บทที่ 16

ชญาภาเห็นว่าน้องชายของเธอดูเงียบๆ ได้สองวันแล้ว เธอไม่เข้าใจว่าน้องชายของเธอเป็นอะไร และชเยศเองก็ไม่เคยคิดเล่าสิ่งที่เจอมาให้พี่สาวได้รับฟัง

หากแต่ในวันนี้ชายหนุ่มกลับนั่งนิ่งอยู่ที่ตรงหน้า เรียกรั้งให้เธอหันมองและหยุดการปั้นแป้งคุกกี้ลงแต่เพียงเท่านั้น เธอวางก้อนแป้งที่ปั้นเป็นรูปดอกไม้ลงบนถาด เอียงศีรษะขณะจับจ้องสบตากับเรียวตาคู่คมอย่างรอคอย ความเงียบงันโอบล้อม และเป็นชเยศที่หมดความอดทนก่อน เขาดึงถาดคุกกี้มาวางตรงกึ่งกลางคนทั้งสอง เอื้อมหยิบก้อนแป้งแล้วเริ่มลงมือปั้นเป็นรูปทรงกลมแบนแบบธรรมดาๆ เช่นเดียวกับชญาภาที่เริ่มลงมือปั้นแป้งใหม่อีกครั้ง

“ถามอะไรหน่อยได้รึเปล่า” ชเยศเอ่ยขึ้นอย่างนั้นทั้งๆ ที่ยังไม่ละสายตาจากแป้งขาว ให้พี่สาวส่งเสียงรับในลำคอเป็นการอนุญาต “พี่ช้างกับคุณนัท...มีความสัมพันธ์กันแบบไหน”

คำถามนั้นทำให้ชญาภานิ่งไปเพียงเสี้ยวอึดใจ ครุ่นคิดถึงคำถามของน้องชายก่อนจะถามออกไปบ้าง “แล้วรู้มามากขนาดไหนล่ะ”

เท่านั้นความอัดอั้นที่สะสมมาตลอดสองวันก็พรั่งพรูออกมาผ่านการถอนหายใจเฮือกใหญ่ ชายหนุ่มแลบลิ้นเลียกลีบปาก หยุดนิ่งชั่วครู่แล้วจึงขยับมือปั้นแป้งต่อหลังจากนั้น เขาไม่ได้ตอบคำถามของชญาภา ไม่ใช่ว่าเขาไม่มีคำตอบ แต่เพราะคำที่จะเอ่ยออกไปมันกลับเป็นเรื่องที่ยากยิ่งกว่าอะไรสำหรับเขา

กว่าจะพูดออกมาได้...ก็โยนเวลาหลายนาทีให้ความเงียบได้กัดกิน

“รู้แค่ว่าเขาทรมานมากแค่ไหน...กับการที่ไม่มีพี่ช้างอยู่”

ชญาภาคลายยิ้ม เธอหยุดการปั้นแป้งลงทั้งยังดึงถาดให้ออกพ้นจากตรงกลางระหว่างเธอกับน้องชาย ชญาภาพับแขนวางลงที่ขอบโต๊ะ พินิจสีหน้าของน้องชายก็ให้ได้ระบายยิ้มมากยิ่งขึ้น ชเยศเพียงเหลือบสายตาขึ้นมองเธอแวบหนึ่งก่อนจะหลุบต่ำลงมองเรียวนิ้วตนเองต่อ ไม่มีคำใดหลังจากนั้น และชญาภาก็กลั่นแกล้งน้องชายของเธอด้วยการนิ่งเงียบไม่เอ่ยคำ

ทว่านัยน์ตาเรียวสวยกลับแฝงเร้นด้วยประกายบางอย่างที่ทำให้ชเยศอึดอัด

“พี่รู้อะไร?”

