บทที่ 18

‘ไม่...ไม่....ช้าง....ช้าง!!!’

เสียงระเบิดที่ดังขึ้นสร้างให้มนัสรู้สึกปวดหนึบที่ศีรษะลามไปถึงใบหู แต่คงไม่มีอะไรที่ทำให้ร่างกายของเขาเกิดนิ่งค้างราวกับถูกตุ้มเหล็กกดทับเอาไว้เท่าภาพที่ได้เห็น มนัสพยุงร่างที่กระเด็นถลาด้วยแรงอัดของระเบิดจากรถบัสขึ้นนั่ง เสียงของใครบางคนตะโกนก้องอย่างเดือดดาล หากเขากลับไม่ได้ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย สิ่งที่นัยน์ตาคู่กลมมองเห็น...มีเพียงเพลิงไฟที่ลุกโหมยานพาหนะคันใหญ่ที่อยู่ตรงหน้านั้นเอง

ชนัต...ชนัตล่ะ?

ลมหายใจของมนัสหอบสั่น เขากวาดตามองไปรอบๆ บริเวณหมายจะให้ได้มองเห็นร่างของเพื่อนสนิทที่เป็นดั่งคนในครอบครัวของเขา ทว่าเมื่อมองไปบนรถก็กลับไม่เห็น ทั้งรอบบริเวณก็ไม่มีแม้แต่เงา

‘ชนัต...อยู่ไหนน่ะ...’

พร่ำพูดกระซิบพร่า พยายามฝืนร่างกายอันหนักอึ้งหมายจะลุกขึ้นยืน แต่สุดท้ายก็ทนไม่ไหว เขาได้แต่ทิ้งตัวลงนั่ง ก่อนนึกคิดได้ว่ายังมีอีกหนทางที่เขาพอจะมองหา เด็กหนุ่มย่อกายหมอบตัวแทบชิดติดถนน ในตอนนั้นเองที่เห็นว่าคนที่ตามหานอนนิ่งอยู่ที่พื้นคอนกรีตโดยมีรถบัสบังเอาไว้

เห็นดังนั้นร่างกายที่เคยหนักหนาก่อนหน้านี้ก็คล้ายจะผ่อนผันลง มนัสเม้มกลีบปากเมื่อเห็นว่าชนัตเริ่มขยับตัว หัวใจดวงเล็กหล่นวูบไปในทันทีที่ใบหน้าคมคายเปรอะเลือดจากคมกระจกที่บาดผิวหน้าพลิกหันมา สองสายตาสบประสานกันผ่านใต้ท้องรถ หลังจากนั้นริมฝีปากหยักก็คลี่ยิ้มส่งตรงมาให้

มนัสรู้ดี...รู้ว่าชนัตกำลังบอกกับเขาว่า ไม่เป็นอะไร

แต่มนัสไม่สามารถนิ่งเฉยได้

ถึงแม้ชนัตจะขยับร่างนอนหงายแล้วค่อยๆ ขยับตัวจะลุกขึ้นยืน เด็กหนุ่มก็ไม่ได้คิดที่จะรั้งรออยู่ที่ตรงนี้ พลันร่างทั้งร่างก็ราวกับติดปีกเมื่อมีความคิดที่อยากจะวิ่งตรงเข้าไปหาเพื่อช่วยเหลือ ทิ้งความอลหม่านวุ่นวายและเสียงตะโกนก้องของใครบางคนที่ด้านหลัง

‘ปล่อยผม ช้าง เห็นพี่ช้างไหม? พี่ช้าง!!’

มนัสสาวเท้าวิ่งตรงเข้าไป...

แล้วเพลิงไฟก็ลุกโหมจนกลายเป็นระเบิดอีกครั้ง

‘อึก!!’

เจ็บ...มนัสเจ็บไปทั้งใบหน้า แม้แรงของระเบิดจะทำให้เขาถลาถอยห่างจากตัวรถและล้มลงอีกครั้ง แต่นั่นกลับไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เขาเจ็บมากถึงกับแสดงออกทางสีหน้าอย่างนี้ เสียงร้องโวยวายของใครบางคนเงียบลงไปแล้ว และมีเพียงเสียงคลื่นลมและเพลิงไฟที่โหมพัดให้เด็กหนุ่มได้ยิน

‘นัท! นัท!!’

