรอยยิ้มอ่อนโยนอย่างนั้น

มันคล้ายกับ...หมองเศร้า

“ชีวิตของผมไม่ได้มีความสุขขนาดนั้นหรอกครับ”

มนัสว่าขึ้น พรูลมหายใจแล้วปรับเปลี่ยนรอยยิ้มให้กลับไปสดใสอีกครั้ง รอยยิ้ม...ที่ขัดกับประโยคถ้อยความเหลือเกิน “ชีวิตของผมมีแต่การรอคอยต่างหาก”

รอคอย...อย่างนั้นหรือ?

“คุณหมายความ...”

“พี่ฮะ!”

ไม่ทันที่ชเยศจะได้เอ่ยถามตามสิ่งที่ใคร่สงสัย เสียงกังวานสดใสของเด็กผู้ชายคนหนึ่งก็ดังขึ้นไม่ใกล้ไม่ไกล มนัสนิ่งงันในวินาทีนั้น เขาเอียงศีรษะเล็กน้อยหากก็คลายยิ้มอ่อนโยนยามเมื่อรู้สึกถึงใครบางคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า เขาไม่ได้ตอบรับอะไรกลับไป เช่นเดียวกับเด็กน้อยที่ยืนเงียบๆ เท่านั้น

แต่มันนานพอที่จะทำให้มนัสคิดหาถ้อยความทักทายตอบกลับไป

“ว่ายังไงครับ”

“พี่...มองไม่เห็นเหรอ?”

“เฮ่ๆ ถามอะไรน่ะ”

ชเยศขัดขึ้นในทันที แม้จะไม่ได้ดุให้เด็กน้อยใจหาย แต่มันก็มากพอที่จะทำให้มนัสรู้ว่าอีกฝ่ายคงไม่พอใจอยู่มาก เพราะอย่างนั้นแล้วเขาจึงหัวเราะแล้วโบกมือไปมาคล้ายจะบอกว่าไม่เป็นไร ก่อนวางมือทาบลงบนหน้าตักของตัวเองแล้วตอบกลับ

“ใช่ครับ พี่มองไม่เห็น”

“ว้า แย่จังเลย~” ไร้เดียงสานัก...มนัสได้แต่อมยิ้ม เฝ้าฟังเด็กน้อยพร่ำพูดอยู่อย่างนั้นไม่ขัดให้เคืองกัน “พี่เหมือนแม่ผมเลยฮะ แม่ผมก็มองไม่เห็น ผมเห็นพี่ตั้งแต่กำลังเดินเข้ามาในสนามแล้วล่ะ เนี่ยๆ ตอนแรกผมว่าจะวิ่งมาชวนพวกพี่เตะบอล แต่ผมก็เห็นว่าพี่แปลกๆ เหมือนแม่ผมเลย”

“อย่างนั้นเองเหรอ? ขอโทษด้วยนะครับที่พี่เล่นด้วยไม่ได้”

“แหะ ที่จริงผมก็แอบอายเหมือนกัน เพราะลูกบอลของผมเก่ามากเลยฮะ”

ได้ยินเสียงชเยศระบายลมหายใจแล้วเอ่ยเบาๆ ว่า “ไม่เห็นจะเก่าเลยน่า” ให้เขาได้ยิ่งยกยิ้ม ชายหนุ่มยื่นมือไปตรงหน้า หงายฝ่ามือขึ้นแล้วเอ่ยถาม “ขอพี่ลองจับลูกบอลหน่อยได้รึเปล่าครับ?”

