บทที่ 19

“หมายความว่า...”

“ผมรอการบริจาคดวงตาอยู่ครับ”

การคิดถึงที่ทำให้ทรมาน มีหรือที่จะเท่าการรอคอยบางสิ่งที่จะเติมเต็มให้ได้รับอิสระโดยสมบูรณ์

“การรอคอยของผมอาจจะจบลงแล้วก็ได้” มนัสคลายยิ้ม แต่ไม่ใช่ยิ้มของความสดใสเลยสักนิด“เพราะสิ่งที่รอมันรอให้ผมเดินทางไปหาแล้วล่ะครับ”

ชเยศได้แต่ส่งเสียงครางต่ำในลำคอ อยากจะยิ้มก็ยิ้มได้ไม่เต็มที่ นั่นเป็นเพราะเจ้าของเรื่องกลับไม่ได้แสดงท่าทีของความยินดีเปรมปรีดิ์เลยแม้แต่น้อย ชายหนุ่มได้แต่เฝ้ามองวงหน้าเรียวมนที่อยู่ตรงหน้า เรียวคิ้วเข้มที่ตกลงตามความรู้สึกจากด้านในทำให้เขาพลั้งเผลอยกมือขึ้นเกลี่ยไล้เส้นผมที่โครงหน้า

โดยไม่ได้เอ่ยอะไร แต่สัมผัสอ่อนโยนนุ่มนวลก็กลับทำให้ใจของมนัสสั่นไหว พาลส่งผลถึงกระแสเสียงที่เอ่ยออกมาหลังจากนั้น

“แต่ผม...กลัว” เขาเอียงใบหน้ารับสัมผัสของมือกว้าง เม้มเรียวปากแน่นยามเมื่อพยายามจะเอ่ยคำให้จบถ้อยความ “ทั้งๆ ที่ผมรอมันมาตลอดหกปี แต่ตอนนี้ผมกลับกลัว ผมกลัว...ที่จะได้มองเห็นอีกครั้ง”

แสงสว่างสาดทออยู่ตรงหน้าของเขาแล้ว เพียงแค่เขาเอื้อมมือออกจากความมืดมิดไปแตะต้องและคว้าเอาไว้ เมื่อนั้นเขาก็จะหลุดพ้นจากความมืดนี้โดยสมบูรณ์

แต่มนัสกลับหวาดกลัว กลับกลายเป็นว่าไม่สามารถตอบรับทางโรงพยาบาลได้ในทันที และหากข้ามผ่านกำหนดการตอบรับไปแล้วในตอนนี้ ก็เท่ากับว่าโอกาสของเขาจะหลุดลอยจากไป และจะไม่มีวันรู้เลยว่าเมื่อไหร่ที่โอกาสนั้นจะมาถึงอีกครั้ง

เขาเป็นคนขี้ขลาด คนที่ขี้ขลาดมากกว่าชเยศที่เขาเคยต่อว่าไว้มากนัก

“บอกผมได้รึเปล่าว่าคุณกลัวอะไร”

ไม่ใช่การบีบบังคับ แต่คล้ายจะเป็นการปลอบประโลมที่ทำให้เขาเบาใจมากขึ้น มนัสส่ายหน้าให้ชเยศได้ระบายลมหายใจยาว เอ่ยบอกว่าหากไม่พร้อมจะบอกเขาก็ไม่เป็นไร แต่มนัสก็ส่ายหน้าอีกรอบ เผยอกลีบปากหมายจะเอ่ยคำ แต่ก็นิ่งไป

“ผมอาจจะอยู่ในความมืดมานานเกินไป ผมเคยชินกับมันแล้ว และผม...ผมไม่อยากมองเห็นอะไรที่ไม่สวยงาม”

เพราะในความมืดมิดสามารถสร้างโลกที่สดใสได้เสมอ แม้จะได้ยินอะไรมามากมาย แต่มนัสก็ยังสร้างสิ่งที่ดีงามเหล่านั้นในโลกของเขาได้ นี่อาจจะเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้มนัสดูมีความสุขกับทุกๆ วัน มีรอยยิ้มได้ทั้งๆ ที่โลกซึ่งหมุนวนอยู่อย่างนี้กลับเลวร้ายขึ้นทุกขณะ

“แต่คุณรอ”

“ใช่ ผมรอ”

“ผมจะไม่บังคับคุณหรอกนะครับนัท อยู่ที่คุณจะตัดสินใจว่าจะทำยังไง เพราะผมจะอยู่ตรงนี้ ถ้าคุณไม่รับดวงตาของใคร ผมคนนี้ไงที่จะเป็นตาให้คุณเอง”

