1. SistaCafe
  2. ปักหมุดลายแทง “ 8 Photo Spots ถ่ายรูปกรุงเทพฯ สวย เหมือนบล็อกเกอร์มาเอง ” วันเดียวเที่ยวเมืองกรุง #ได้รูปดีย์มากกก


กรุงเทพมหานคร

ในสายตาชาวต่างชาติ ถือเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์ และอาจพูดได้ว่าเป็น destination ที่นักเดินทางทั่วโลกอยากแวะมาเยือนสักครั้งในชีวิต

ทั้งวัดวาอาราม , สถาปัตยกรรมวิจิตรตระการตา , Street food เลื่องชื่อ รวมไปถึงวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ที่มีเอกลักษณ์


จริงๆ แล้วความเป็น"ไทย"นั้น"เท่"อย่าบอกใครเชียวล่ะ



แต่ด้วยความที่เราเป็นคนไทย เติบโตมากับอะไรไทยๆ อาจจะไม่ค่อยตื่นตาตื่นใจกับความสวยงามของบ้านเราเท่าไรนัก

วันนี้เราเลยอยากจะชวนเพื่อนๆ มาลองมองเมืองไทยในมุมใหม่ กับทริป 1 วัน ชวนไปสำรวจกรุงเทพฯ ด้วยกัน!


งานนี้เราจะพาไปตามล่าพิกัดถ่ายรูปสวยแบบUnseen Thailandให้พวกเธอมีรูปอัพลง IG ปังๆ ประหนึ่งบล็อกเกอร์มาเที่ยวเอง!



เดี๋ยวจะหาว่าหลอกดาว

รูปปังขนาดนี้สงสัยถ่ายด้วยกล้องโปรฯ แน่ๆ

แต่ผิดค่ะ! เพราะทริปนี้มาแค่ตัวกับใจและมือถือVivo Y19เครื่องเดียว จบ!

ฉันถ่ายได้เธอก็ต้องถ่ายได้เหมือนกันจ้า ( บอกแล้วไงว่าจะพาไปมองกรุงเทพฯ มุมใหม่ๆ ด้วยกัน ) แอคท่ารอไว้ให้พร้อม แล้วตามเราไปลุยกันกับทริป



ปักหมุดลายแทง“8 Photo Spots ถ่ายรูปกรุงเทพฯ สวย เหมือนบล็อกเกอร์มาเอง”วันเดียว ..เที่ยวเมืองกรุง#ได้รูปดีย์มากกก


คำเตือน :โปรดโบกกันแดดให้แน่นเพียงพอต่อความเร้าร้อนของแดดเมืองไทยด้วยค่ะคุ้นนนนนน ( ^O^ )


| 1. วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร |

เริ่มจุดหมายแรกกันที่

วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร

หรือเราเรียกกันสั้นๆ ว่า วัดอรุณฯ เป็นอีกหนึ่งวัดไทยเก่าแก่ที่มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ชาวต่างชาติให้ฉายาวัดแห่งนี้ว่า

Temple of Dawn หรือวัดแห่งรุ่งอรุณฯ

จุดไฮไลท์ของ วัดอรุณฯ ที่เราจะพาเพื่อนๆ ไปถ่ายรูปด้วยกันในวันนี้ก็คือ พระปรางค์ใหญ่วัดอรุณฯ นั่นเองค่ะ



พระปรางค์ใหญ่วัดอรุณฯ

เรียกว่าเป็นศิลปะโบราณที่โดดเด่นและสวยงามมากๆ ด้วย

ดีไซน์ที่นำกระเบื้องเคลือบและเครื่องถ้วยชามเบญจรงค์มาประดับไว้บนพระปรางค์ ทำให้โทนสีที่ออกมามีความสวยแปลกตา และแตกต่างจากวัดอื่นทั่วๆ ไป

เรามักจะคุ้นเคยกับภาพพระปรางค์ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาที่สวยงาม แต่วันนี้เราจะลองไปหามุมถ่ายรูปสวยๆ กับพระปรางค์ใหญ่วัดอรุณฯ ด้วยกัน จะได้รูปสวยแค่ไหนล็อคมุมถ่ายตามเรากันเล้ย!