“คิดว่ารู้ในสิ่งที่แกไม่รู้น่ะสิเชน”

ชายหนุ่มส่ายหน้า เคาะนิ้วลงกับผิวโต๊ะพลางครุ่นคิดถึงเมื่อวันก่อน มนัสไม่ได้เอ่ยอะไรหลังจากนั้น เขาเห็นเพียงใบหน้าเปื้อนยิ้มที่คล้ายจะสดใสขึ้นหลังจากตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเอง ไม่มีอะไรมากไปกว่าการที่มนัสยินยอมให้เขากุมกระชับมือ ทำหน้าที่เป็นสายตาของเขาเพื่อก้าวเดินไปด้วยกัน

คำถามมากมายเกิดขึ้นในใจ ชเยศไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองรู้สึกเช่นไรในช่วงขณะนั้น เขารู้เพียงว่าบางทีนี่อาจจะเป็นสิ่งที่คอยกระตุ้นเตือนหรือบอกกล่าวให้เขารู้จากข้างใน ว่าไม่ควรรู้เรื่องของมนัสมากจนเกินไป

...เพราะการที่ได้รู้ อาจจะไม่ใช่สิ่งที่ดีต่อหัวใจเท่าไรนัก

หัวใจของชเยศยังคงเต้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอ แต่มันกลับปวดหนึบโดยไม่ทราบสาเหตุ และมันเป็นเช่นนั้นมาตลอดระยะเวลาสองวันที่หวนคิดถึงเหตุการณ์และบทสนทนาที่ได้พูดคุย

“คิดอะไรน่ะ?”

“ไม่รู้สิ มัน...” ชเยศพูดไม่ออก เขาได้แต่ละคำไว้เพียงเท่านั้นแล้วส่ายหน้า ทอดถอนลมหายใจออกมาอีกครั้งให้ชญาภาได้คลายยิ้ม

“เอาเป็นว่าพี่จะบอกเท่าที่พี่บอกได้ก็แล้วกัน” เธอว่าอย่างนั้นให้น้องชายได้นิ่งไป หากก็ยังไม่เงยหน้าขึ้นมาสบตามองกัน “นัทเสียพ่อไปตั้งแต่ยังเด็กด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์น่ะ คงเพราะเห็นพ่อตายต่อหน้าต่อตาด้วยล่ะมั้งก็เลยทำให้เกิดสภาวะช็อก กับพี่เองนัทยังไม่ร่าเริงเลย แต่พอช้างเข้ามา...

ช้างที่เป็นมิตรแบบนั้นน่ะ ทำให้เด็กคนนึงกลับมาร่าเริงแล้วก็มองโลกในแง่ดีได้ เชนคิดว่าจะมีความสำคัญมากพอในการใช้ชีวิตของเด็กคนนั้นรึเปล่าล่ะ?”

นัยน์ตาเรียวคมช้อนขึ้นสบประสานกับพี่สาว แววตาของเขาไม่ได้ระริกไหวอย่างที่ชญาภาคาดไว้ และปฏิกิริยาก็กลับนิ่งเกินกว่าที่เธอคิดว่าจะมองเห็น ชเยศยังคงดูสงบ ยังนิ่งเฉยไม่พูดอะไร ทว่าสายหนึ่งของประกายตากลับวูบไหวแล้วเปลี่ยนมานิ่งดังเดิม

สุดท้ายชายหนุ่มก็เพียงแค่ถอนลมหายใจ เงยหน้าขึ้นมองเพดานที่ว่างเปล่าแล้วค่อยกลับมามองชญาภาอีกครั้ง

“มีอะไรอีกรึเปล่า”

“ไม่ใช่หน้าที่ของฉันที่ต้องเล่าให้แกฟัง ชเยศ แกอยากรู้อะไร คนที่จะตอบคำถามแกได้...ก็มีแค่เจ้าของเรื่องเท่านั้นล่ะ”

ชญาภายักคิ้วให้หนึ่งหน ดึงถาดแป้งมาตรงหน้าแล้วเริ่มลงมือปั้นแป้งอีกครั้ง หากแต่คราวนี้ชเยศไม่คิดจะช่วยอะไรอีกแล้ว เขาหยัดกายขึ้นยืน แวะหยิบแจ็กเก็ตยีนส์จากในห้องนอนก่อนจะออกจากบ้านไป

ทิ้งเอาไว้ให้ชญาภาวางมือจากแป้งที่อยู่ตรงหน้า สายตาของเธอทอดมองออกไปยังประตูรั้วบ้านที่ยังคงมีร่างของน้องชายยืนอยู่ ถึงต่อหน้าชเยศจะทำเหมือนไม่คิดอะไร แต่ตอนนี้เล่า...น้องชายของเธอดูสับสน ไม่รู้หนทางที่จะก้าวเดินเลยด้วยซ้ำ เขาได้แต่หันซ้ายหันขวาแล้วก็ยืนนิ่ง อีกครู่หนึ่งจึงค่อยสะบัดเท้าเตะหินที่พื้นแล้วยกมือขึ้นเสยเส้นผม ให้ชญาภาที่เฝ้ามองได้แต่ถอนหายใจ ก้มหน้าลงอีกครั้งเมื่อน้องชายเดินห่างออกจากบ้านไปไกลแล้ว