จบประโยคของชเยศ มนัสก้มหน้าลงต่ำคล้ายกำลังครุ่นคิดบางสิ่งในใจ ก่อนที่สุดจะหัวเราะออกมาแผ่วเบาแล้วเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง รอยยิ้มสดใสของเขาทำให้ชเยศยกยิ้มตามไปด้วย แม้จะนึกเสียดายหากว่ามนัสจะตัดสินใจไม่รับโอกาสนั้นจริง แต่เขาก็ยังคงรู้สึกดีและมีความสุขที่ได้อยู่ตรงนี้กับมนัส

มนัส คนที่ทำให้เขาอยากจะอยู่ที่นี่

“เหมือนที่พี่มุ่นพูดไว้ไม่มีผิด”

“หืม?”

มนัสส่ายหน้า ปฏิเสธที่จะบอกกล่าวกับชเยศถึงเรื่องที่ได้พูดคุยกับเจ้าของร้านกาแฟที่ทำงานอยู่ จะให้เขาบอกไปได้ยังไงเล่าว่ามุ่นน่ะรู้เรื่องของเขาดีทุกเรื่อง กระทั่งเป็นคนอ่านจดหมายที่ทางโรงพยาบาลส่งมาให้เพราะติดต่อทางโทรศัพท์ไม่ได้ และใช่...มนัสบอกกับมุ่นว่าเขากลัวมากแค่ไหน แต่มุ่นก็เพียงพูดติดตลกว่า ‘ไม่เห็นต้องกลัวอะไร ต่อให้นายตาบอดไปตลอดชีวิต เชื่อพี่สิว่าคนที่ชื่อชเยศนั่นน่ะ เขาจะตามติดนายแจอยู่ดี’

บ้าจริง...

ชเยศทำให้เขายิ้มได้ทั้งๆ ที่มีเรื่องให้ครุ่นคิดเคร่งเครียดขนาดนี้ได้ยังไงกัน?

“กลับบ้านดีไหมครับ ฟ้าน่าจะรอคุณอยู่”

แสงแดดอ่อนจางก่อนหน้านี้เริ่มร้อนแรงมากขึ้นแล้ว ให้มนัสได้ส่งเสียงบอกอีกคนที่นั่งอยู่ข้างกันไม่ห่างไปไหน และชเยศก็ได้ทำการปฏิเสธอย่างแข็งขัน ซ้ำยังร้องครวญที่มนัสทำเหมือนจะไล่กันซะด้วยแน่ะ

เพราะอย่างนั้นแล้วเรื่องที่พูดคุยกันอย่างเคร่งเครียดก่อนหน้านี้จึงจบไป และเริ่มต้นขึ้นใหม่...ด้วยการที่มนัสเชื้อเชิญให้อีกฝ่ายเข้าบ้าน เพราะเขาจะได้ทำหน้าที่เจ้าบ้านด้วยการชงกาแฟในรสที่ชเยศชอบ รวมไปถึงปิ้งขนมปังให้อีกสองแผ่นเป็นการตอบแทนความหวังดีและความจริงใจที่มีให้กันในเช้านี้ยังไงล่ะ

*ความรู้สึกแบบนี้คืออะไรกันนะ...

ความรู้สึกที่อยากจะไขว่คว้าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าแต่ก็กลับละล้าละลัง ความหวาดกลัวซึ่งไม่มีที่สิ้นสุดกำลังคุกคามเกาะกินในหัวใจให้สึกกร่อนลงไป ใช่...แต่ก่อนมันเคยเป็นอย่างนั้น แต่อยู่ๆ วันหนึ่งเมื่อเขากลายเป็นคนปลดพันธนาการโซ่ตรวนให้หลุดพ้นจากใครบางคน ในเวลาต่อมาใครคนนั้นกลับไม่ได้วิ่งหนีหายจากไปไหน ยังคงอยู่ใกล้ๆ และคอยชโลมอาบหัวใจของเขาให้สึกกร่อนลงมากกว่าเดิม

หากแต่สิ่งนั้นไม่ใช่เรื่องเลวร้าย คลับคล้ายจะเป็นการปัดเป่าความหวาดกลัวท่ามกลางความมืดมิดนั้นให้ค่อยๆ จางไป

ทำไมกันล่ะ เพราะอะไร...มันต้องมีคำตอบใช่ไหม?