เสียงของผู้เป็นแม่ร้องดังขึ้นไม่ใกล้ไม่ไกล ก่อนหลายวินาทีต่อมาจึงมีมือของใครบางคนที่จับไหล่ของเขาไว้ มนัสรู้สึกได้ถึงบางสิ่งที่สะกิดอยู่ปลายหางตา แต่ที่มากไปยิ่งกว่านั้น...เขารู้สึกได้ถึงบางสิ่งอันแหลมคมที่ทิ่มจมเข้ามาในดวงตาของเขา

เด็กหนุ่มหอบสั่น พยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะไม่ส่งเสียงร้องโอดครวญ แม้ความเจ็บจะมากมายเท่าไร แต่มันจะเทียบเท่าได้หรือไม่...กับใครอีกคนที่ยังคงอยู่ตรงนั้น

เรียวแขนถลอกเป็นปื้นแดงยกขึ้น ชี้นิ้วไปยังทิศของรถบัสแล้วว่าเสียงพร่า ‘แม่ครับ ชนัต ชนัตอยู่ตรงนั้น’

‘ช่วยทางนี้ด้วยค่ะช่วยด้วย! ลูกดิฉันได้รับบาดเจ็บ!! นัท อย่าดึงมันออกนะลูก อย่าทำอะไร อย่าขยับตัว นัท...’

ทำไมเสียงของแม่ถึงได้สั่นขนาดนั้น...มนัสสงสัยแต่ไม่มีแรงมากพอที่จะถาม ดังนั้นแล้วเขาจึงได้แต่นั่งนิ่งเพื่อรอคอยการปฐมพยาบาล โดยที่ยังคงบอกกล่าวผู้คนที่อยู่ล้อมกายถึงชนัตที่เขากำลังเข้าไปช่วยเหลือ ริมฝีปากอิ่มเอิบกลับแห้งผากจนเหมือนคนขาดน้ำ ลมหายใจที่ผ่อนสม่ำเสมอเริ่มรวยรินลงทุกที ทุกที

ไม่ไหว...

มนัสเจ็บมากเกินไป...

‘ไม่เป็นไรนะลูก นัท ไม่เป็นไรนะ’

ถึงจะมองไม่เห็น แต่เด็กหนุ่มก็ยังรู้สึกได้ว่าสิ่งที่เปรอะเลอะมือของเขาก็คือเลือดที่ไหลจากบาดแผลที่ดวงตา มนัสพยายามเปิดเปลือกตา ทั้งเจ็บและรำคาญจนอยากจะดึงสิ่งที่ทิ่มตาของเขาออก แต่ถึงอย่างนั้นก็ทำไม่ได้ตามใจคิด มนัสถูกดึงรั้งเอาไว้ และเด็กหนุ่มยิ่งไม่เข้าใจมากยิ่งขึ้นเมื่อเริ่มได้ยินเสียงสะอื้นไห้ของผู้เป็นแม่

‘ผมไม่เป็นไร ผมไม่เป็นไรครับแม่ อย่าร้องเลยนะครับ’

เขาจะรู้บ้างไหมเล่าว่าคำเอ่ยนั้นมีผลต่อผู้คนที่มองเห็นมากแค่ไหน ริมฝีปากที่แม้จะเปรอะเลือดเล็กน้อยยามเมื่อยกมือขึ้นปาดใบหน้าฉ่ำเหงื่อและหยาดเลือดก็ยังคงยกยิ้ม ใบหน้าอย่างนั้นยิ่งทำให้แม่ของเขาสะอื้นแรง

จนเมื่อเสียงรถพยาบาลเคลื่อนมาถึงนั่นแหละ ตอนนั้นเองที่มนัสกับแม่ได้แยกจากกัน เขาได้รับการปฐมพยาบาลและพยุงขึ้นเปลนอน ความรู้สึกที่ว่าอ่อนเพลียจนอยากจะหลับใหลจึงเกิดขึ้น ถึงอย่างนั้น...มนัสก็ยังพร่ำเอ่ยในขณะที่สติเริ่มลดหาย

เป็นถ้อยความที่ใครก็จดจำได้ขึ้นใจในวินาทีนั้น...และมันสะท้อนใจผู้คนที่ได้ยินมากจริงๆ

‘ช่วยชนัตด้วยนะครับ ชนัตอยู่หลังรถบัส ช่วยชนัตด้วยนะครับ’