การถ่ายรูปกับวัดอรุณฯ ให้ต้องใช้แสงช่วยหน่อยค่ะ แสงที่ตกกระทบมาเป็นเงาจะช่วยให้ภาพของเราดูมีมิติขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเป็นแพทเทิร์นของพระปรางค์และโทนสีที่ดูไม่จัดจ้านแบบวัดไทยทั่วไป เมื่อเลือกมุมที่ตัดกับท้องฟ้าที่ครามแล้ว ยิ่งทำให้ดูสวยขึ้นอีกหลายเท่าตัวเลยค่ะ



การเดินทาง :

สามารถเดินทางโดยรถประจำทางสาย 19 57 83 ลงป้ายวัดอรุณราชวราราม หรือนั่งเรือด่วนเจ้าพระยามาลงท่าเตียน รวมถึงนั่ง MRT ลงสถานีสนามไชย แล้วต่อเรือข้ามฟากจากท่าเตียนมาถึงหน้าวัดอรุณฯ ได้เลย


เวลาเปิด - ปิด :

ทุกวัน ตั้งแต่ 8.00 – 18.00 น.


ค่าเข้าชม :

คนไทยฟรี ชาวต่างชาติคนละ 50 บาท


ข้อควรระวัง :

แต่งกายให้สุภาพ มิดชิด ใส่สั้น ใส่ขาดเข้าไม่ได้นะจ๊ะ


.

|2. วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ( วัดพระแก้ว )|


อีกหนึ่งแลนด์มาร์คของเมืองไทยก็ต้องยกให้


วัดพระศรีรัตนศาสดารามหรือ วัดพระแก้ว

วัดสำคัญของชาวไทยที่ประดิษฐานองค์


พระแก้ว


มรกตไว้


วัดพระศรีรัตนศาสดารามเป็นวัดในพระบรมมหาราชวัง

โดยเป็นสถานที่ที่ราชวงศ์ใช้บำเพ็ญพระราชกุศล และไม่มีพระสงฆ์จำพรรษาอยู่



วัดพระแก้วขึ้นชื่อว่าเป็นวัดที่นักท่องเที่ยวเยอะมาก

แต่เราจะชวนเพื่อนๆ ไปหามุมหลบคนแชะภาพสวยๆ

ให้สมกับเป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองคนไทยกันค่ะ



ไฮไลท์ที่ไม่ไปชมไม่ได้ก็คือ

พระอุโบสถที่นอกจากจะประดิษฐานพระแก้วมรกตแล้ว ตัวพระอุโบสถยังงดงามวิจิตรตระการตา

ไม่มีที่ใดในโลกเหมือน เช่นเดียวกับอีกจุดที่ไม่ควรพลาดแวะไปถ่ายรูปเลยก็คือ

พระศรีรัตนเจดีย์เจดีย์สีทองอร่ามองค์ใหญ่



นอกจากส่วนของวัดแล้ว พระบรมหาราชวัง หรือพระราชวังพระนครที่อยู่ในรั้วเดียวกัน เรียกว่าสวยงามไม่แพ้กันเลยค่ะ ทั้งความโอ่อ่าใหญ่โต และสถาปัตยกรรมที่อลังการบ่งบอกถึงความยิ่งใหญ่ของราชวงศ์ไทย ไปใส่ผ้าไทยสวยๆ ถ่ายรูปคู่กับสถาปัตยกรรมไทยงดงาม มุมไหนในวัดพระแก้วที่ถ่ายรูปปังบ้าง เตรียมกล้องแล้วไปลุยถ่ายตามกันรัวๆ จ้า




การเดินทาง :

สามารถเดินทางโดย MRT สถานีสนามไชย แล้วเดินต่อไปเรื่อยๆ หรือจะนั่งเรือด่วนเจ้าพระยา ธงสีส้ม ขึ้นเรือที่ท่าช้าง (N9) เดินออกจากท่าเรือ วัดพระแก้วอยู่ทางขวามือค่ะ



เวลาเปิด - ปิด :

ทุกวัน ตั้งแต่ 08.30-16.30 น.