“การได้รู้สึกกับใครสักคนอย่างบริสุทธิ์ใจน่ะ มันเป็นเรื่องดีใช่ไหม นัท”

ภวังค์ความคิดหลุดหายไปเมื่อเสียงของใครบางคนดังขึ้น ใครคนหนึ่งที่รู้จักเขาดีแม้กระทั่งความรู้สึกนึกคิดที่ไม่เคยบอกกล่าว ทั้งๆ ที่มองเห็นแค่สีหน้า แต่มุ่นก็กลับรู้ดีว่ามนัสนึกคิดยังไง

และคำถามนั้นจึงทำให้ชายหนุ่มคลายยิ้ม หัวเราะแผ่วเบาแล้วส่ายหน้า

“ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองจะรู้สึกกับใครแบบนั้นได้”

แบบนั้น...ที่มนัสกำลังถามใจตัวเองว่าใช่หรือไม่ หรือที่รู้สึกไป ก็เพียงเพราะว่าใครคนนั้นก้าวเข้ามาในช่วงเวลาที่อ่อนแอ

น้ำเสียงทุ้มนุ่มยังคงติดหูของเขา สัมผัสอ่อนโยนและกรุ่นไออุ่นจากมือกว้างยังคงติดตรึงไม่เสื่อมคลาย สิ่งเหล่านั้นมันคล้ายจะเป็นตัวการที่ทำให้ใจของเขาอ่อนลงทุกวัน ทุกวัน จนกระทั่งในที่สุดเมื่อมันหลอมละลายกลายเป็นกรุ่นไอของความรู้สึก เมื่อนั้นมนัสจึงค่อยรู้สึกตัวว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อเลยสักนิด

“บางที...กับเชนอาจจะเป็นความรู้สึกที่มากกว่านั้นก็ได้ครับพี่มุ่น”

“แบบนั้นก็ยิ่งดีเลยไม่ใช่หรือ”

ได้ยินดังนั้นมนัสก็ได้แต่ยกยิ้ม เขาขยับตัวลงนั่งบนเก้าอี้ไม้ทรงสูง วางมือลงบนผิวเคาน์เตอร์ก่อนเคาะเรียวนิ้วอยู่เช่นนั้น นึกคิดถึงการเปลี่ยนแปลงที่ค่อยๆ ก่อเกิดขึ้นจากวันแรกที่เจอกันจนกระทั่งวันนี้ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว

เริ่มแรกเขาแทบไม่ให้ชเยศแตะต้อง หงุดหงิดรำคาญใจทุกครั้งที่ชเยศหมายจะนำทางเขา ทั้งๆ ที่อีกฝ่ายปรารถนาจะมอบความหวังดีให้ตลอดเวลา แต่ก็กลับเป็นเขาเองที่ไม่อยากรับมัน จนกระทั่งถึงจุดหนึ่งที่ทำให้อ่อนใจ ยินยอมให้อีกฝ่ายได้เดินเคียงคอยดูแลตลอดระยะเวลาที่ก้าวเดิน

ไม่รู้เมื่อไรที่เริ่มจากมือสองมือที่จับกุมกัน

ไม่รู้ตอนไหนที่เขาเองเริ่มเป็นฝ่ายแตะสัมผัสอีกคนโดยไม่ตะขิดตะขวงใจ

และไม่รู้ทำไม...อยู่ๆ ถึงกลายเป็นว่าเขายินยอมโอนอ่อนให้แม้กระทั่งแขนแข็งแรงของอีกคนโอบกอดเอาไว้

การเปลี่ยนแปลงที่ค่อยเป็นค่อยไปทำให้มนัสครุ่นคิด ใช่หรือไม่...ว่าคือรัก

“แบบไหนกันนะ...” ชายหนุ่มพึมพำ “แบบไหนถึงจะเรียกว่าดีหรือครับพี่มุ่น”

ชายหนุ่มรู้แน่แก่ใจว่าตัวเองรู้สึกเช่นไร แต่เขาจะข้ามผ่านมันไปหรือจะรั้งใจตัวเองไว้ให้อยู่ตรงนี้ เขารู้ดีว่าตัวเองก็เป็นแค่คนพิการแสนขี้ขลาดคนหนึ่งที่กำลังจะปัดโอกาสให้พ้นจากตัว ถึงแม้ชเยศจะมอบความอบอุ่นให้เขาได้ครุ่นคิดมากเท่าไร แต่อีกหนึ่งใจที่ยังคงหวาดกลัวก็กลับคอยขับไสไล่ส่งอยู่เสมอ ความรู้สึกสองขั้วที่กำลังต่อสู้กันอยู่ข้างในทำให้มนัสสับสน