เรื่องบางเรื่องแม้เธอจะรู้ดีมากแค่ไหนแต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่เธอจะต้องพูด

หากชเยศอยากรู้อะไร ก็มีแต่มนัสนั่นแหละที่จะเล่าเรื่องราวนั้นได้ดีที่สุด

แม้เรื่องบางเรื่องที่ยังเก็บซ่อนเอาไว้นั้น...จะเป็นเรื่องที่สร้างบาดแผลในใจและให้ทรมานเสมอมาก็ตามที

*

มนัสยืนนิ่งอยู่ที่ตรงนั้น ที่หลังเคาน์เตอร์ซึ่งเป็นที่ประจำยามเมื่อว่างจากงานของตัวเอง ข้างๆ กันคือมุ่นที่คล้ายกำลังอ่านอะไรบางอย่างจากกระดาษที่ถือไว้ในมือ

ชเยศมองภาพของอีกคนจากด้านนอกร้าน นิ่งนานเป็นนาทีกว่าที่จะตัดสินใจผลักบานประตูกระจกก้าวเข้าไป ทันทีที่กระดิ่งประตูส่งเสียงดัง ท่าทีของมนัสก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เช่นเดียวกับมุ่นที่หยุดการอ่านลงแต่เพียงเท่านั้น ชายหนุ่มพับกระดาษเก็บใส่ซองตามเดิม หยัดกายขึ้นยืนแล้วจึงค่อยยกยิ้มส่งให้ชเยศที่ยกมือไหว้เป็นการทักทาย หากแต่กับมนัสแล้วชเยศกลับไม่ได้ทักทายในทันที เขาพินิจใบหน้าเรียวมนที่มีแววกังวลอยู่บ้างอย่างเงียบเชียบ

“คุณเชน”

จนเป็นมนัสที่ต้องทักขึ้นก่อน ให้ชายหนุ่มกดมุมปากเป็นรอยยิ้มเจือจางแล้วตอบกลับ “ครับ ผมเอง”

“ทำไมมาเร็วจังล่ะครับ นี่มันเพิ่งจะ...” ละคำไว้เพียงชั่วครู่ในขณะที่แตะปลายนิ้วลงกับนาฬิกาข้อมือ “บ่ายสามเองนี่ครับ”

แล้วชเยศควรตอบว่ายังไงเล่า? ชายหนุ่มแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินคำถามนั้น ช้อนดวงตาขึ้นมองเมนูที่เขียนเรียงรายเป็นระเบียบบนบอร์ดเมนูแล้วส่งเสียงครางต่ำในลำคอคล้ายครุ่นคิด สุดท้ายก็สั่งเพียงกาแฟหนึ่งแก้ว หันหลังก้าวเดินไปยังโต๊ะประจำของตัวเองแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือที่สั่นครืดขึ้นมาดู

ลมหายใจกรุ่นอุ่นระบายยาวยามเมื่อเห็นชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอ ชายหนุ่มกดตัดสาย วางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะแล้วหันเหความสนใจไปยังบาริสต้าหนุ่มที่กำลังทำหน้าที่ของตนหากคราวนี้มนัสกลับไม่ได้หยุดแค่เพียงชงกาแฟรสชาติติดลิ้นให้ชเยศเท่านั้น เขายังเป็นคนถือถาดที่มีแก้วกาแฟวางอยู่บนนั้นแล้วเดินออกมาจากด้านในเคาน์เตอร์ ค่อยๆ ก้าวเดินอย่างใจเย็นจนกระทั่งถึงโต๊ะที่ชเยศนั่งอยู่

วางถาดลง ยกแก้ววางที่ตรงหน้าเยื้องๆ กับชเยศ แล้วหย่อนกายลงนั่งที่เก้าอี้ตัวข้างกัน

เกิดความเงียบงันหลังจากนั้น มนัสรับรู้ได้เพียงว่าอีกคนยกแก้วกาแฟขึ้นจิบไปบ้างแล้ว หากแต่ทั้งสองคนก็ยังไม่สนทนาอะไรกัน

แต่มันไม่ได้อึดอัดเลยสักนิดเดียว

“มีเรื่องอะไรรึเปล่าครับ”

“ครับ?”

