บทที่ 1

กระแสลมพัดโชย ชวนให้แมกไม้สีเขียวเอนไหวลู่ใบไปตามทิศทางของมัน แสงอาทิตย์เจือจางยามเช้าตรู่คล้ายเป็นตัวช่วยปลุกให้ร่างสันทัดตื่นขึ้นจากนิทรา เปลือกตาสีเรื่อกะพริบปริบ เปิดขึ้นเพื่อเผยให้เห็นลูกแก้วฉ่ำหวานที่แฝงเจือด้วยความง่วงงุน

ไม่อยากตื่นเลย...

เสียงนั้นร้องครางอยู่ในใจ หากเขาก็กลับพยุงร่างแสนหนักอึ้งให้ลุกขึ้นนั่ง กลีบปากอิ่มเอิบหากกลับแห้งผากและซีดเซียวอ้าหาวหวอดใหญ่ มือเรียวผอมยกขึ้นสางเส้นผมนุ่ม ก่อนคละเคลื่อนลงตบแก้มตัวเองเบาๆ หมายเรียกสติ

ทว่าท้ายสุดแล้วเขาก็ทนความง่วงไม่ไหว ชายหนุ่มทิ้งกายลงนอนบนเตียงอีกหน หลับตาพริ้มเพื่อเตรียมเข้าสู่ห้วงลึกของการหลับใหล ทว่าบางสิ่งกลับฉุดดึง สร้างให้ร่างผอมสะดุ้งเฮือกแล้วผุดลุกขึ้นโดยพลัน

...ต้นไม้!!

สุดฝันชายหนุ่มวัยยี่สิบสามทิ้งขาลงข้างเตียงอย่างเร่งรีบ หยัดกายขึ้นยืนแล้วก้าวฉับออกไปชานระเบียงแคบๆ ซึ่งมีกระถางต้นไม้เรียงเป็นแถวอยู่บนระแนงไม้เหนือระเบียง ชายหนุ่มไม่รอช้าที่จะคว้าเอาบัวรดน้ำมาไว้ในมือ โค้งตัวลงเปิดก๊อกน้ำที่ติดไว้มุมซ้ายสุดของระเบียง รอจนน้ำเต็มแล้วจึงยืดกายขึ้นอีกครั้ง แขนเรียวยกบัวรดน้ำสีฟ้าสดใสขึ้นสูงหมายรดกลุ่มน้ำลงบนต้นไม้ที่เริ่มแปรใบเป็นสีน้ำตาล

"เอ๊ะ?"

หือ...? ทำไมทั้งใบทั้งดินในกระถางถึงชุ่มชื่นขนาดนี้?

กลีบปากอิ่มเม้มแน่นอย่างครุ่นคิด และในตอนนั้นเองที่เขาเพิ่งระลึกได้ว่าสองเท้าเปล่าของตนเหยียบลงบนพื้นกระเบื้องหยาบที่เปียกชุ่ม ซึ่งหากมองตามความจริงแล้วล่ะก็ ไม่ว่าน้ำค้างจะตกกระทบแรงเพียงใดก็ไม่มีทางทำให้พื้นเปียกอย่างนี้แน่

หรือฝนจะตก?

ความคิดนั้นทำให้วงหน้าได้รูปลอดช่องว่างระหว่างระเบียงกับระแนงไม้เพื่อโผล่พ้นออกนอกเขตระเบียง ดวงตาคู่ใสกวาดมองไปทั่วผืนฟ้าแล้วจึงหลุบต่ำไปยังเบื้องล่างที่ห่างจากห้องของเขาถึงเจ็ดชั้น แต่ถึงอย่างนั้นชายหนุ่มก็ไม่เห็นวี่แววของพื้นที่ควรจะชุ่มชื่นเลยสักนิด

หรือจะเป็นเพื่อนบ้านใจดีรดน้ำต้นไม้ให้?

หื้ม!? สุดฝันส่ายศีรษะพลางคลี่กลีบปากวาดเป็นรอยยิ้ม ก่อนส่งเสียงหัวเราะอย่างนึกขันในความคิดของตน อย่างเดวิดหนุ่มอเมริกันเพื่อนร่วมอพาร์ทเม้นท์และอยู่ข้างห้องเนี่ยน่ะหรือจะช่วยเขา แม้แต่มองหน้าหรือทักทายกันก็ยังแทบจะไม่ทำเลยด้วยซ้ำ

หรือว่าห้องอีกข้าง?