ค่าเข้าชม :


คนไทยฟรี ชาวต่างชาติต้องซื้อตั๋วชุด ชุดละ 500 บาท/ท่าน โดยในตั๋วชุดจะสามารถเข้าชมได้หลายที่และสามารถใช้ได้ภายใน 7 วัน



ข้อควรระวัง :

แต่งกายให้สุภาพ มิดชิด หากใส่เสื้อผ้าไม่สุภาพมาเข้าชม ทางวัดมีเสื้อผ้าให้ยืมเปลี่ยน โดยมีค่ามัดจำชิ้นละ 200 บาท (ไม่อนุญาตให้ใช้ผ้าคลุมไหล่ ผ้าพันคอในการปกปิดเสื้อแขนกุด)


.


การเดินทาง :

สามารถเดินทางโดย MRT สถานีสนามไชย แล้วเดินต่อไปเรื่อยๆ หรือจะนั่งเรือด่วนเจ้าพระยา ธงสีส้ม ขึ้นเรือที่ท่าช้าง (N9) เดินออกจากท่าเรือ วัดพระแก้วอยู่ทางขวามือค่ะ



เวลาเปิด - ปิด :

ทุกวัน ตั้งแต่ 08.30-16.30 น.



ค่าเข้าชม :

คนไทยฟรี ชาวต่างชาติต้องซื้อตั๋วชุด ชุดละ 500 บาท/ท่าน โดยในตั๋วชุดจะสามารถเข้าชมได้ทั้งวัดพระแก้ว, พระบรมมหาราชวัง, พิพิธภัณฑ์ผ้าในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในพระบรมมหาราชวัง, พระที่นั่งวิมานเมฆ และพระที่นั่งอนันตสมาคม ซึ่งตั๋วชุดนี้จะสามารถใช้ได้ภายใน 7 วัน



ข้อควรระวัง :

แต่งกายให้สุภาพ มิดชิด หากใส่เสื้อผ้าไม่สุภาพมาเข้าชม ทางวัดมีเสื้อผ้าให้ยืมเปลี่ยน โดยมีค่ามัดจำชิ้นละ 200 บาท (ไม่อนุญาตให้ใช้ผ้าคลุมไหล่ ผ้าพันคอในการปกปิดเสื้อแขนกุด)



|3. วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร|


การเดินทาง :

สามารถเดินทางโดย MRT สถานีสนามไชย แล้วเดินต่อไปเรื่อยๆ หรือจะนั่งเรือด่วนเจ้าพระยา ธงสีส้ม ขึ้นเรือที่ท่าช้าง (N9) เดินออกจากท่าเรือ วัดพระแก้วอยู่ทางขวามือค่ะ



เวลาเปิด - ปิด :

ทุกวัน ตั้งแต่ 08.30-16.30 น.



ค่าเข้าชม :

คนไทยฟรี ชาวต่างชาติต้องซื้อตั๋วชุด ชุดละ 500 บาท/ท่าน โดยในตั๋วชุดจะสามารถเข้าชมได้ทั้งวัดพระแก้ว, พระบรมมหาราชวัง, พิพิธภัณฑ์ผ้าในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในพระบรมมหาราชวัง, พระที่นั่งวิมานเมฆ และพระที่นั่งอนันตสมาคม ซึ่งตั๋วชุดนี้จะสามารถใช้ได้ภายใน 7 วัน



ข้อควรระวัง :

แต่งกายให้สุภาพ มิดชิด ใส่สั้น ใส่ขาดเข้าไม่ได้นะจ๊ะ หากใส่เสื้อผ้าไม่สุภาพมาเข้าชม มีเสื้อผ้าให้ยืมเปลี่ยน โดยมีค่ามัดจำชิ้นละ 200 บาท (ไม่อนุญาตให้ใช้ผ้าคลุมไหล่ ผ้าพันคอในการปกปิดเสื้อแขนกุด)