มนัสคลายยิ้ม “ผมคิดว่าผมได้ยินเสียงสั่นจากบนโต๊ะ น่าจะเป็นโทรศัพท์ของคุณ”

เท่านั้นชเยศก็ได้ส่งเสียงอ้อไปนิดหนึ่ง หากเขาไม่ได้ตอบอะไรในทันที ชายหนุ่มยกแก้วกาแฟขึ้นดื่ม วางมันลงบนโต๊ะตามเดิมก่อนจะใช้มือกว้างโอบรอบตัวแก้ว ความร้อนที่ค่อนไปทางอุ่นลงเล็กน้อยทำให้เขารู้สึกเหมือนได้รับพลังงานที่เสริมสร้างให้ความเย็นจากในหัวใจลดลงไปบ้าง และยิ่งเมื่อได้รับกรุ่นไอกายจากคนข้างๆ ที่นั่งนิ่งซึ่งติดจะเอนเอียงมาทางเขานิดหน่อยนั่นแล้ว ก็ทำให้ชเยศยกยิ้มได้ไม่ยากเย็นเลยสักนิด

ทำไมเขาถึงคิดว่าคำถามนั้นแฝงเจือด้วยความห่วงใย เขาน่ะ...คิดไปเองรึเปล่านะ?

“ที่บ้านโทรมาน่ะครับ ผมเลย...ไม่ค่อยอยากรับเท่าไหร่”

มนัสพยักหน้าอย่างเข้าใจ ระบายรอยยิ้มแต้มบนดวงหน้ายามเมื่อรับรู้ถึงอีกคนที่หันมองมา ริมฝีปากอิ่มเอิบเผยออ้าเล็กน้อย แต่แล้วก็เม้มแน่นแล้วผ่อนคลาย สุดท้ายมนัสก็ไม่พูดอะไร ปล่อยให้ชเยศกลับไปดื่มด่ำกับรสของกาแฟตามเดิม

เงียบไปอีกหลายอึดใจมนัสจึงขยับตัวหมายจะลุกขึ้นยืน หากมือกว้างของชเยศก็กลับรั้งข้อมือเขาไว้เสียก่อน

“ยังไม่มีลูกค้าเข้ามาเลย นั่งด้วยกันอีกสักนิดได้รึเปล่าครับ...นัท”

คำเรียกขานอย่างนั้น...ที่คล้ายจะลดทอนระยะห่างระหว่างกันให้น้อยลง

มนัสพยักหน้าให้คำขอนั้น เขานั่งผ่อนคลายตัวเองบนเก้าอี้ข้างชเยศ ก่อนที่จังหวะหนึ่งของหัวใจจะรวนเรแปลกไป เพราะมือกว้างที่จับรั้งข้อมือเขาเมื่อครู่นี้...เคลื่อนลงสอดเรียวนิ้วประสานกัน

“ที่บ้านอยากให้ผมกลับไปอยู่ที่กรุงเทพ โดนตื๊อมาเป็นอาทิตย์แล้วล่ะครับ”

คำบอกกล่าวนั้นดังขึ้นพร้อมกับเรียวนิ้วที่บีบกระชับกันมากยิ่งขึ้น ทำให้ชายหนุ่มรู้ว่าคำตอบของเจ้าของเรื่องน่าจะเป็นอะไร

ชายหนุ่มได้แต่ระบายลมหายใจทั้งที่ยังยกยิ้ม ขยับหงายฝ่ามือขึ้นเพื่อให้ชเยศได้กระชับมือของเขาตามสะดวกกว่าเดิม เกิดคำถามหนึ่งขึ้นในใจ แต่มันเป็นคำถามที่มนัสไม่ทราบว่าควรเอ่ยออกไปดีหรือไม่

แต่สุดท้าย....