ครืด...

ไม่ทันให้ได้คิดตัดสินใจไปเอง เสียงประตูระเบียงของห้องข้างๆ ก็ดังขึ้น สุดฝันเห็นร่างเพียงเลือนรางผ่านดวงตาคู่โตที่จ้องไม่ลดละ ก่อนเขาจะสังเกตเห็นว่าที่ระแนงไม้ของข้างห้องที่เขาจำได้ดีว่ามันเคยว่างเปล่า บัดนี้กลับมีดอกไม้ดอกเล็กปลูกเรียงรายหลายกระถาง

นั่นทำให้ชายหนุ่มคิดและเข้าใจว่าต้องเป็นคนข้างห้องนี่แน่ๆ

แม้จะไม่รู้ก็เถอะว่าเขาคือใคร

“อ๊ะ! คุณครับ...” สุดฝันส่งเสียงเรียกในทันที พยายามจะชะโงกหน้าให้พ้นเขตอิฐที่ก่อขึ้นปิดกั้นเขตแดนก็พาลให้อารมณ์เสีย ด้วยไม่ว่ายังไงเขาก็ไม่สามารถโผล่หน้าพ้นเขตแดนได้ ไม่ว่าจะเป็นเพราะอิฐเรียงสูงหรือระแนงกระถางต้นไม้ของสองห้องที่แทบจะเบียดชิดชนกันนี่ก็เถอะ

ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังเห็นว่าคนข้างห้องหยุดนิ่งไม่ไหวติง ราวกับกำลังรอรับฟังคำเอ่ยของเขาอย่างเงียบเชียบ เพราะอย่างนั้นแล้วสุดฝันคลายยิ้ม เอ่ยด้วยกระแสเสียงทุ้มนุ่มแสนเป็นมิตรต่อประโยคที่ค้างคา

“รดน้ำต้นไม้ให้...ขอบคุณมากนะครับ”

แว่วเสียงทุ้มคล้ายหัวเราะจะตามมา ก่อนร่างของใครสักคนที่มองเห็นไม่ชัดเจนจะหายเข้าไปในห้อง พร้อมกับเสียงประตูที่ดังครืดและเงียบไป

เมื่อความเงียบงันโอบล้อมพร้อมสายลมยามเช้าที่พัดผ่านเรือนกายผอมบาง ชายหนุ่มที่ก่อนนี้เคยกระตือรือร้นกับบรรดาต้นไม้ในกระถางก็กลับง่วงงุนอีกหน สุดฝันอ้าปากหาว หาวซะจนหยดน้ำใสเล็ดที่ปลายหางตาให้เคลื่อนมือขยี้เช็ด สองเท้าเหยียบเช็ดกับพรมทรงวงกลมสีน้ำเงินหม่นอย่างไม่ใคร่จะใส่ใจให้เท้าตนแห้งสนิทนัก ก่อนเขย่งเดินแล้วทิ้งตัวลงบนเตียงผืนเล็กในทันที

คนขี้เกียจไม่อาจทนกับความง่วงที่กัดกินทุกส่วนของความรู้สึกได้ เพราะอย่างนั้นแล้วพอศีรษะทุยวางทับบนหมอนใบนุ่มปุ๊บและดึงผ้าห่มขึ้นคลุมร่างปั๊บ ลมหายใจก็ส่งเข้าออกสม่ำเสมอพร้อมดวงตาที่ปิดพริ้มในทันที

อรุณสวัสดิ์เช้าวันใหม่ และราตรีสวัสดิ์นะคุณดวงอาทิตย์ ไว้เราค่อยพบกันอีกครั้งช่วงเที่ยงนะ!

*

สุดฝันโดนปลุกให้ตื่นขึ้นอย่างขัดเคืองหัวใจนัก

ทั้งๆ ที่รู้สึกว่าเพิ่งหลับได้ไม่นานเท่าไหร่ โทรศัพท์เครื่องสวยก็กลับแผดร้องดังขึ้นราวกับมีไฟลุกไหม้ที่ไหนแถวๆ นี้ หากความจริงแล้วมันกลับเป็นเพียงเสียงเพลงเรียกเข้าที่เขาเลือกมันเอง แต่มันก็กลับทำให้ชายหนุ่มหงุดหงิดใจได้ทุกครั้งที่มันแผดร้องไม่หยุดหย่อนในยามที่เขาเข้าสู่ภวังค์ที่ว่างเปล่า

