บทที่ 21

มือสองมือที่จับกันไว้สร้างความมั่นใจให้แก่ชายหนุ่มเป็นอย่างมาก

มนัสเฝ้าฟังเสียงการเคลื่อนไหวรอบกาย ได้ยินเสียงเครื่องมือทางการแพทย์ที่ดังเป็นระยะ เสียงผู้คนพูดคุยกันบางเบาจากที่ไกล รับรู้ถึงจังหวะเข็มวินาทีที่ขยับเปลี่ยนไปตามช่วงเวลา หากใครบางคนที่นั่งจับมือกับเขาอยู่ในตอนนี้กลับเงียบงัน แต่มันก็เป็นความเงียบที่สร้างให้เขาสงบใจมากจริงๆ

“คุณมนัส ได้เวลาเข้าห้องผ่าตัดแล้วนะคะ”

เสียงประตูเปิดดังขึ้นก่อนเป็นเสียงของพยาบาลสาวที่บอกกล่าว จบคำนั้นคนที่นั่งกุมมือเขาไว้ก็ขยับกายลุกขึ้นยืน จู่ๆ มนัสก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา ยังคงนึกถึงแสงสีขาวและภาพต่างๆ ที่จะได้เห็นหลังจากนี้ ชายหนุ่มยึดมืออีกฝ่ายไว้โดยไม่ได้ตั้งใจ แต่นั่นก็ทำให้เสียงทุ้มดังขึ้น ซึ่งเป็นการบอกกล่าวพยาบาลสาวไม่ใช่เขา

“ขอเวลาอีกครู่ได้รึเปล่าครับ...ขอบคุณครับ”

แว่วเสียงระบายลมหายใจจากชเยศ ก่อนที่ร่างของเขาจะทรุดลงนั่งที่ตรงหน้าเหมือนเมื่อครู่ เรียวนิ้วยาวเกลี่ยวนที่หลังมือของมนัส ผะแผ่วหากก็นุ่มนวลมากพอที่จะทำให้คนที่เกิดความรู้สึกกดดันอยู่ได้ผ่อนคลาย มนัสเผยอกลีบปากปลดปล่อยลมหายใจกรุ่นอุ่นให้ระบายออก ไม่แน่ใจนักว่าตนเองพร้อมหรือไม่ และเขาก็รู้ดีว่ามือของเขาเย็นมากแค่ไหนจากความกดดันนี้

“พร้อมรึยังครับนัท”

“ครับ”

ถึงจะตอบออกไปแบบนั้น แต่ทั้งจากน้ำเสียงและสีหน้าของเขาก็คงแสดงออกให้อีกคนได้รู้ว่าไม่เป็นดังคำพูดเลยสักนิด ดังนั้นแล้วมนัสจึงได้ยินเสียงหัวเราะแผ่วเบาในลำคอ รับรู้ถึงการเคลื่อนไหวของชเยศที่หยัดกายขึ้นยืน ก่อนวินาทีต่อมา...ลมหายใจกรุ่นอุ่นจะระบายรินรดที่พวงแก้มของเขา คละเคลื่อนไปยังใบหู แล้วจึงตามด้วยเสียงทุ้มที่กระซิบอย่างอ่อนโยนให้ได้รับฟัง

“ผมจะรอคุณอยู่ใกล้ๆ นะ”

ปิดท้ายด้วยการจุมพิตลงมาแผ่วเบายังขมับของเขาแล้วถอยห่างไป

สัมผัสที่ทั้งนุ่มนวลและอ่อนโยนอย่างนั้นทำให้มนัสเม้มกลีบปากแล้วพยักหน้า รู้สึกได้ถึงหัวใจที่เต้นรัวยามเมื่อชเยศก้าวเท้าเดินออกห่างเพื่อไปบอกกล่าวต่อพยาบาลถึงความพร้อมของเขา ไม่นานหลังจากนั้นมนัสก็ถูกนำตัวมายังห้องผ่าตัด ยังคงได้ยินชเยศเอ่ยบอกว่าจะรออยู่ใกล้ๆ ก่อนประตูจะปิดลง

ร่างกายที่นอนลงบนเตียงผ่าตัดเกร็งขืนในช่วงแรก ชายหนุ่มพยายามผ่อนผันลมหายใจให้สม่ำเสมอ หากสิ่งที่ทำให้เขาค่อยๆ คลายความตึงเครียดลงกลับไม่ใช่การกำหนดลมหายใจเลยสักนิด หากแต่กลับเป็นเสียงทุ้มที่ดังขึ้นในหูของเขานั่นต่างหากล่ะ...