ยังคงขอวนเวียนอยู่ในวัดต่อไป แหม..ก็วัดไทยเขาสวยจับใจจริงๆ นี่คะ มาในย่านนี้แล้วอีกหนึ่งวัดที่ควรเก็บด้วยก็คือ

วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหารหรือวัดโพธิ์

ที่เราคุ้นหู นอกจากตำนานยักษ์วัดโพธิ์ที่เราเคยได้ยินมาแล้ว ที่นี้ยังมีพระนอนหรือพระพุทธไสยาสน์ องค์ใหญ่ให้แวะไปสักการะกันด้วยค่ะ



ภายในวัดโพธิ์ยังมีงานศิลปะมากมายที่น่าสนใจ ทั้งรูปสลัก รูปปั้นทรงแปลกตา

ที่แสดงถึงการผสมผสานวัฒนธรรมต่างๆ บริเวณรอบๆ วัดก็ร่มรื่นเหมาะแก่การเดินเล่นถ่ายรูปเพลินๆ มาก



นอกจากนั้นวัดโพธิ์ยังมี

พระมหาเจดีย์สี่รัชกาล

ที่สวยงามและมีสีสันอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะแต่ละองค์

เรียกว่าเป็นมุมไฮไลท์ของวัดโพธิ์ที่ถ่ายรูปสวยมาก




ถ้าหากเพื่อนๆ คนไหนที่เดินถ่ายรูปจนเมื่อยแล้วล่ะก็ มาถึงวัดโพธิ์อย่าลืมลองแวะไปใช้บริการนวดแผนไทยแบบดั้งเดิม เพราะที่นี่โด่งดังในเรื่องตำราและศาสตร์แห่งการนวดแผนโบราณมาอย่างช้านาน มาวัดเดียวได้รูปสวย แถมยังสบายตัวกลับไปด้วย คือครบ!



การเดินทาง :

สามารถเดินทางโดยรถประจำทางสาย 1 , 3 , 6 , 9 , 12 , 25 , 32 , 43 , 44 , 47 , 48 , 51 , 53 , 82 , 103 หรือนั่งเรือด่วนเจ้าพระยามาลงท่าเตียน รวมถึงนั่ง MRT ลงสถานีสนามไชย แล้วเดินต่อมายังวัดก็ได้


เวลาเปิด - ปิด :


ทุกวัน ตั้งแต่ 8.00 – 18.30 น.


ค่าเข้าชม :


คนไทยฟรี ชาวต่างชาติคนละ 200 บาท


ข้อควรระวัง :


แต่งกายให้สุภาพ มิดชิด ใส่สั้น ใส่ขาดเข้าไม่ได้นะจ๊ะ


.

|4. บ้านขนมปังขิง เสาชิงช้า|

แวะหลบร้อนกับ

คาเฟ่เก่าที่เก๋าที่สุดในเวลานี้อย่างบ้านขนมปังขิง

ใครเป็นสาย cafehopping ต้องไม่พลาดกับที่นี่เลย

Ginger Bread Houseหรือบ้านขนมปังขิง จริงๆ แล้วเป็นชื่อเรียกสถาปัตยกรรมโบราณของไทยที่มีลักษณะเป็นเรือนไทย สไตล์ฝรั่ง

คาเฟ่แห่งนี้มาจากบ้านเก่าอายุกว่า 100 ปีที่กลายมาเป็นร้านกาแฟกึ่งพิพิธภัณฑ์ให้เราได้เพลิดเพลินไปกับบรยากาศเก่าๆ ที่หาชมได้ยาก



บ้านขนมปังขิง ก็ตั้งอยู่ในย่านพระนครเช่นกันค่ะ

ตัวร้านอยู่ใกล้กับแลนด์มาร์คสำคัญอย่างเสาชิงช้า


เอกลักษณ์ของบ้านหลังนี้อยู่ที่ลวดลายฉลุที่สวยงามละเอียดอ่อนตามจุดต่างๆ บนตัวบ้าน หรือที่เรียกว่าลาย“ขนมปังขิง”

ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากชาวตะวันตกในช่วงรัชกาลที่ 4 จะบอกว่าบ้านไทยสไตล์นี้ในอดีตเป็นที่พักอาศัยของชนชั้นสูงเท่านั้น



ใครผ่านมาย่านเสาชิงช้า อย่าพลาดแวะมาจิบกาแฟ ชิมขนมไทยอร่อยๆ และถ่ายรูปกับบ้านเก่าโบราณที่บ้านขนมปังขิงกันนะคะ



การเดินทาง :

นั่ง MRT ลงสถานีสามยอดแล้วต่อรถไปอีกหน่อย


เวลาเปิด - ปิด :

ตั้งแต่ 11.00 – 20.00 น. ( ปิดวันจันทร์ )


ค่าใช้จ่าย :

ราคาค่าเครื่องดื่มและขนม 100-300 บาท

.

|5. เยาวราช|

เช้าเข้าวัดแล้ว

บ่ายขอสายสตรีทต่อกันหน่อยจ้า เริ่มที่ถนนสายดังที่ปังทั้งกลางวัน กลางคืน อย่างเยาวราช

ถนนเยาวราชเรียกว่าเป็นย่านการค้าที่มีมาตั้งแต่รัชกาลที่ 5 เลยค่ะ รวมถึงบริเวณนี้เป็นพื้นที่อยู่อาศัยของชาวจีน หรือชาวไทยเชื้อสายจีนเป็นจำนวนมาก

ทำให้เยาวราชเป็นที่รู้จักในนามไชน่าทาวน์แห่งกรุงเทพฯที่สำคัญไชน่าทาวน์ในบ้านเราถือว่าเป็นชุมชนชาวจีนที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเลยค่ะ



มาถ่ายรูปเล่นบนถนนเยาวราช

ไฮไลท์เด็ดๆ ก็จะอยู่ที่ป้ายร้านขนาดใหญ่ โคมสีแดงสด และร้านค้าแบบจีนโบราณ

ใครที่ชอบภาพแนวสตรีทเท่ๆ เยาวราชเป็นอีกจุดที่ต้องมาแชะรูปรัวๆ เลยค่ะ



ในเวลากลางวัน เยาวราช จะครึกครื้นไปด้วยร้านขายทองและสมุนไพรจีนโบราณ

แต่เมื่อท้องฟ้ามืดลง เยาวราชจะกลายเป็นถนนที่เต็มไปด้วยไนท์ไลฟ์คึกคัก และขึ้นชื่อในเรื่องของสตรีทฟู้ดที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกต้องแวะมาชิม

เรียกได้ว่าถนนเยาวราชไม่มีเวลาหลับใหลเลยทีเดียวค่ะ



การเดินทาง :

นั่ง MRT ลงสถานีวัดมังกร แล้วเดินต่อมาอีกนิดเดียวก็ถึงเยาวราชแล้วค่ะ


เวลาเปิด - ปิด :

ทุกวัน ตั้งแต่ 11.00 – 24.00 น.


.

|6. บ้านโซวเฮงไถ่|

ขยับออกมาจากเยาวราชไม่ไกลนัก ก็ยังคงเป็นพื้นที่อาศัยของชุมชมชาวจีนอยู่ค่ะ อีกที่ที่เพื่อนๆ ควรเผื่อเวลาแวะเข้าไปเช็คอินเลยคือ

บ้านโซวเฮงไถ่ในย่านตลาดน้อย

ที่นี่เป็นบ้านจีนโบราณที่สร้างมาตั้งแต่สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ หากนับย้อนกลับไปก็มีอายุกว่า 220 ปีเลยทีเดียว

โอ้วโหวว!



