Missing Pieces

บทที่ 6 : The Relation

แสงแดดส่องลอดผ่านบานหน้าต่างไม้หลายบานที่เปิดแง้มของห้องเรียน แต่สภาพห้องในยามเช้าก็ยังค่อนข้างมืดและเงียบเหงาอยู่ดีแม้จะเปิดไฟแล้ว อาจเพราะท้องฟ้าวันนี้ค่อนข้างมืดครึ้ม


วรินนั่งเท้าคางฟังเพลงจากหูฟังแบบอินเอียร์สีขาว ไม่มีงานค้างที่ต้องทำ ไม่จำเป็นต้องอ่านหนังสือสอบ เมื่อไม่มีการสอบย่อยใดในช่วงนี้ ตอนนี้เธอจึงว่าง


และบางครั้งเสียงพูดคุยจากคนที่มาถึงแล้วเพียงไม่ถึงสิบคนในห้องก็สร้างความน่ารำคาญได้เป็นอย่างดีทีเดียว


วรินฟังเพลงที่ใช้ออดิชั่นเพียงรอบเดียวแล้วจึงเปลี่ยนเป็นเพลงโปรดของตัวเองแทน สำหรับเธอแล้วช่วงเวลานี้ควรมีไว้พักผ่อน ขณะที่เธอก็เชื่อว่าทำหน้าที่ร้องนำได้เกือบจะสมบูรณ์แบบแล้วจึงไม่จำเป็นต้องเอาเรื่องจริงจังมาคิดในเวลาแบบนี้


ขณะที่ก้มหน้ากดโทรศัพท์เปลี่ยนเพลงนั้น จู่ ๆ เสียงพูดคุยก็ดังกว่าปกติขึ้นมา รับรู้จากหางตาได้ว่ามีใครบางคนเดินผ่านประตูเข้ามาใหม่


เมื่อเงยหน้ามองก็สัมผัสได้ว่าความน่ารำคาญเพิ่มขึ้นจากเดิมมาเกือบเท่าตัว


ฟรองซ์ส่งยิ้มให้เพื่อนเธอที่นั่งอยู่คนละฟากห้อง นัยน์ตาสีดำเจ้าเล่ห์จนคล้ายว่ามีแววท้าทายอยู่ตลอดเวลานั้น ไม่ว่าอย่างไรเธอก็ไม่เคยนึกชอบได้ อย่าว่าแต่เธอไม่ชอบผู้ชายนิสัยเจ้าชู้แบบนั้นอยู่แล้ว


จะว่าเจ้าชู้หรือเปล่าเธอเองก็ไม่มั่นใจ ทว่าเด็กหนุ่มรุ่นพี่คนนั้นดูคุยกับทุกคนไปทั่วโดยไม่คิดจริงจังกับใคร แต่หลายครั้งเธอมักเห็นเขาอยู่คนเดียวเสมอ เหมือนจงใจปลีกวิเวกมาหามุมสงบด้วยตนเองเสียมากกว่าจะเป็นเพราะไม่มีเพื่อนอยู่ด้วย วรินก็ไม่ได้สนใจสังเกตเขานัก เพียงแค่เพราะห้องเรียนอยู่ชั้นเดียวกัน ก็เลยมีโอกาสได้เห็นบ่อย ๆ เท่านั้น


อารมณ์สุนทรีย์ของเธอถูกทำลายลงเมื่อเด็กหนุ่มผมยาวคนนั้นเดินมาหา ส่งยิ้มทักทาย ยกมือขึ้นข้างหนึ่ง “เฮ้ วริน”


ที่หนักกว่านั้นคือเพื่อนร่วมห้องเธอมองตามเขามาด้วย ก็ใช่ว่าจะสร้างปัญหาใหญ่ให้เธออะไรนักหรอก แต่ก็เป็นความรู้สึกที่น่ารำคาญอยู่ดีนั่นแหละ ยิ่งถ้าต้องตอบคำถามไร้สาระเกี่ยวกับคน ๆ นี้ด้วยแล้วล่ะก็