“คุณจะกลับไปรึเปล่าครับ”

ก็ถามออกไป...ทั้งๆ ที่ไม่อยากนึกรู้คำตอบเลยสักนิด

และเพราะคำถามนั้นเองที่ทำให้ชเยศหัวเราะเสียงแผ่ว เขาไม่ได้ตอบคำถามมนัสในทันที หากแต่กลับใช้ปลายนิ้วเกลี่ยวนที่เรียวนิ้วของอีกฝ่ายคล้ายตกอยู่ในอาการเหม่อลอย มันนานพอที่จะทำให้คนที่มีปัญหาทางดวงตาเกิดรู้สึกว่าตัวเองคิดผิดที่เอ่ยถาม แต่ก็ยังไม่เอ่ยสิ่งใดออกไป ก็เพียงเพราะไม่อยากดื้อดึงเอาคำตอบจากอีกฝ่ายเท่านั้น

ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เขานึกคิดและห่วงความรู้สึกของชเยศอย่างนี้ ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนน่ะเป็นเขาเองไม่ใช่หรือที่แทบจะไล่อีกฝ่ายให้ออกห่างในทุกรูปแบบแล้ว

“ผมน่ะ...” เสียงทุ้มดังขึ้น ให้หัวใจของมนัสเต้นกระหน่ำอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว “บ้านของผมอยู่กรุงเทพ ครอบครัวของผมอยู่ที่นั่น ทุกความทรงจำของผม...ก็อยู่ที่นั่นด้วยเหมือนกัน”

มนัสครางแผ่วรับรู้ แล้วเขาก็เพิ่งรู้เอาเดี๋ยวนี้เองว่าตัวเองไม่สามารถฝืนยิ้มได้ ในตอนที่ริมฝีปากลดเลือนจากยิ้มอย่างนั้น มือที่ประสานกันก็ยิ่งกุมกระชับแน่นขึ้น ก่อนถ้อยประโยคหนึ่งจะดังตามมา...

“แต่ผมอยากอยู่ตรงนี้มากกว่า...”

ชเยศทิ้งประโยคไว้แต่เพียงเท่านั้น นั่นเพราะโทรศัพท์ที่สั่นครืดอีกครั้งจนเขาคิดว่าตัวเองต้องยอมแพ้ ชายหนุ่มเอ่ยปากบอกมนัสว่าจะออกไปคุยนอกร้าน ก่อนจะปล่อยให้มนัสนั่งอยู่ตรงนี้อีกครู่หนึ่งจึงค่อยลุกกลับไปที่เคาน์เตอร์อีกหน

และเมื่อชเยศไม่ได้อยู่อย่างนั้น...ภวังค์ความคิดจึงเกิดขึ้นอีกหน หวนกลับไปคิดถึงสิ่งที่มุ่นอ่านให้ฟังก่อนหน้านี้ ชายหนุ่มได้แต่ยืนนิ่งอยู่กับที่ นึกขอบคุณเหลือเกินที่ในตอนนี้ไม่มีลูกค้าเข้ามาในร้านเลยสักคนเดียว บางทีหากเขาต้องทำงานทั้งๆ ที่ในใจกำลังสับสน มนัสก็อาจจะสร้างความผิดพลาดขึ้นจนทำให้เกิดความเสียหาย

“นัท”

กระแสเสียงที่ดังขึ้นคล้ายต้องการจะปลุกเขาให้หลุดออกจากภวังค์ หากมนัสกลับยังยึดติดกับสิ่งที่คิด ฝังแน่นในสิ่งที่ได้ยิน ชายหนุ่มระบายลมหายใจยาวแล้วก้มหน้าลง มือเรียวที่มักจะมั่นคงอยู่เสมอยามเมื่อจับแก้วกระเบื้องก็กลับสั่นเทา ดังนั้นแล้วชายหนุ่มจึงกำมือแน่นเพื่อพยายามยับยั้งการสั่นนั้น หากที่สุดแล้วก็ทนไม่ไหว เขาขยับกายออกห่างจากเคาน์เตอร์เครื่องดื่ม อิงแผ่นหลังกับผนังปูนเย็นเยียบแล้วส่งเสียงแผ่วพร่าในลำคอ

“ผม...ไม่รู้จริงๆ ว่าตัวเองควรจะตัดสินใจยังไง”

คำเอ่ยลอยลมอย่างนั้น ทำให้ชายหนุ่มที่เพิ่งกลับเข้ามาในร้านอีกครั้งขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ หากก็กลับประคับประคองความไม่เข้าใจนั้นเอาไว้เมื่อมุ่นที่ยืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลกับมนัสส่งเสียงทักกัน

ปฏิกิริยาของมนัสหลังจากได้ยินชื่อของเขาคือการนิ่งไป ก่อนกลีบปากอิ่มเอิบจะเม้มเข้าหากัน แล้วจึงค่อยคลี่คลายเป็นรอยยิ้มบางประดับบนดวงหน้า