ความสวยงามของ

บ้านโซวเฮงไถ่ เป็นบ้านที่มีลักษณะตามหลักฮวงจุ้ยแบบจีนที่เรียกว่าเรือนหมู่อาคารแบบ 4 หลังล้อมลานผสมกับความเป็นบ้านใต้ถุนสูงแบบไทย

หน้าบ้านเป็นซุ้มประตูจีนแบบดั้งเดิม อีกทั้งมีรายละเอียดภาพวาดแบบจีนอยู่ทั่วบ้าน เรียกว่าเป็นอักหนึ่งบ้านเก่าที่แทบจะหาดูไม่ได้แล้วในปัจจุบันเลยค่ะ



ปัจจุบันบ้านโซวเฮงไถ่เปิดเป็นโรงเรียนสอนดำน้ำ

และยังเปิดให้เข้าชมได้ฟรีไม่เสียค่าใช้จ่ายค่ะ

เพียงแต่หากอยากขึ้นไปชมบนตัวบ้าน ทางบ้านโซวเฮงไถ่เขาก็เปิดเป็นคาเฟ่เล็กๆ สงวนให้ผู้ที่ซื้อเครื่องดื่มสามารถเข้าไปชมด้านบนบ้านได้ โดยเงินที่ได้จากการขายเครื่องดื่มก็จะนำไปบำรุงรักษาบ้านหลังนี้ต่อไปค่ะ



ใครที่แวะไปถ่ายรูปสวยๆ ก็อย่าลืมอุดหนุนเครื่องดื่ม และช่วยกันดูแลรักษาจะได้อนุรักษ์บ้านจีนเก่าแก่หลังนี้ให้อยู่ต่อไปนานๆ นะคะ



การเดินทาง :

นั่งเรือด่วนเจ้าพระยา ธงส้ม ลงท่ากรมเจ้าท่า


เวลาเปิด - ปิด :

ตั้งแต่ 8.00 – 18.00 น. ( ปิดวันจันทร์ )


ค่าเข้าชม :

เข้าชมฟรี


.

|7. ตลาดน้อย|

แวะไปโซวเฮงไถ่แล้วก็ต้องลองเดินเล่นในย่าน

ตลาดน้อย

กันต่อด้วยนะ เพราะย่านนี้มีมุมถ่ายภาพให้เดินชิลล์ๆ อีกเพียบ

อย่างที่บอกไปว่าย่านนี้เป็นชุมชนค้าขายเก่าแก่ของชาวจีน มาเที่ยวย่านตลาดน้อยเราก็จะได้สัมผัสบรรยากาศวิถีชีวิตแบบชุมชนจีนดั้งเดิม



นอกจากนั้นตึกรามบ้านช่องเขาก็ยังคงความเป็นตึกเก่าไว้ มีที่เที่ยวทั้งศาลเจ้า , โบสถ์เก่าแก่ รวมไปถึงมีโซนเชียงกงเป็นซากรถเก่าๆ ให้ถ่ายรูปแนวสตรีทอาร์ตเท่ๆ อีกด้วย



อีกหนึ่ง


ไฮไลท์ของย่านตลาดน้อยก็คือเหล่าภาพวาดกราฟฟิตี้ตามจุดต่างๆ


มีทั้งสไตล์จีนที่บอกเล่าเรื่องราวของชุมชน และภาพสตรีทอาร์ตเท่ๆ ให้ได้แวะแชะรูปกันตลอดทาง



เนื่องจากชุมชนตลาดน้อยยังเป็นย่านที่อยู่อาศัยจริงๆ ของชาวไทยเชื้อสายจีน เวลาเราไปเที่ยวก็แนะนำว่าควรทำตัวเป็นนักท่องเที่ยวที่ดี ไม่ล่วงล้ำ และให้เกียรติเจ้าของบ้านด้วยนะจ๊ะ จะได้เที่ยวแบบแฮปปี้ทุกฝ่าย



การเดินทาง :

รถประจำทาง สาย 1 , 35 ,75 ลงตลาดน้อย  สาย 36, 93  ลงสี่พระยา เดินมาอีกนิด หรือนั่งเรือด่วนเจ้าพระยา ธงสีส้มมาลงท่ากรมเจ้าท่า ไม่แนะนำให้นำรถส่วนตัวมาเพราะไม่มีที่จอดจ้า


เวลาเปิด - ปิด :


ทุกวัน ตั้งแต่ 10.00 – 18.00 น.