นักร้องสาวกลอกตาก่อนเพียงยกมือตอบโดยไม่พูดอะไร


“ว่างมั้ย ขอเวลาหน่อยสิ”ร่างกำยำหยุดอยู่ตรงหน้าโต๊ะพร้อมโน้มตัวมาข้างหน้า แววตาจริงจังขึ้นกว่าเดิมบ้าง เธอนึกสงสัยอยู่ในใจว่าท่าทางเหล่านี้มันเป็นธรรมชาติของอีกฝ่ายหรือเป็นความจงใจในการตีสนิทผู้หญิงกันแน่


“อะไร”วรินถามเสียงห้วน แต่ก็คิดว่าไม่ได้ไม่สุภาพอะไร


“เรื่องดาร์ติฟิเซ่น่ะ”ออกเสียงชื่อวงด้วยสำเนียงถูกต้องที่ฟัง ๆ ไปก็เพราะดี “เธอก็คิดอยู่ใช่มั้ยล่ะว่ามันยังไม่โอเค อยากมาถามว่าฉันต้องเล่นยังไง”


วรินนิ่งไปชั่วครู่โดยไม่ละสายตา ปลายนิ้วชี้ขยับเคาะโต๊ะเบา ๆ โดยไม่เกิดเสียง


“ออดิชั่นรอบแรกยังไงก็ผ่าน”


“แต่เธอยังไม่พอใจใช่มั้ยล่ะ”ฟรองซ์สวนทันทีโดยไม่ลังเล เธอเกลียดสายตาที่มีแววท้าทายแม้มันจะฉาบอยู่ในนัยน์ตาคู่นั้นจนดูเป็นเอกลักษณ์ส่วนตัว มากพอ ๆ กับที่เกลียดคำพูดที่เหมือนว่ารู้จักเธอนัก ทั้งที่ประโยคนั้นก็เป็นความจริง


“สิ่งสำคัญอย่างนึงคือตอนซ้อมต้องมีสมาธิ ปิดมือถือไปได้ไหม” ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะมีธุระอะไรมากมายนักหรือเป็นสายจากบรรดาผู้หญิงที่หลงใหลในตัวเขากันแน่ ถึงได้มีคนโทรเข้ามาบ่อย ๆ และเหมือนว่าเขาเองก็หงุดหงิดเช่นกัน “ส่วนเรื่องพาร์ทดนตรี เพิ่งเริ่มเล่นก็ยังไม่ต้องใส่เทคนิคอะไรมากนัก เล่นปกติให้มันเป๊ะก่อน”


วรินถอดหูฟังข้างหนึ่งยื่นให้อีกฝ่ายที่รับไปพร้อมรอยยิ้มมุมปาก เธอหันไปกดเปลี่ยนเพลงโดยไม่ใส่ใจต่อรอยยิ้มนั้น “ฟังนะ จะเตือนว่าท่อนไหนที่ต้องระวัง แล้วก็ตรงไหนที่น่าจะใส่เทคนิคเข้าไปได้ ที่สำคัญ เบสต้องไม่ขัดกับกลอง ความจริงจังหวะนัทก็ยังรวน ๆ อยู่...”


แม้นัยน์ตาสีดำคู่นั้นจะจ้องมาที่เธอตลอดเวลา ทว่าเธอก็รู้สึกได้ว่าเขากำลังตั้งใจฟังเพลง โดยเฉพาะเสียงเบสที่เหมือนหลบซ่อนอยู่ในดนตรีอื่นจนต้องตั้งใจมองหาเป็นพิเศษ


การที่ฟรองซ์เข้ามาขอคำวิจารณ์แบบนี้ก็เป็นเรื่องดีสำหรับเธอ วรินสามารถพูดตรง ๆ ออกไปได้โดยไม่ต้องหาวิธีพูดให้อ่อนโยนขึ้น ขณะที่คินดูลังเลอะไรสักอย่างอยู่เสมอ สายตาของคน ๆ นั้นมักมองไปที่อัญ และบางทีอาจทุ่มสมาธิไปกับการฟังเสียงกีตาร์ของเธอเพียงคนเดียว คล้ายกับว่ากำลังเฝ้ารอทำนองพิเศษ ซึ่งพอมือกีตาร์สาวไม่ได้ตอบสนองความต้องการนั้น ตัวโน๊ตของเขาแม้ค่อนข้างจะเล่นได้ถูกต้องทว่าก็เหมือนเป็นเพียงเสียงครึ่ง ๆ กลาง ๆ