เด็กน้อยคล้ายนิ่งไปหลายวินาที ก่อนสุดท้ายจะตอบรับเบาๆ แล้ววางลูกฟุตบอลลงบนมือของเขา มนัสขยับเรียวนิ้วไล่แตะสัมผัสทีละส่วนอย่างใจเย็น รู้สึกใจหายขึ้นมากะทันหันจนได้แต่ฝืนยิ้มไว้ดังเดิม นั่นเพราะสภาพผิวลูกฟุตบอลนั่นน่ะก็บ่งบอกได้เป็นอย่างดีแล้วว่ามันเก่าแค่ไหน บางจุดยังสัมผัสได้ถึงผิวภายในอีกด้วยสิ

“ไม่เห็นเก่าเลย~ พี่ก็มีลูกบอลแบบนี้เหมือนกัน น่าจะเก่ากว่าของเราด้วยนะ”

คำพูดอย่างนั้นเหมือนเรียกความมั่นใจให้เด็กน้อย แว่วเสียงหัวเราะแผ่วจะดังขึ้นให้ได้ยิน เช่นนั้นแล้วมนัสจึงยกมือขึ้น กวาดไล่เบาๆ ไปตามอากาศจนกระทั่งแตะลงที่ศีรษะของเด็กชายตัวน้อย เขาลูบกลุ่มผมนั้นด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน แล้วจึงค่อยบอกให้เด็กน้อยไปเล่นบอลกับเพื่อนได้ตามสบาย

ความรู้สึกที่ว่ามีใครอยู่ตรงหน้าหายไปแล้ว นั่นหมายความว่าเด็กน้อยได้วิ่งหายไป ตอนนั้นเองที่มนัสค่อยระบายลมหายใจยาว นิ่งไปคล้ายนึกถ้อยคำ แล้วจึงขยับปากเปล่งเสียงให้ชเยศได้หันกลับมามอง

“เด็กคนนั้นน่าสงสารนะครับ”

“แต่เพราะยังเป็นเด็ก ก็เลยยังยิ้มได้อย่างนั้นไงครับ”

ความไร้เดียงสาที่คนซึ่งโตเป็นผู้ใหญ่ไม่มีทางกลับไปสัมผัสได้ แม้จิตใจจะดีมากแค่ไหน แต่ทุกสิ่งที่อยู่รอบกายก็จะทำให้หัวใจแปรไปตามสภาพ การต้องต่อสู้ดิ้นรนในพื้นที่ที่หยัดยืนนั่นก็ด้วย “อยากกลับไปเป็นเด็กจัง เด็กที่ไม่ต้องคิดอะไรเลย แค่เล่นไปวันๆ ก็พอ”

ชเยศมองหน้าคนที่เอ่ยคำนั้นก็ให้ได้เอื้อมมือไปกุมมืออีกฝ่ายเอาไว้ ชายหนุ่มบีบเบาๆ อย่างให้กำลังใจ ก่อนจะปล่อยให้มนัสจมอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเอง

รอคอย...ถ้อยคำนั้นยังคงติดอยู่ในใจของชเยศ ความสงสัยสายหนึ่งสร้างให้บางสิ่งที่เขาไม่คิดจะก้าวก่ายเริ่มก่อตัวขึ้น คำถามที่ว่าทำไมมนัสถึงกลายเป็นคนตาบอด คำถามที่ว่าเพราะอะไรถึงทำให้มนัสยังคงใช้ชีวิตเป็นปกติอย่างนี้ ทุกคำถามที่เขาไม่เคยคิดใส่ใจจะสานต่อ ในตอนนี้กลับกำลังทำให้เขาลังเล

ลังเล...ว่าควรจะถามออกไปดีหรือไม่

“เด็กๆ ไปกันหมดแล้วหรือครับ?”

นานมากพอที่มนัสใช้เวลาอยู่กับความเงียบ จนกระทั่งเสียงเจื้อยแจ้วเลือนหายไป ชายหนุ่มจึงระบายลมหายใจแล้วเอ่ยถามคนที่นั่งอยู่ไม่ใกล้กัน

“ครับ พระอาทิตย์ใกล้ตกแล้ว คงถึงเวลากลับบ้านกันแล้วล่ะ”

“แต่เรายังนั่งตรงนี้ได้อยู่ใช่รึเปล่าครับ”