“บางที...อาจจะเป็นผม ไม่ใช่คุณ”

มือสองมือยังคงกุมกระชับกัน เช่นเดียวกับกายสองกายที่ยังคงนั่งเคียงกันไปไม่ถอยห่าง บนดวงหน้ากลมเกลี้ยงยังคงแต้มด้วยรอยยิ้มเจือจาง เช่นเดียวกับนัยน์ตาคู่คมที่จับจ้องไม่คละคลาดไป

สิ่งที่เก็บลึกเอาไว้ในใจของมนัสถูกปลดปล่อยออกมาแล้ว และมันไม่ได้ต่างจากชเยศในก่อนหน้านี้เลยแม้แต่น้อย ชายหนุ่มเพิ่งระลึกก็เมื่อตอนนี้เอง เขาเคยครุ่นคิดสงสัยว่าทำไมมนัสถึงอยากให้เขากลับมาได้ยินอีกครั้งอย่างนี้ ใครจะรู้เล่า ว่าแท้จริงแล้วมนัสก็เป็นคนหนึ่งที่ประสบเหตุในวันนั้น

ใช่...ใครจะรู้

ในเมื่อครั้งนั้น ทั้งเขาเองและมนัส ไม่มีใครรู้จัก ไม่มีใครมองหน้า ไม่แม้แต่กระทั่งจะรู้ชื่อของกันและกัน ทั้งๆ ที่มีชนัตเป็นตัวกลางอยู่แล้วทั้งคน

“ถ้าผมไม่เผลอหลับไปแล้วขี้เซาไม่ยอมตื่นจนช้างต้องมานั่งปลุก บางทีเราสองคนอาจจะมีเวลามากพอที่จะลงจากรถอย่างปลอดภัยทั้งคู่” มนัสเอ่ยพลางคลายยิ้มเศร้า “ถ้าผม...บางทีอาจเป็นผมที่ทำให้ช้าง...ต้องจากไป”

ไม่มีคำปลอบให้ประโยคนั้น เพราะท้ายสุดแล้วทั้งชเยศและมนัสต่างก็รู้ดีว่าไม่มีใครผิดสำหรับเรื่องนี้ ถึงอย่างนั้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะยังคงประทับอยู่ในความทรงจำ ไม่เชิงว่ามันเป็นตราบาป แต่มันจะฝังแน่นให้คิดถึงทุกครั้งเมื่อความทรมานสายหนึ่งแล่นริ้วเข้าสู่ขั้วหัวใจ

ที่สุดแล้วสิ่งที่ทำให้รู้สึกมากที่สุดกับเรื่องนี้ของคนทั้งสอง ก็คือการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของชนัต

“เรายังทรมานขนาดนี้ แล้วช้างล่ะ...จะทรมานขนาดไหนกันนะ...”

ผลที่ได้รับของทั้งสองคือการสูญเสียโสตประสาทหนึ่งไป แต่กับชนัตแล้วไม่ใช่อย่างนั้น การรักษาไม่สามารถยื้อชีวิตของเขาได้ แม้ชนัตจะถูกส่งตัวให้โรงพยาบาลหลังจากนั้นทั้งที่ยังมีลมหายใจ แต่การได้รับแรงกระแทกหนักหน่วงอย่างนั้น...สุดท้ายแล้วก็ไม่สามารถอดทนต่อพิษบาดแผลได้ไหว

ชนัตเสียชีวิตในเย็นวันนั้น

ชเยศได้รับผลกระทบทำให้โสตหูสูญเสียการใช้งาน แต่จากสีหน้าของบุพการีก็ทำให้เขารับรู้

มนัสที่กลับกลายเป็นมองไม่เห็นสิ่งใด แต่จากการบอกกล่าวของบุพการีก็ทำให้เขารับรู้เช่นกัน

“สัญญากับผมได้ไหมนัท”

เสียงทุ้มขยับเอ่ย ให้มนัสได้หันใบหน้ามาทางที่อีกคนนั่งอยู่โดยไม่ตอบรับคำใด หากนั่นก็ทำให้คนที่เฝ้ามองตลอดเวลายกยิ้มอ่อนโยน มือสองมือที่เกาะกุมกันไว้คลายออกห่าง แต่ก็เป็นชเยศที่กลับจับมือของเขาเอาไว้ ประคองด้วยสองมือราวกับทะนุถนอม ชายหนุ่มมองไล่ไปยังข้อนิ้วแต่ละนิ้ว ใช้ปลายนิ้วโป้งของตนเกลี่ยไล้ไปมา และกิริยาเช่นนั้นเอง...ที่ทำให้หัวใจของมนัสเบาลง