เขาอยากมองเห็น แต่เขาก็กลัวที่จะได้มองเห็น

เขาอยากรัก...แต่ก็กลัวที่จะได้รัก

เพราะรู้ดีว่าเพียงเท่านี้ก็เป็นภาระให้ชเยศมากพอแล้ว ถึงอีกฝ่ายจะเข้าหาเขาด้วยความเต็มใจ และรู้ดีว่าต่อให้หลังจากนี้จะขับไล่ชเยศไปยังไง คนๆ นั้นก็คงดื้อด้านที่จะหยุดยืนเคียงข้างเขาอยู่ดี

“เชนหน้าตาเป็นยังไงกันน้า...”

“ถ้าอยากเห็น ก็ตอบรับโรงพยาบาลสิครับนัท”

กระแสเสียงนั้นทั้งจริงจังหากก็แฝงด้วยแววหยอกเย้า ให้คนที่นั่งพึมพำกับตัวเองเม้มกลีบปากแน่นทั้งยังขมวดคิ้ว เขาไม่รู้เลยว่าชเยศเข้ามาในร้านตั้งแต่เมื่อไหร่ ทั้งมุ่นก็ไม่ได้ส่งสัญญาณบอกกล่าวกันเลยสักนิด แล้วนี่ชเยศได้ยินเขาพูดอะไรตั้งแต่ตอนไหนกัน แค่คิดได้ดังนั้นมนัสก็แทบอยากจะลุกขึ้นแล้วเดินหนีคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าในทันทีเลยล่ะ

“มาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ”

“เชนหน้าตาเป็นยังไงกันน้า~”

ล้อเลียนชัดเจนเลย ผู้ชายคนนี้น่ะหรือที่เขาเพิ่งคิดไปว่ามอบความอบอุ่นชโลมอาบหัวใจเขาให้อ่อนลงได้น่ะ ให้ตายสิ!

มนัสได้แต่ส่ายหน้าไปมา ตีหน้านิ่งหมายจะให้อีกคนได้รู้ว่าไม่พอใจกับการถูกล้อเลียนเช่นนี้ แต่ชเยศก็กลับเพียงหัวเราะแผ่ว เอ่ยปากขอกาแฟร้อนเหมือนทุกครั้งที่เข้ามาเพื่อหันเหความสนใจของมนัสให้ออกห่างจากบทสนทนาไป และมนัสก็รู้สึกขอบคุณมากจริงๆ ที่อีกฝ่ายสั่งเมนูสักที เพราะเขาก็ไม่แน่ใจนักว่าตอนนี้ใบหน้าของตัวเองจะแสดงออกแบบไหน

รู้เพียงว่าอยู่ๆ ใบหน้าก็รื้นร้อนขึ้นจนทำให้อึดอัด

แถมยังต้องรู้สึกอึดอัดมากขึ้นเพราะสัมผัสได้ถึงสายตาของใครบางคนที่จับจ้องตรงมาไม่คละคลาดกัน

ปกติแล้วชเยศจะเดินไปนั่งประจำที่ไม่ใช่หรือ แล้วทำไมตอนนี้ถึงยังยืนอยู่ตรงนี้ล่ะ?

“มีอะไรรึเปล่าครับ?”

“ต้องมีอะไรด้วยหรือครับ?”

ผ่านพ้นความเครียดของตัวเองไปแล้วชเยศก็คล้ายจะกลับมาเป็นคนยียวนกวนอารมณ์เขาเหมือนเดิม ถึงแม้ในน้ำเสียงนั้นจะยังมีไออ่อนโยนอยู่ด้วยก็เถอะ แต่มันกลับไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลยสักนิด บางทีมนัสอาจจะคิดไปเองก็ได้ว่าตัวเองกำลังจะเป็นบ้า ทำไมเขาถึงต้องมีกิริยาเก้ๆ กังๆ ทั้งที่ไม่เคยเป็นอย่างนี้ด้วย

“ได้แล้วครับ...”