ไม่บ่อยนักหรอกที่มนัสจะยื้อเวลาเพื่อให้ได้อยู่ด้วยกันอย่างนี้ อันที่จริงการชวนชเยศออกมาเดินเล่นนอกเส้นทางแบบนี้ก็นับเป็นครั้งแรกด้วยซ้ำ ถึงอย่างนั้นชเยศก็ยังตอบกลับไปกลั้วหัวเราะว่าเขาทั้งสองคนสามารถนั่งเล่นตรงนี้ได้จนดึกดื่นเลยล่ะ นั่นจึงทำให้ชายหนุ่มยกยิ้ม เอนกายอิงโซ่เหล็กของชิงช้าแล้วส่งเสียงแผ่วเบา

ก่อนจะเริ่มบทสนทนาใหม่ขึ้นมา ให้เรียวคิ้วของชเยศได้เลิกขึ้นด้วยความแปลกใจ

“อยากรู้อดีตของผมรึเปล่าครับ คุณเชน”

ชายหนุ่มนิ่งงันไปครู่ “รู้ได้ด้วยหรือครับ?”

“ถ้าคุณอยากจะรู้” คนที่มีปัญหาทางดวงตาว่าอย่างนั้นพลางคลายยิ้มบาง “ผมรู้เรื่องของคุณ คุณก็น่าจะรู้เรื่องของผมบ้าง...ถ้าคุณพร้อม”

ถ้าเขาพร้อม...อย่างนั้นหรือ?

“ผมพร้อมรับฟังคุณนะ”

ประโยคนั้นไม่ได้แสร้งต่อกันเลยสักนิด ชเยศเอ่ยจากหัวใจ เขาพร้อมที่จะรับฟังและเก็บเกี่ยวอดีตของมนัสให้ซึมสู่ใจของเขา พร้อมที่จะเรียนรู้และเข้าใจมนัสให้มากยิ่งขึ้น มนัส...ที่เขาไม่เคยรู้หรือมองเห็น

“คุณเชนคิดถึงช้างอยู่รึเปล่าครับ”

หากสิ่งที่ชายหนุ่มเอ่ยออกมากลับไม่ใช่เรื่องราวของตัวเอง เขาถามคำถามนั้นให้ชเยศนิ่งไป นานหลายวินาทีก่อนจะตอบคำถามพร้อมทอดสายตามองไปยังศาลาที่ว่างเปล่าแล้วในตอนนี้ “ครับ คิดถึง คิดถึงมากด้วย”

“ผมก็คิดถึงช้างเหมือนกัน”

นัยน์ตาคู่คมที่ทอดมองศาลาก่อนหน้านี้ กลับเหลียวมองคนข้างกายด้วยไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ทว่ารอยยิ้มบางที่แฝงความหมองเศร้านั้นกลับทำให้หัวใจของชเยศกระตุกวูบ ริมฝีปากเขาเผยอน้อยๆ คล้ายต้องการจะพูดบางสิ่ง แต่สุดท้ายแล้วก็ได้แต่นิ่งงัน จับจ้องใบหน้าแต้มยิ้มอยู่เช่นนั้นอย่างเงียบเชียบ รอเวลาให้มนัสเอ่ยถ้อยความให้กระจ่างขึ้น

“ผมกับช้าง เราเจอกันครั้งแรกน่าจะสัก...สิบสอง เป็นปิดเทอมฤดูร้อนที่ช้างหนีที่บ้านมาหาฟ้า พวกเราก็เลยได้รู้จักแล้วก็เล่นด้วยกันทุกวัน”

กระแสเสียงเบาบาง แผ่วผิวราวกับสายลมลอยเอื่อย ยิ่งปลายประโยคนั้นก็แทบคล้ายเป็นกระซิบ หากบนใบหน้าก็ยังคงประดับยิ้มดังเดิม

“จากวันนั้น ทุกปิดเทอมใหญ่ช้างจะกลับมาที่นี่ มาเจอกับฟ้า มาเจอกับผม เราสามคนเล่นด้วยกันบ่อยๆ ทั้งๆ ที่จริงยังมีเด็กอีกคนนึงที่มากับช้างด้วย แต่ดูเหมือนเด็กคนนั้นจะติดบ้านมากกว่า ไม่ยอมออกมาเล่นด้วยกันเลย