เวลาวรินหันไปมอง คินคล้ายว่าลำบากใจ แม้เขาจะค่อนข้างปกปิดมันไว้ด้วยท่าทางนิ่งเงียบ ทว่าเธอก็คุ้นเคยกับการอ่านท่าทางของคนเป็นอย่างดี ไม่ใช่ว่าเขาเป็นพวกรับคำวิจารณ์ไม่ได้ ก็แค่อาจกลัวว่าจะเล่นพลาดจนเธอโกรธล่ะมั้ง


ระหว่างที่คิดแบบนั้น ฟรองซ์ก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “เสียงวรินเหมาะกับเพลงนี้จริง ๆ นะ really well”


“แน่ล่ะ”เธอยิ้มตอบเล็กน้อย




ช่วงสิบนาทีสุดท้ายของพักกลางวันก่อนเริ่มเรียนคาบถัดไป


วรินอดกลอกตาไม่ได้เมื่อเห็นหัวหน้าวงของตัวเองเดินผ่านประตูห้องไปเป็นรอบที่สามแล้ว เขาคิดว่าไม่มีใครเห็นหรือไงนะ โดยเฉพาะเมื่อผ่านห้องของสมาชิกในวง มือกีตาร์หนุ่มก็ชะลอฝีเท้าช้าลงพร้อมมองเข้าไปในห้องเสมอ สายตาสบเข้ากับใครบางคนในแต่ละห้อง ทว่าคนรู้จักของเขาไม่รู้ตัวเลยสักนิด...นั่นเป็นสิ่งที่คินรู้สึก แต่ความจริงวรินเพียงจงใจหลบสายตาเท่านั้น


เขาเห็นนัทพูดคุยเสียงดังอยู่กับเพื่อนกลุ่มใหญ่ ขณะที่อัญสวมหูฟังเหมือนไม่รับรู้เสียงใด ทว่าหลายครั้งที่เธอโต้ตอบบทสนทนาคนรอบตัวเสมอ


ตอนแรกก็ไม่ได้ตั้งใจจะมาหาสักเท่าไหร่ แต่ก็เป็นทางผ่านไปส่งงานที่ห้องพักครูเหมือนกัน แม้จะเดินอ้อมไปสักหน่อย ทว่าคินก็เลือกผ่านมาโดยไม่มีเหตุผลใด พอจะกลับห้องเรียนตัวเองก็วนย้อนมาอีกรอบ


พอคิดว่าจะทักทายสักหน่อย แต่พอรู้สึกตัวว่ามันไร้เหตุผลสิ้นดี เด็กหนุ่มก็สะบัดความคิดนั้นทิ้งแล้วเดินผ่านเลยไป


จนถึงสุดปลายทางเดินอีกฝั่ง ก่อนจะย่างเท้าขึ้นบันไดไปสู่ห้องเรียนของตัวเองสักที ร่างสูงก็เกิดลังเลขึ้นมาอีก


...วันนี้เป็นวันเกิดอัญ


ข้อมูลพื้นฐานของแต่ละคนต่างก็หาได้ง่ายตามเฟสบุ๊คหรือโซเชียลเน็ตเวิร์คอื่น สำหรับเขา การจำสิ่งเหล่านั้นไว้ ทำให้การเข้าหาคนอื่นง่ายดายขึ้น มันอาจเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยที่ไม่มีความสลักสำคัญและถูกมองข้ามไป ทว่าเพียงการกระทำเล็กน้อย สำหรับคนบางคนก็อาจสร้างความรู้สึกดี ๆ ขึ้นมาได้


“ไม่ทราบว่าคุณพี่จะเดินวนอีกนานมั้ยครับ”เสียงที่เริ่มคุ้นหูดังมาจากเด็กหนุ่มผมยาวที่ยืนกอดอกพิงขอบประตูห้องเรียนพร้อมยักคิ้วให้เป็นเชิงหยอก


“...เปล่า”คินนิ่งไปชั่วครู่ หันหลังกลับจากบันไดมายืนอยู่ต่อหน้าฟรองซ์ที่ยกมือถอดหูฟังออกข้างหนึ่ง


“มีอะไรจะพูดรึเปล่า เรื่องวง? ถ้ามีก็บอกได้เลยนะ โอเค้?”