เสียงที่เต็มไปด้วยความห่วงใยและปลอบโยน

เสียงของชเยศ...

จะรออยู่ใกล้ๆ ใช่...เขาก็รู้สึกได้อย่างนั้นเช่นเดียวกันว่าชเยศจะอยู่แถวนี้ แม้ตัวจะห่างไป แต่กำลังใจที่ส่งตรงมาให้...ก็ยังคงซึมซับและกัดกินความหวาดกลัวของเขาให้จากไป

อีกไม่นาน อีกไม่นานเท่านั้นมนัส...

*

หัวใจของชายหนุ่มเต้นกระหน่ำขณะที่ผ้าก๊อซขาวซึ่งปิดทับดวงตาไว้กำลังได้รับการคลายออกอย่างใจเย็น

ความเงียบงันไม่ได้ทำให้เขาสงบใจมากขึ้น หากมันกลับเป็นสิ่งที่คล้ายจะก่อวนให้หัวใจเคร่งเครียดเป็นกังวลเสียมากกว่า ถ้าไม่ติดว่ามีมือกว้างของใครบางคนที่คอยลูบหลังมือของเขาตลอดเวลาตั้งแต่ที่พบแพทย์ มนัสอาจจะยิ่งหลุกหลิกจนเตลิดไปเลยก็เป็นได้

ไม่มีคำปลอบโยนใดให้เขาได้ยิน มีเพียงแพทย์ที่ส่งเสียงบอกในตอนเริ่มต้นก่อนจะคลายผ้าก๊อซออก มนัสตอบรับด้วยความเข้าใจ ค่อยๆ ผ่อนคลายตัวเองลงทีละนิด ทีละนิด จนในที่สุดแผ่นผ้าที่ปิดดวงตาของเขาไว้ก็ออกพ้น ให้ลมวูบหนึ่งปะทะกับเปลือกตาของเขาในทันที

“ทีนี้ค่อยๆ ลืมตาขึ้นนะครับ”

เสียงของแพทย์เอ่ยขึ้นว่าอย่างนั้นให้ชายหนุ่มพยักหน้ารับ เขาสูดลมหายใจเข้าลึก รู้สึกเคว้งคว้างขึ้นมากะทันหันเมื่อมือที่จับกุมกันเมื่อครู่ผละออกไปแล้ว ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังทำตามคำบอกของแพทย์ ค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นอย่างเชื่องช้า กะพริบตาถี่ๆ อยู่หลายหน

ในตอนที่เปิดเปลือกตาขึ้นจนเผยดวงตากลมใสเต็มตานั่นเอง ที่หัวใจของเขาซึ่งผ่อนลงสม่ำเสมอแล้ว...กลับไปเต้นแรงระรัวอีกครั้ง

ไม่ใช่เพราะแสงสว่างที่เขาได้รับ ไม่ใช่เพราะรู้สึกแสบตาจนตั้งตัวไม่ทัน

แต่เป็นเพราะภาพของใครคนนั้น...ที่เขาไม่คุ้นเคย

ริมฝีปากอิ่มเอิบเผยออ้าหมายเอ่ยถ้อยคำ หากสุดท้ายก็ยังนิ่งไป และเพียงแค่พยักหน้ารับคำถามต่อๆ มาของแพทย์เท่านั้น นัยน์ตาของเขายังคงมองไปที่ใครคนนั้น นิ่งนานเช่นไรก็ไม่ละจาก เช่นเดียวกับนัยน์ตาของคนเบื้องหน้าที่ทอดมองตรงมา เป็นประกายอ่อนโยนอย่างที่ทำให้หัวใจของเขาเต้นแรง

มนัสไม่แน่ใจนักว่าแพทย์ที่รับหน้าที่ดูแลเขาเอ่ยว่าเช่นไรบ้าง เขารู้เพียงว่าบุคคลตรงหน้าหันไปตอบรับแพทย์ด้วยใบหน้าจริงจัง ก่อนที่สุดแล้วแพทย์จะขอตัวออกจากห้องไป ทิ้งไว้เพียงความเงียบงันและคนสองคนที่ทอดสายตามองสบประสานกัน

“คุณชเยศ...?”