แต่ว่า...พอเราต่างเริ่มโตขึ้น ความสนิทเหมือนเมื่อตอนเด็กๆ ก็เริ่มน้อยลง แต่ยังเหลือความผูกพันไว้ให้คิดถึงกันอยู่บ่อยๆ น่ะครับ หลังๆ พอโตแล้วช้างก็ไม่ค่อยมีเวลาได้มาที่นี่ จะมีก็แต่โทรศัพท์หากันบ้าง ส่งอีเมลให้กันบ้าง แต่ก็ไม่เคยนัดเจอ ไม่เคยมีความคิดที่ว่าจะต้องไปหาหรือเขาจะต้องมาหา ก็แค่คุยกันบ้างให้หายคิดถึงหน่อยๆ พอเริ่มคิดถึงมากๆ ก็ค่อยคุยกันอีกครั้ง เราสองคนน่ะเป็นแบบนั้นแหละ...

กี่ปีแล้วไม่รู้...ที่คิดถึงแต่กลับไม่สามารถคุยกันได้อีกแล้ว

ความคิดถึง...มันทรมานขนาดไหนสำหรับคุณครับ คุณเชน”

ชเยศยังคงเงียบงัน เช่นเดียวกับมนัสที่เงียบไป กระแสลมยามพลบค่ำพัดโชยให้เขารู้สึกสงบใจ แม้สิ่งที่เอ่ยเล่าออกไปจะกำลังบีบคั้นให้หัวใจได้แปรสภาพเป็นความรู้สึกอย่างที่ถามใครอีกคน

เสียงหอบแฮ่กของสุนัขตัวโตดังขึ้นใกล้ๆ ก่อนมือที่วางหงายอยู่บนแขนจะสัมผัสถึงจมูกเปียกๆ กับใบหน้ายาวๆ ที่ไซ้ลงมาหา ลัคกี้กลับมาแล้ว มันมักจะกลับมาทุกครั้งที่เขากำลังรู้สึกอ้างว้าง มันมักจะซุกไซ้หยอกเย้าเขาทุกครั้งที่ยิ้มเศร้า ลัคกี้คอยบำบัดใจเขาได้ดีเสมอ

แต่ถึงอย่างนั้น...

“ความทรมานอย่างนี้น่ะ...บางครั้งก็ทำให้ผม...เกิดความคิดที่อยากจะไปอยู่กับช้างให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย”

“...คุณไม่ควรคิดอย่างนั้น”

ชเยศเอ่ยขึ้น เขายังใช้นัยน์ตาคู่คมจับจ้องใบหน้าที่ตอนนี้หันมาทางเขาแล้ว ชายหนุ่มอยากจะเอื้อมมือไปหา อยากจะลูบใบหน้าและกลุ่มผมหมายปลอบใจ แต่เพราะสิ่งที่ได้รู้และนัยแฝงที่ได้รับก็กลับทำให้เขาตัวแข็ง มันหนักมากพอที่จะทำให้เขาไม่สามารถแม้แต่ยกแขนได้

คิดถึงจนรู้สึกทรมาน...ความสัมพันธ์แบบไหน...ที่จะทำให้รู้สึกแบบนั้นได้

“เพราะผมรู้ว่าช้างต้องไม่อยากให้ผมคิดอย่างนั้นแน่ๆ”

ต้องรู้ใจกันมากขนาดไหน...

“ผมถึงเลือกที่จะมีชีวิตอยู่แทนเขายังไงล่ะครับ”

มีชีวิตอยู่เพื่อทดแทนชีวิตของใครอีกคนที่สูญเสียมลายไป...ความสัมพันธ์แบบไหน...ที่ทำให้เลือกตัดสินใจแบบนั้นได้

ชเยศรู้สึกว่าลำคอของเขาแห้งผากเหลือเกิน...

To be continued