ไม่ทันที่คนเป็นรุ่นพี่จะได้ตอบอะไร อีกฝ่ายก็โน้มตัวมาใกล้พร้อมขยับรอยยิ้มท้าทาย


“แต่ฉันว่าที่นายลังเลอยู่คงไม่ใช่เรื่องวง ใช่มั้ย”


พอสบเข้ากับนัยน์ตาสีดำคมกริบที่เหมือนจะมองทะลุผ่านถึงภายในได้ เขาก็ได้แต่หันหน้าหลบไปทางอื่น “เปล่า กำลังจะกลับห้องแล้ว”


“รู้มั้ยคิน ผู้ชายตะวันตก ถ้าสนใจใครก็เข้าไปคุยเลยแบบแมน ๆ ตรง ๆ ชวนเดท แล้วถ้าโอเคกันทั้งคู่ก็คบกัน ง่าย แฟร์ดีออก” สายตาของมือเบสเลื่อนจากคินไปอีกทางแล้วกลับมาสบตาดังเดิม “แต่อีกสักพักก็คงผ่านมาทางนี้แล้วล่ะ แต่เวลาพักก็ใกล้หมดแล้วนะ”


คินหันไปมองด้านข้างทันที นักเรียนกลุ่มใหญ่สะพายเป้เดินมาทางพวกเขา คงกำลังเดินไปเรียนที่ห้องอื่นทุกคาบของช่วงบ่าย ทว่าไม่มีคนที่เขารู้จักอยู่ในนั้น


ฟรองซ์โบกมือทักทายกลุ่มเด็กสาวด้วยความคุ้นเคย ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่สนใจเขาแล้ว คินจึงถอยออกมา


บนทางเดินที่ดูโล่งขึ้นเพราะคนเริ่มทยอยกลับห้องไม่ก็เดินลงจากชั้นไปที่อื่นแล้ว นัทยืนอยู่หน้าห้องเรียนของตัวเองตะโกนเร่งข้างใน


“เจ้ เร็วดิ คนอื่นไปกันหมดแล้ว”ว่าจบก็หันมามองทางเขา สบตาเข้าด้วยกันพอดี มือกลองสาวยิ้มกว้างร้องทักอย่างร่าเริง “อ้าวพี่คิน”


คินยิ้มตอบ สาวเท้าเดินไปหาอีกฝ่าย ดูเหมือนห้องเรียนตอนนี้จะไม่เหลือใครแล้วนอกจากอัญ


“กำลังจะไปไหน ไม่ไปเรียนเหรอ”เด็กสาวผมประบ่าถาม


“กำลังจะกลับห้อง”


ทั้งสองเงียบลงพร้อมกันทั้งคู่ ทว่ามือกลองสาวยังคงไม่ละสายตาไปไหน จนคินเผลอเป็นฝ่ายหลบเอง แล้วเธอก็หัวเราะออกมา “พี่คินขี้อายเนอะ นี่นัทเป็นรุ่นน้องนะ กลัวสายตานัทเหรอ”


“เปล่า แค่ไม่ชิน”คินตอบ “วันนี้วันเกิดอัญใช่มั้ย”


“ใช่ ๆ  วันนี้เจ้คงไม่ไปซ้อมหรอกมั้ง หรือไม่ก็ซ้อมแปปเดียว กลุ่มเพื่อนเจ้คงจองตัวพาไปฉลองกัน”


“ทำไมถึงเรียกอัญว่าเจ้เหรอ”


“เพราะเจ้... อัญดูเป็นผู้ใหญ่มั้ง เป็นรองหัวหน้าห้อง ทำกิจกรรมหลายอย่าง บางทีก็ขี้บ่น แต่ขอเตือนพี่คินไว้ก่อนเลย พี่ยังไม่สนิทกับมันพอ”นัทหัวเราะพร้อมเหลือบมองเข้าไปในห้อง อัญที่กำลังกวาดพื้นปราศจากสีหน้าใด