ไม่รู้ว่ากี่นาทีหลังจากนั้นกว่าที่มนัสจะเอ่ยถ้อยความออกมาได้ และคำเรียกขานที่รวมไปถึงการไถ่ถามอย่างนั้นเองจึงทำให้อีกฝ่ายคลายยิ้ม มนัสเห็นว่าอีกคนลากเก้าอี้ที่วางชิดกับผนังมาอยู่ตรงหน้า หย่อนกายลงนั่งให้ชายหนุ่มได้กดใบหน้าลงเล็กน้อยเพื่อจับจ้อง

คำตอบที่ได้รับไม่ใช่ถ้อยความ แต่เป็นมือกว้างสองมือที่เอื้อมตรงมาหา วางทาบลงบนมือของเขาที่กำหลวมๆ แล้วโอบคลุม กอบกุมให้รู้สึกถึงกรุ่นไอเจือจางของอุณหภูมิร่างกาย

สัมผัสที่เขาคุ้นชินเป็นอย่างดี...ไออุ่นที่ทำให้ได้รู้ว่าบุคคลตรงหน้าคนนี้...ไม่ผิดเพี้ยนไปอย่างแน่นอน

“คุณยังปวดตาอยู่รึเปล่า?”

มนัสกะพริบตาอยู่หลายครั้ง ก่อนปิดเปลือกตาลงนิ่งแล้วค่อยลืมตาขึ้นมาใหม่ ภาพของคนเบื้องหน้ายังคงอยู่ที่เดิม และในตอนนี้เองที่เขาค่อยๆ ละเลียดไล่สายตาจดจ้องทุกองค์ประกอบของโครงหน้านั้นอย่างเงียบเชียบละเอียดลออ

ดวงตาเรียวคมที่มีแพขนตาเรียงเป็นระเบียบ จมูกได้รูปที่ช่วงปลายโด่งรับ ริมฝีปากหยักบางที่ยกมุมเป็นรอยยิ้มราบเรียบ...หากเขาก็กลับมองว่ามันอบอุ่นเหลือเกิน

ทุกสิ่งที่เขามองเห็น หลอมรวมเป็นองค์ประกอบหน้าคมคายอย่างนั้น ที่สุดแล้วจึงทำให้ชายหนุ่มค่อยๆ คลายริมฝีปากเป็นรอยยิ้มเชื่องช้า ก่อนได้กะพริบตาถี่ๆ อีกหนขณะเหลือบดวงตาขึ้นด้านบน แล้วปิดเปลือกตาทับม่านแห่งการมองเห็นเอาไว้นิ่งนาน

มันนานพอที่จะทำให้คนตรงหน้าบีบมือของเขาไว้อย่างปลอบประโลม หัวเราะแผ่วในลำคอแล้วถามเย้าให้เขาได้หัวเราะบ้าง

“หน้าผมเหมือนพี่ช้างบ้างรึเปล่าครับ?”

บ้าจริง...เวลาอย่างนี้ คนๆ นี้ก็ยังนึกจะล้อเลียนเขาได้สบายใจ

มนัสผ่อนลมหายใจเฮือกใหญ่ราวกับเหนื่อยหน่ายเหลือแสน แล้วจึงค่อยขยับกลีบปากเปล่งเสียงทั้งที่ยังไม่ลืมตา “เท่าที่ผมจำได้ ช้างหน้าตาดีกว่านี้เยอะครับ”

“หืม? พูดอย่างนี้ผมควรเสียใจใช่รึเปล่า”

มนัสกัดกลีบปากล่างตัวเองไว้ ก่อนลืมตาขึ้นอีกครั้งเพื่อมองไปยังคนตรงหน้า ถึงแม้ในตอนนี้ดวงตาของเขาที่ฉายภาพจะยังคงมองเห็นได้ไม่ชัดเจน แต่รอยยิ้มอ่อนโยนที่กึ่งทะเล้นร่าเริงอย่างนั้นก็ยังคงเด่นชัดในความรู้สึกของเขา ชายหนุ่มส่ายหน้าเชื่องช้า แสร้งตีหน้านิ่งขัดใจอย่างที่มักจะเป็นในครั้งเริ่มต้นของความสัมพันธ์การพบกัน นั่นยิ่งทำให้รอยยิ้มบนเรียวปากหยักบางกว้างมากขึ้น ก่อนจะเปล่งเสียงหัวเราะออกมาราวกับถูกใจนักหนาที่ได้แกล้งแหย่เขา

แต่จู่ๆ กิริยาทะเล้นก็กลับเปลี่ยนไปกะทันหัน มือที่จับมือของเขาไว้ดึงรั้งให้เข้าใกล้ ก่อนประทับริมฝีปากลงยังข้อนิ้วของเขา ขยับปากเอ่ยคำ...ที่ทำให้ทุกอณูของความรู้สึกกระตุกไหวไม่รู้ตัว