“สัญญากับผม ว่าคุณจะไม่คิดอะไรอีกแล้ว ในเรื่องแง่ร้ายพวกนั้น ในเรื่องที่โทษตัวเองแบบนั้น สัญญากับผมได้รึเปล่า” มันยาก...ยากมากจริงๆ “ผมก็จะสัญญากับคุณเหมือนกัน ด้วยเรื่องเดียวกัน ตกลงรึเปล่าครับ”

มนัสกลืนน้ำลายลงคอ หันใบหน้าห่างพ้นจากนัยน์ตาคู่คมที่จับจ้องมองมา ชายหนุ่มระบายลมหายใจยาว ไม่ได้ตอบรับ แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ ความรู้สึกข้างในยังคงติดค้างกับบางสิ่งอยู่บ้าง และมือที่กอบกุมมือของเขาเอาไว้ก็คล้ายจะเป็นตัวการที่ชโลมอาบให้อุ่นใจมากยิ่งขึ้น

“ตอนที่ผมรู้ว่าคุณคือน้องชายของช้าง ผมอดจะแปลกใจไม่ได้ที่คุณแข็งข้อกับฟ้าอย่างนั้น”

“หือ ผมเป็นอย่างนั้นด้วยหรือครับ?”

“คุณคงไม่รู้ว่าฟ้าปวดหัวมากแค่ไหนกับการที่คุณไม่ยอมใส่หูฟัง” พอนึกถึงกระแสเสียงของเพื่อนสนิทอีกคนก็ให้มนัสได้หัวเราะเบาๆ ริมฝีปากคลี่ยิ้มสดใสอีกครั้ง ทั้งนึกระอาหากก็เอ็นดูเพื่อนผู้หญิงคนนี้ไม่เบา “เธอเองก็ต้องแบกรับอะไรเยอะเหมือนกัน ทั้งจากการต่อต้านของคุณ ทั้งจากการขอร้องของทางบ้านคุณ ผมยอมรับเลยว่าตอนแรกที่รู้ว่าคุณเป็นน้องชายของช้างน่ะ ผมโกรธคุณมาก”

“เพราะผมไม่ได้นิสัยดีสินะครับ”

“เปล่าเลยครับ” มนัสส่ายหน้า “เพราะคุณขังตัวเองไว้กับเรื่องนั้นจนไม่มีความสุขเลยต่างหาก”

มนัสเงียบไปหลังจากนั้น ให้ชเยศได้แต่นิ่งงันไปกับถ้อยความที่ตรงเข้าหัวใจของเขาอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง ใช่...เขาขังตัวเองเอาไว้ เขารู้ดีว่าที่แท้แล้วตัวเองไม่เคยมีความสุขกับสิ่งใด หากสิ่งที่มนัสไม่รู้ก็คงจะเป็นเรื่องที่ระยะหลังมานี้เขามีความสุขมาก สุข...ที่ได้ดูแลใครอีกคน สุข...ที่ได้ช่วยเหลือและเป็นตาให้ใครอีกคน

มนัสทำให้เขามีความสุขได้โดยที่ไม่ต้องแสร้งทำ

“แต่พอคิดว่าคุณทดแทนการปฏิเสธความสมบูรณ์พร้อมของตัวเองด้วยการยินยอมเป็นตาคู่ที่สองให้ผม ความโกรธก็หายไปหมดเลยจริงๆ”

“ผมมีความสุขนะที่ได้ทำอย่างนั้น”

“แต่ผม...ก็ยังอยากให้คุณสมบูรณ์พร้อมมากกว่า มันอาจจะฟังดูเหมือนเห็นแก่ตัว แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่แค่เพราะผมอยากให้คุณได้ยินอีกครั้ง ไม่ใช่เพราะช้างจะได้สบายใจและจากไปอย่างสงบ แต่เป็นเพราะผมเอง...” ชายหนุ่มนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วคลายยิ้ม “เพราะผมอยากให้คุณมีความสุขกับการรับรู้ทุกโสตประสาท...แทนผม”