มือเรียวคว้าหยิบโทรศัพท์ที่ทั้งส่งเสียงและสั่นครืด พอเห็นหน้าตาของใครบางคนปรากฏพร้อมชื่อบนหน้าจอ สุดฝันก็ทิ้งลมหายใจ กดตัดสายโดยไม่ต้องคิดแล้วทำท่าจะนอนต่อ ทว่าปลายทางกลับไม่ให้เป็นเช่นนั้น เสียงเรียกเข้าดังขึ้นอีกหน ราวกับระฆังที่ตีก้องสนั่นหู

“โว้ย! ฮัลโหล!!”

ในที่สุดสุดฝันก็กดรับพร้อมแผดเสียงที่ดังไม่แพ้เสียงเรียกเข้า หากปลายสายกลับนิ่งไปเพียงเสี้ยววินาทีก่อนปล่อยเสียงหัวเราะอย่างขบขัน [อย่าบอกนะว่าแกยังไม่ตื่น ไอ้ชาย]

“คิดว่าไงล่ะ!?”

ชายหนุ่มย้อนกลับอย่างเสียอารมณ์ คิ้วเรียวเข้มขมวดเป็นปมยุ่งเหยิง หากนั่นก็ไม่ได้ขับให้ดวงหน้าได้รูปดูหมองหม่นหรือน่ากลัวแม้แต่น้อย สุดฝันขยับกายขึ้นนั่ง ถอนลมหายใจหนักหน่วงอีกหนึ่งหนให้ปลายสายได้รู้ว่าเขาเคืองกันขนาดไหน

[เอาน่า ใครจะไปรู้วะว่ายังไม่ตื่น นี่มันบ่ายสามแล้วนะครับคุณเพื่อน]

ห๊ะ!? “ก...แกว่ากี่โมงแล้วนะ!?”

[บ่ายสามบวกให้อีกสิบสามนาที โอเค ทีนี้ตื่นรึยัง?]

ตื่นเต็มตาเลยล่ะปัดโถ่! สุดฝันอยากจะบ้าตายนัก! ใช่ว่าเขาว่างงานจนนอนได้ตะวันเลียผิวขนาดนี้หรอกนะ ก็จำได้ว่าเมื่อเช้าเขากะจะนอนอีกสักงีบแล้วค่อยตื่นขึ้นมาสักเที่ยงนี่นา นั่นเพราะสุดฝันระลึกได้ดีว่างานที่กองเต็มบนโต๊ะไม้ที่ทำเป็นโต๊ะทำงานนั่นน่ะล้นจนอกเขาแทบแตกตายอยู่แล้ว!

“โทรมามี’ไร”

เสียงห้วนบ่งบอกถึงความหงุดหงิด เขาลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แต่แทนที่จะเลี้ยวเข้าห้องน้ำเพื่อล้างหน้าล้างตาเรียกความสดชื่น ก็กลับก้าวตรงไปยังระเบียงที่เปิดประตูทิ้งไว้ ทันทีที่ก้าวเท้าเหยียบลงบนกระเบื้องพื้นหยาบ ลมร้อนก็ปะทะใส่ร่าง หากความสดชื่นของมวลใบไม้และดอกไม้ของห้องข้างๆ ก็กลับทำให้ความร้อนนั้นเหือดหายไปเป็นสดชื่น

[แกสรุปสถานที่จัดงานเลี้ยงแล้วรึยัง]

“ยั๊ง~ ฉันจะทำอะไรเสร็จได้ไง ก็เล่นตื่นสายขนาดนี้”

พลันอารมณ์ขุ่นมัวก็กลับเจือหาย สุดฝันยกมือซ้ายขึ้นแตะกลีบใบสีเขียวแล้วยกยิ้ม ตอบคำถามเพื่อนร่วมงานที่เหมารวมเป็นเพื่อนสนิทด้วยเสียงติดจะกลั้วหัวเราะ นั่นจึงทำให้ปลายสายบ่นยาวยืดจนเขานึกว่าโทรศัพท์จะไหม้

แต่ก็นั่นแหละ...ตอนนี้สุดฝันอารมณ์ดีแล้ว ต่อให้เพื่อนของเขาดุด่าว่ากล่าวมากแค่ไหนก็บ่ยั่น

“ไว้ฉันจะรีบสรุปแล้วส่งเข้าเมลให้ ไม่เกิน...เที่ยงคืนคืนนี้!”