“ผมดีใจที่คุณมองเห็นทุกอย่างแล้ว...โดยเฉพาะผม”

รู้สึกตีบตันในอกขึ้นมาเสียดื้อๆ มันพาลทำให้ดวงตาของเขาร้อนผ่าวราวกับต้องของร้อน มนัสเม้มเรียวปากแน่น ปล่อยให้ชเยศเกลี่ยเรียวนิ้วกับมือของเขาอยู่เช่นนั้นอีกพักหนึ่ง ก่อนที่ชเยศเองจะเป็นฝ่ายขยับลุกขึ้น รั้งเขาเบาๆ ให้หยัดกายขึ้นยืนตาม

“มีอีกอย่างที่คุณน่าจะอยากเห็นแต่ยังไม่ได้เห็น” ชเยศว่าอย่างนั้น “หลับตาก่อนสิครับ ผมจะนำทางคุณเอง คุณเชื่อใจผมใช่ไหม”

ชายหนุ่มพยักหน้ารับทั้งส่งเสียงในลำคอ ก่อนจะยินยอมหลับตาลงตามคำบอกนั้น สองเท้าของเขาค่อยๆ ย่างก้าวอย่างเชื่องช้าตามการชักจูงอย่างทะนุถนอมไปตามพื้นกระเบื้องเย็นเยียบและไม่รู้ทิศทาง หากคนที่เดินถอยหลังขณะที่เขาก้าวไปข้างหน้าเป็นจังหวะเดียวกันนั้นก็ยังทำให้เชื่อมั่นในการก้าวเดิน

เสียงประตูเปิดพร้อมกับลมเย็นยามสายที่โกรกพัดเข้ามาปะทะหน้า มนัสครางต่ำในลำคอก่อนก้าวอย่างระมัดระวังเมื่อชเยศบอกให้ระวังทางต่างระดับ การประคับประคองเอาใจใส่ของอีกฝ่ายยังคงสร้างให้หัวใจของเขาเข้มแข็ง และก้าวอีกเพียงสามก้าว มือกว้างก็ปล่อยออกจากมือของเขาแล้วขยับกายมายืนอยู่เคียงข้างกัน

ไม่สิ...ชเยศยืนอยู่ที่ด้านหลังของเขาต่างหากล่ะ

ใบหน้าคมคายโน้มเข้ามาใกล้ กระซิบแผ่วเบาด้วยเสียงติดทุ้มในลำคอ

“ลืมตาสิครับนัท”

“อือ...”

ชายหนุ่มค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นเพื่อรับกับแสงที่ยังไม่ค่อยจะสู้ทนเท่าไรนัก และเมื่อเปิดเต็มตาแล้ว ก็เป็นอีกครั้งที่เขานิ่งไปอยู่เกือบนาทีกับภาพตรงหน้าที่ได้เห็น

ความรู้สึกหนึ่งบอกให้มนัสพยายามข่มกลั้นก้อนสะอื้นที่จู่ๆ ก็ตีรั้งขึ้นลำคอเอาไว้ ร่างกายของเขาที่คล้ายกับจะหยัดยืนได้ไม่เต็มความสูงก็มีใครอีกคนประคองไว้จากด้านหลัง แผ่นหลังของเขาแนบชิดกับอกอุ่นของชเยศ แขนสองแขนที่ทิ้งข้างลำตัวก็กลับถูกมือกว้างรั้งให้ยกขึ้นแล้วจับวางที่ราวระเบียง

คางได้รูปวางเกยที่ไหล่ลาดของเขา ระบายลมหายใจยาวพลางทอดสายตามองไปยังเบื้องหน้าอย่างที่มนัสมอง

“สวยมากเลยใช่ไหม”

คำถามอย่างนั้น...ที่ทำให้หยดน้ำใสร่วงลงจากดวงตาไม่สู้แสง

มนัสไม่ได้ตอบคำถามใดมากไปกว่าการพยักหน้ารับ ยังคงจับจ้องภาพเบื้องหน้าไม่ยอมผละจาก จังหวะหนึ่งชเยศผละจากตัวเขากลับเข้าห้องไป ก่อนจะกลับมาอีกครั้งพร้อมสัมผัสนุ่มเบาที่แตะลงยังปลายหางตา

“วันนี้สดใสมากเลยนะครับ”

“นั่นสินะครับ”