ชเยศกลืนน้ำลายลงคอ นึกรู้ว่ามีบางสิ่งที่อีกฝ่ายไม่ต้องการจะเปิดเผยกับเขา ดังนั้นแล้วแทนที่จะเข้ามาบอกกล่าวว่าจะนั่งรอในร้านตามที่ตั้งใจไว้ ชายหนุ่มจึงเปลี่ยนผันถ้อยคำไป ให้มนัสเพียงพยักหน้ารับเมื่อได้ยินฟัง

“ผมจะกลับมารับคุณอีกทีตอนคุณเลิกงานนะครับนัท”

ไม่มีถ้อยคำใดรั้งไว้เหมือนอย่างเคย และชเยศเองก็ได้แต่ใช้ดวงตาของเขาพิจารณาคนที่ยืนนิ่งพิงผนัง ที่สุดแล้วเขาก็ยอมแพ้ ชเยศไม่มีความอดทนพอที่จะมองลึกและตีความจากสีหน้าที่พยายามให้เรียบเฉยไร้อารมณ์ใดของอีกฝ่าย เขาหันไปยกยิ้มเล็กน้อยให้มุ่น หันหลังเตรียมก้าวเท้าออกเดิน

แต่ทันทีที่เขาก้าวไปได้เพียงสองก้าว เสียงของมนัสก็ดังขึ้นไม่ดังไม่เบา “คุณ...” เกิดความเงียบขึ้นอึดใจหนึ่ง “...เชน คุณโอเครึเปล่า?”

ชเยศอดจะอมยิ้มไม่ได้ อันที่จริงการที่เรียกชื่อมนัสโดยไม่มีคำขึ้นต้นอย่างนั้นก็ทำให้เขาเกิดประหม่าขึ้นมาได้ ครั้นจะให้ขออนุญาตเรียกขานอย่างสนิทสนมมากขึ้นเขาก็ทำไม่ค่อยจะเป็น และเมื่อได้ยินอีกฝ่ายเรียกเขาในรูปแบบเดียวกันในเวลานี้ มันก็ทำให้เขารู้สึกดีมากเลยทีเดียว

“ครับ ผมโอเค”

“ไม่ได้ทะเลาะกับที่บ้านใช่รึเปล่าครับ”

ชเยศหัวเราะให้คำถามนั้น ไม่รู้ว่าชญาภาไปเล่าเรื่องราวอะไรให้มนัสฟังมาบ้าง แต่เท่าที่จำได้ เขาเองแม้เลือกที่จะเงียบกับครอบครัวมากกว่าเปิดใจคุยกัน ถึงอย่างนั้นก็ไม่เคยมีสักครั้งที่ถึงขั้นทะเลาะเบาะแว้ง ชายหนุ่มเดินกลับมาชิดกับเคาน์เตอร์อีกครั้ง ยกแขนขึ้นเท้ากับเคาน์เตอร์แล้วเอ่ยเย้าอีกคน

หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้เห็นสีหน้าเหนื่อยหน่ายใจ

“เป็นห่วงผมหรือครับนัท”

หากสิ่งที่ได้กลับมา...กลับเป็นใบหน้าเรียวมนที่ปราศจากร่องรอยเหนื่อยหน่าย กลับเปิดเผยถึงบางสิ่งที่ทำให้หัวใจของเขากระตุกรัว และย้ำเตือนให้เขารับรู้ว่าสิ่งที่มองเห็นผ่านสีหน้านั้นคือความจริง ก็จากปากของเจ้าตัวที่ขยับเอ่ยเป็นถ้อยความ

“ครับ ผมเป็นห่วง”

แค่เท่านี้...ก็คล้ายกับจะทำให้ความรู้สึกเหมือนเป็นส่วนเกินและคนนอกที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้เจือจางหายไป ชเยศคลายยิ้มบาง พยักหน้ารับรู้แล้วเอ่ยขอบคุณเบาๆ ย้ำอีกครั้งว่าจะกลับมารับบาริสต้าผู้พิการทางสายตาพร้อมกับสุนัขคู่ใจของเขา แล้วจึงค่อยหันหลังเดินออกจากร้านไป

และเมื่อเสียงกระดิ่งร้านดังขึ้นแล้วเงียบลง นิ่งนานเป็นนาที ใบหน้าที่แฝงเจือด้วยความห่วงใยที่มีให้อีกฝ่ายจึงแปรผัน กลับกลายเป็นความคิดคำนึงและกังวลสายหนึ่งที่กลับเข้ามาอีกครั้ง

To be continued