“ไปกันเถอะพี่”จู่ ๆ มือกลองสาวก็คว้าข้อมือเขา สายตาดูแน่วแน่ขึ้นมา


“ไปไหน”ถึงจะถามไปแบบนั้น แต่เขาก็ปล่อยตัวไปตามแรงฉุดจากคนเป็นรุ่นน้องที่นำเข้าไปในห้องเรียน ก่อนจะร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ธเดย์เสียงดัง คินจึงปรบมือประกอบจังหวะเบา ๆ


วรินที่นั่งอยู่ในห้องข้าง ๆ ที่เต็มไปด้วยเสียงจอแจก็ยังได้ยินเสียงเพลงนั้น เธอจึงนึกขึ้นได้ว่าเป็นวันเกิดของอัญ เธอคิดว่าคงต้องหาโอกาสไปอวยพรเสียหน่อย ยังไงสำหรับในวงนี้แล้ว อัญก็เป็นคนที่เธอพูดคุยอย่างสนิทใจที่สุด


แต่เธอก็อดสงสัยขึ้นมาไม่ได้ว่าทำไมคินถึงได้อยากเข้าหาอัญแบบนั้น เป็นเพียงความต้องการจะสนิทในฐานะเพื่อนร่วมวง หรือมีสิ่งใดนอกจากนั้น?


คินทำกิจกรรมหลายอย่าง และดูเหมือนเป็นหนึ่งในคนที่มีเพื่อนเยอะมากทีเดียว ทว่าสำหรับเธอแล้ว เขาแทบจะกลืนหายไปในฝูงชน ก่อนหน้าวรินจะรู้จักเขา เธอไม่เคยรู้เลยว่าเขามีตัวตนอยู่บนโลก ทว่าหลังจากนั้นเธอจึงเพิ่งรู้สึกว่าเขาปรากฏตัวในหลาย ๆ ที่ และบรรดาคนรู้จักของเธอก็รู้จักเขา


คนแบบนั้นจะตั้งใจเข้าหาใครสักคนจริง ๆ ด้วยเหตุผลใด แล้วไม่รู้ว่าไปสนิทกับนัทมากขึ้นตั้งแต่ตอนไหน


แต่นั่นก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเธอนี่นะ ถึงจะรู้สึกอยู่ลึก ๆ ว่าอนาคตอาจจะมีปัญหาอะไรบางอย่างขึ้นมาก็เถอะ ทว่าก็ยังเป็นแค่ลางสังหรณ์เท่านั้น


วรินเหลือบมองนาฬิกา เพียงอึดใจเดียวอาจารย์ประจำวิชาก็เดินเข้ามา นักร้องสาวสลัดความคิดในหัวทิ้งไป






อัญเงยหน้ามองแวบหนึ่งโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าก่อนจะกวาดพื้นต่อ


“ไม้กวาดก็ไม่ได้มีอันเดียวนะนัท”แม้มือกีตาร์สาวจะพูดแบบนั้นด้วยน้ำเสียงดุ แต่คล้ายว่าริมฝีปากอวบอิ่มจะขยับยิ้มเล็ก ๆ คินอดยิ้มให้ทั้งคู่ไม่ได้ ถึงจะไม่มีใครมองเขาอยู่


ทว่านัทไม่ต้องช่วยอะไรตอนนี้ห้องก็สะอาดเรียบร้อยดีแล้ว รองหัวหน้าห้องสาวเอาไม้กวาดไปเก็บแล้วสะพายกระเป๋า เตรียมจากไป นัทเห็นดังนั้นจึงหันมาบอกลา


“อัญ”คินเรียกไว้ก่อนที่พวกเธอจะจากไป เพิ่งรู้สึกตัวว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาเรียกเธอชัด ๆ แบบนี้ “สุขสันต์วันเกิด”


เป็นแค่ถ้อยคำเรียบง่าย ไม่มีของขวัญเพราะไม่รู้จะให้อะไร ไม่มีคำอวยพรเพราะมันดูเหมือนกันไปหมด แม้คำที่เอ่ยออกไปก็ไม่แตกต่างอะไรก็เถอะ


อัญส่งยิ้มมาให้ “ของขวัญขอเป็นผ่านออดิชั่นวงนะ