มนัสตอบกลับอย่างนั้น อดจะอมยิ้มให้การเอาใจใส่ของอีกคนไม่ได้ เขาไม่ได้ตั้งใจให้น้ำตารินไหล แม้จะเป็นหยดน้ำตาที่ไม่ได้มากมายอะไร ถึงอย่างนั้นชเยศก็ยังกลับเข้าไปในห้อง หยิบทิชชูผืนสะอาดเพื่อซับน้ำตาของเขาให้ ชายหนุ่มหันมองสบตากับชเยศครู่หนึ่ง ก่อนจะหันหน้ามองตรงไปอีกครั้ง และเป็นเขาเองที่เอียงศีรษะอิงแนบกับศีรษะของชเยศ

ภาพเบื้องหน้า แม้จะเป็นภาพที่ผู้คนเคยชินที่จะมองเห็นและอยู่กับมันเช่นไร หากสำหรับมนัสแล้วกลับรู้สึกถึงความพิเศษที่ทำให้หัวใจของเขาเบิกบาน

แม้มันจะเป็นเพียงภาพ...ท้องฟ้าผืนกว้าง

ท้องฟ้าที่มีเมฆสีขาวลอยละล่องเป็นรูปร่างที่แตกต่าง แสงแดดเจือจางที่ระบายให้ผืนฟ้านั้นยิ่งสว่างไสว เช่นเดียวกับดวงตาของเขาที่เป็นประกายระยับยามเมื่อจับจ้องมองมัน

ไออุ่นจากคนข้างกายยังคงมีอยู่ และมันทำให้เขาได้รู้ว่า...ถึงเวลาที่เขาจะต้องก้าวต่อไปแล้ว ต่อให้มีเรื่องเลวร้ายเข้ามาในชีวิตมากแค่ไหน หลังจากนี้เขาจะไม่เดียวดาย แน่นอนว่าเขาจะไม่หวาดกลัว

เขาเชื่อมั่นว่าอย่างนั้นนะ

- - - - -

นี่...ชนัต

ครั้งหนึ่งนายเคยดึงฉันให้หลุดจากโลกที่ว่างเปล่า นายทำให้ฉันเรียนรู้ที่จะอยู่กับความเป็นจริง นายทำให้ฉันเข้มแข็ง แต่ความจริงแล้วฉันก็ยังเป็นคนขี้ขลาดขี้กลัวที่ไม่กล้าจะเผชิญความจริงเลยสักนิด ก็แค่แสร้งทำเหมือนสู้ให้นายเห็นไปอย่างนั้นเอง

แต่นายรู้อะไรไหม...ตอนนี้น่ะ ใครบางคนก็ได้ดึงฉันให้หลุดออกมาจากโลกที่มืดมิดแล้วเหมือนกัน

คนเราจะมีความกลัวมากน้อยต่างกันแค่ไหนนะ

ฉันเองในตอนนี้ก็ได้ดึงส่วนลึกของใจที่กลัวที่สุดออกไปแล้วล่ะ

การสูญเสียนายไป ฉันยังรับรู้และจดจำ ฉันเชื่อว่าเชนก็จะเป็นอย่างนั้นเหมือนกัน แต่ฉันก็ขอให้นายเชื่อ...ว่าเราสองคนจะก้าวไปยังทางเดินข้างหน้า มันอาจไม่มั่นคง มันอาจเจอหลุมเจอบ่อมากมาย แต่เชื่อเถอะว่าเราสองคนก็จะยังก้าวตรงไป...จะไม่กลับไปอยู่ในความกลัวอีกต่อไปแล้ว

ฉันจะระลึกไว้เสมอ แม้จะเสียใจมากแค่ไหนกับการที่เห็นนายจากไป

แต่การที่ฉันยังมีชีวิตอยู่ในตอนนี้...ก็ถือเป็นความโชคดีสูงสุดในชีวิตแล้วล่ะ

คนเราจะมีอะไรที่โชคดีไปกว่าการได้เกิดและลืมตาขึ้นมาบนโลกใบนี้ แม้จะต้องพบเจอกับความโหดร้ายหรือสวยงามมากแค่ไหน สุดท้ายแล้วก็แค่ต้องอยู่ต่อไป เพื่อเรียนรู้และรับมือกับสิ่งที่พบเจอใช่รึเปล่าล่ะ

ทั้งฉันและเชนจะเข้มแข็งแล้วก้าวต่อไปเพื่อใช้ชีวิตให้คุ้มค่ากับความโชคดีที่ได้รับมานะชนัต

ฉันจะคิดถึงนาย...

- - -

จบบริบูรณ์