ไร้ถ้อยความใดหลังจากนั้น มีเพียงมือกว้างที่เอื้อมจับแขนของมนัสเอาไว้ ก่อนจะดึงรั้งให้ร่างกายขยับเข้าใกล้ และโดยที่ไม่ทันได้ตั้งตัว ร่างทั้งร่างของมนัสก็ถูกวงแขนนั้นโอบกอด โอบแน่นจนเขาแทบจะจมหายกลืนไปกับร่างกายกรุ่นไออุ่นของชเยศ

สัมผัสที่ไม่เคยได้รับทำให้มนัสทำตัวไม่ถูก เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองควรจะกอดกลับดีหรือไม่ เพราะอย่างนั้นแล้วชายหนุ่มจึงทำเพียงกดใบหน้าจมลงไปกับไหล่ผาย เฝ้าฟังเสียงลมหายใจที่ระบายเข้าออกของคนที่กอดร่างเขาเอาไว้อย่างเงียบเชียบ

ก่อนจะค่อยๆ ยกมือขึ้นแตะแผ่วที่แผ่นหลังนั้น เมื่อถ้อยประโยคหนึ่งกระซิบที่ใบหู

“ถ้าทำได้ ผมพร้อมที่จะเป็นตาให้คุณนะ นัท”

เขาอาจจะคิดไปเอง แต่จากกระแสเสียงทุ้มต่ำที่กระซิบเช่นนั้นก็ให้ได้รู้ ว่าในประโยคที่บอกกล่าวกันนั้นไม่ใช่เพียงหนึ่งหรือสองวัน แต่มันอาจจะเป็นตลอดไป...ตราบเท่าที่มนัสจะต้องการ

มือเรียวกำสาบเสื้อที่แผ่นหลังของชเยศ ดึงเบาๆ คล้ายสับสนไม่มั่นใจ ก่อนสุดท้ายจะยกทั้งสองแขนขึ้นโอบกอดตอบรับ ให้ร่างสองร่างยิ่งแนบชิดแก่กันมากขึ้นไป ให้ได้รู้ถึงไออุ่นที่ระบายใกล้ชิดคลอเคลีย ให้ซึมซาบลงสู่หัวใจที่เคยจมปลักอยู่กับความทุกข์ใจของกันและกัน

“ผม...กลัว”

“ไม่เห็นมีอะไรต้องกลัวเลยนี่ครับ จริงไหม?”

มนัสส่ายหน้า เขายังบอกเรื่องราวของตัวเองออกไปไม่หมดด้วยซ้ำ จริงอยู่ที่เรื่องราวในอดีตที่กักขังหัวใจของเขาได้ระบายออกมาจนหมดสิ้นแล้ว แต่ยังคงหลงเหลือเรื่องราวของปัจจุบันที่ทำให้มนัสยังไม่สามารถเอ่ยมันออกมาได้ อาจจะเป็นเพราะเขาเองที่ยังตัดสินใจได้ไม่แน่นอน

และใช่...เขากลัว

ไม่ได้กลัวกับความทุกข์ใจในอดีต แต่กลัวกับปัจจุบันและอนาคตต่างหาก

“ผม...” มนัสพูดไม่ออกในคราวแรก เขาได้แต่กดใบหน้ากับไหล่ของชเยศอยู่อย่างนั้น นิ่งนานเป็นนาทีจึงค่อยผละออก รวมถึงอ้อมกอดที่คละคลายห่างจากกันไปตามแรงของเขาเอง “ผมมีเรื่องที่ยังไม่ได้บอกคุณ”

“ครับ ผมพร้อมฟังคุณ”

“...จำวันนั้นได้รึเปล่าครับ ที่ผมบอกคุณว่า...ชีวิตของผมคือการรอคอย”

ชเยศพินิจใบหน้ารื้นสีของอีกฝ่าย ส่งเสียงในลำคอให้ได้รู้ว่าเขายังคงจำได้ดี อันที่จริงชายหนุ่มเกือบจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำก็เพราะมีชื่อของชนัตเข้ามาในความทรงจำของอีกฝ่าย มาถึงตรงนี้ก็เลยทำให้เขาฉุกคิด และมันก็ทำให้หัวใจของเขาเต้นไม่เป็นจังหวะเท่าไรนัก

“การรอคอยของผม คือดวงตาคู่ใหม่...”

To be continued