แก้วกาแฟกรุ่นหอมวางลงบนเคาน์เตอร์ที่ตรงหน้าของคนสั่งพอดิบพอดี หากชายหนุ่มกลับไม่ได้รับมันไว้หลังจากนั้น เพราะมือกว้างกลับเอื้อมคว้ามือเรียวติดอุ่นของมนัสเอาไว้ โดยไม่เอ่ยคำใด จู่ๆ ชเยศก็รั้งมือนั้นให้ยกขึ้น เคลื่อนแตะลงที่โครงหน้าของเขาเบาๆ แล้วค่อยๆ ทาบลง

“เถอะครับนัท”

ขยับนำพาให้มือเรียวค่อยๆ เคลื่อนลงเชื่องช้า

“ผมยอมให้คุณสำรวจหน้าผมด้วยมือของคุณได้ตลอดชีวิตเลยรู้ไหม”

ต่ำลงถึงปลายคางที่รับรู้การขยับไหวยามเมื่อเอื้อนเอ่ย

“แต่ถึงอย่างนั้น...ผมก็ยังอยากให้คุณมองเห็นผมด้วยสองตาของคุณเองมากกว่า”

กลับกลายเป็นมือกว้างที่จับมือของเขาเอาไว้ บีบเบาๆ อย่างให้กำลังใจ แล้วจึงค่อยปล่อยมือนั้นให้เคลื่อนห่างจากมือของเขาอย่างเบามือ

มนัสได้แต่นิ่งงัน เนิ่นนานเป็นนาทีกว่าที่จะขยับตัวถอยออกห่างจากเคาน์เตอร์ ชเยศมองเห็นว่าริมฝีปากอิ่มสีเรื่อนั้นขยับยิ้มขึ้นเล็กน้อย หากแต่สุดท้ายก็ไม่ได้ตอบรับอะไรเขาสักคำเดียว บาริสต้าหนุ่มกลับไปอยู่ที่หน้าบาร์เครื่องดื่มของตัวเอง รอเมนูจากลูกค้าที่เพิ่งเดินเข้ามาโดยไม่คิดต่อบทสนทนากับชเยศอีก

หากเขาก็รับรู้ดีว่าใจของตัวเองเป็นเช่นไร มันสั่นไหวแค่ไหน...เมื่อได้ยินถ้อยความปรารถนานั้น

“ผมจะรอกลับพร้อมคุณนะ”

“ไม่ต้องก็ได้ครับเชน ผมจะ...”

“แล้วคุณคิดว่าผมจะทำตามรึเปล่า?” ชเยศขัดขึ้นในทันทีที่ได้รับการปฏิเสธ “ตั้งใจทำงานนะครับ ผมจะนั่งอ่านหนังสือรอ”

ก่อนจะเดินจากไป ทิ้งไว้ให้มนัสได้แต่ยืนกัดกลีบปากล่างตนเองอย่างที่นานครั้งจะทำ แต่นั่นไม่ใช่เพราะไม่พอใจหรือเบื่อหน่ายอะไรหรอก แต่การที่ชเยศดื้อดึงเป็นปกติกลับทำให้เขาอดที่จะยกยิ้มไม่ได้ ซึ่งการกัดริมฝีปากไว้อย่างนั้นก็ถือเป็นการกลั้นยิ้มอย่างหนึ่งยังไงเล่า

สุดท้ายชายหนุ่มก็เลยได้แต่ถอนหายใจ ละทิ้งทุกความคิดที่ประดังเข้าใส่ตัวแล้วเริ่มต้นทำงานต่อหลังจากนั้น

เช่นเดียวกับชเยศที่นั่งลงยังโต๊ะตัวประจำ สายตาของเขาทอดมองไปยังบาริสต้าที่มีปัญหาทางสายตาแล้วก็ได้แต่ยกยิ้มกับตัวเอง ชายหนุ่มยกมือขึ้นแตะโครงหน้าที่เมื่อครู่มีมือของอีกคนแตะสัมผัส ก่อนจะปรับเปลี่ยนท่านั่งเป็นค้ำศอกเท้าทาง โดยที่นัยน์ตาคู่คมไม่ได้ผละจากใบหน้าเรียวมน กิริยาท่วงท่ายามเมื่อทำงาน องค์ประกอบรวมที่ทำให้เป็นภาพของมนัส

หวนนึกถึงถ้อยความการสนทนาเมื่อครู่นี้…

‘บางที...กับเชนอาจจะเป็นความรู้สึกที่มากกว่านั้นก็ได้ครับพี่มุ่น’

‘แบบนั้นก็ยิ่งดีเลยไม่ใช่หรือ’

ความรู้สึกที่มากกว่านั้น...

เขาก็อยากจะบอกกับมนัสเหลือเกิน ว่าเขาก็รู้สึกแบบนั้น...ไม่ต่างกัน

มนัสทำให้เขารู้สึกถึงความรักที่มากกว่าความรักแบบนั้น

และใช่...ยังไงมันก็ยังคงเป็นรักอยู่ดี

To be continued