[เที่ยงคืน!? นี่แกล้อเล่นกับฉันใช่ไหม ลูกค้าจะขอดูรายละเอียดสถานที่วันนี้นะ แกนี่มัน...]

“ฉันรู้แล้วๆ โถ่ท่านเมฆครับ กระผมล้อเล่นเท่านั้น”

ได้รับเสียงบ่นอีกยาวเหยียดจากเมฆ ก่อนสายจะตัดไปเมื่อปลายสายสะสางธุระทั้งหมดเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทั้งยังกระแนะกระแหน ประชดประชันด้วยการไล่เขาไปนอนอีกสักตื่นซะด้วยแน่ะ แหม...อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลย สุดฝันก็เกือบจะทำตามที่เพื่อนแนะนำแล้วเชียว หากว่าสายตาจะไม่เหลียวไปเห็นกองงานบนโต๊ะเข้าเสียก่อน

กระนั้นชายหนุ่มก็ยังไม่มีอารมณ์จะทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันในตอนนี้หรอก สองแขนเท้าลงกับขอบระเบียง ซบหน้าผากลงกับระแนงไม้ที่สูงเทียบเท่ากับดวงหน้าได้รูปพอดีเป๊ะ จากนั้นไม่ว่าจะด้วยลมที่โชยพัดหรือกลิ่นของใบไม้ที่ติดปลายจมูกก็ตามที กลีบปากที่เคยเผยอเล็กน้อยกลับอ้ากว้างมากขึ้น แล้วเสียงทุ้มก็เปล่งเป็นท่วงทำนองบทเพลงฟังสบายที่ไม่ว่าจะผ่านมากี่ปีก็ยังฮอตฮิตติดใจเขาอยู่ดี

และในตอนที่ดื่มด่ำกับเสียงเพลงที่เกิดจากตนเองอยู่นั้น สุดฝันจึงไม่ได้ใส่ใจจะรับรู้เลยสักนิดว่าเจ้าของห้องซ้ายหรือขวาที่เปิดประตูระเบียงจนเกิดเสียง

“...หืม?”

ทว่าในช่วงจังหวะที่ยังคงร้องเพลงอย่างเอื่อยเฉื่อย เสียงกีตาร์โปร่งก็ดังขึ้นเป็นจังหวะที่หากลองเงี่ยหูฟังดีๆ ก็ให้รู้ว่านั่นคือทำนองเพลงที่เขากำลังร้อง

สุดฝันเหลียวซ้ายแลขวา ก่อนจะพบร่างเลือนรางของเจ้าของห้องฝั่งซ้าย พอลองมองดูภาพที่ไม่ชัดเจนนั้นก็ให้มั่นใจว่าคงเป็นคนเดียวกับที่รดน้ำต้นไม้เผื่อเขาเมื่อเช้าเป็นแน่

ชายหนุ่ม(?)เจ้าของห้องมีกีตาร์โปร่งวางอยู่บนตัก ดูท่าว่าท่วงทำนองนั้นจะบรรเลงคลอสายลมโชยเอื่อยไปเรื่อยๆ เสียงของเส้นสายที่ประกอบรวมเป็นกีตาร์นั้นสร้างให้รู้สึกสบายใจ อีกทั้งจังหวะการขยับปลายนิ้วที่ทำให้ท่วงทำนองก็ช่างก่อให้เกิดเสียงละมุนละไมชวนฝันมากจริงๆ

นั่นทำให้ชายหนุ่มที่อู้งานมาตั้งแต่เช้าก้าวถอยหลังไปจนถึงแนวประตู สุดฝันหย่อนกายลงนั่ง เอนทั้งกายและศีรษะให้พิงกับกรอบประตู เปลือกตาสีเรื่อปิดลงเพื่อปิดกั้นการมองเห็น และนั่นยิ่งทำให้เสียงนุ่มนวลแสนสบายของกีตาร์โปร่งชวนให้หัวใจที่สงบอยู่แล้วยิ่งสงบไปกันใหญ่

และใช้เวลาไม่นานเท่าไรนัก...เสียงกีตาร์ก็ค่อยๆ เบาบางเจือจาง และเงียบไปในที่สุดพร้อมสติของคนที่พิงกรอบประตูที่หลับไป

To be continued