ค่าเข้าชม :

-


.

|8. เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์ |

มาถึงที่สุดท้ายของ Photo Spots ทริปนี้ของเรากับที่นี่เลย

Asiatique the Riverfront

เชื่อว่าหลายๆ คนน่าจะรู้จักกันดีอยู่แล้ว แม้จะไม่ใช่ที่ใหม่แต่ที่นี่มีไฮไลท์ในช่วงเวลาพระอาทิตย์ใกล้ตกดินอย่าง

ชิงช้าสวรรค์ขนาดใหญ่ ริมแม่น้ำเจ้าพระยาจะขึ้นไปนั่งชมวิวเพลินๆ หรือถ่ายรูปเท่ๆ กับไฟของชิงช้าก็คือดีหมด



ปิดท้ายทริปของวันหลังจากเดินถ่ายรูปมาทั้งวันด้วยการไปนั่งชมวิวริมน้ำ ทานของอร่อยๆ ดื่มด่ำบรรยากาศแม่น้ำเจ้าพระยา ก็เป็นตัวเลือกที่จบสวยเหมือนกันน้า




การเดินทาง :


นั่งรถไฟฟ้า BTS ลงสถานีสะพานตากสิน ออกประตู 2 หรือนั่งเรือด่วนเจ้าพระยามาลงท่าสาทร แล้วต่อเรือบริการฟรีของ asiatique ไปได้เลยค่ะ


เวลาเปิด - ปิด :


ทุกวัน ตั้งแต่ 16.00 – 24.00 น.


ค่าเข้าชม :


ไม่เสียค่าเข้า



ได้รูปดีย์! มีมือถือเครื่องเดียวเอาอยู่



เป็นยังไงกันบ้างคะกับ

“ 8 Photo Spots ถ่ายรูปกรุงเทพฯ สวย เหมือนบล็อกเกอร์มาเอง ”

ที่เราพาเพื่อนๆ ไปลุยกันวันนี้ ได้รูปดีมว๊ากก แบบที่เราขายไว้ไหมเอ่ย?

บอกไปแล้วว่าทริปนี้ไร้กล้องโปรฯ โชว์รูปถ่ายสวยๆ ว่ามีผู้ช่วยแค่มือถือเครื่องเดียวเท่านั้น!!




และมือถือคู่ใจที่พาเราไปวันเดย์ทริปกรุงเทพฯ ปังๆ ในวันนี้ก็คือ" Vivo Y19 "เครื่องนี้เลยค่า


ตัวนี้เป็นสมาร์ทโฟนน้องใหม่ของค่าย

Vivo

เขาค่ะ

โดยส่วนตัวเราใช้มือถือ Vivo อยู่แล้วเรียกว่าเป็นมือถือ Android ที่ราคาเอื้อมถึงและทนทานมากแม่ น้องไม่เคยเอ๋อไม่เคยรวน แอปฯ เด้งไม่มีให้เห็น

( รีวิวจากผู้ใช้จริงเลยแก ) ใช้ดีบอกต่อแบบชวนเพื่อนใช้ยกแก๊งค์ก็ทำมาแล้วจ้า



โดยเฉพาะตัวใหม่ๆ ของเขาอย่าง

Vivo Y19

ตัวนี้

สเป็คเกินเรื่องเกินราคาไปมาก

ไม่ว่าจะเป็น



- จอใหญ่ถึง 6.53 นิ้ว FHD+จะถ่ายรูป ดูวิดีโอ หรือเล่นเกมส์ก็ชัดสะใจไปเลย-แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 5000mAhใช้ได้ยาวนานตลอดทั้งวัน คือทริปนี้ตะลุยถ่ายรูปตั้งแต่ 10.00 โมงเช้ายันค่ำ น้องก็ยังเหลือแบตฯ อยู่แบบที่พกพาวเวอร์แบงค์ไปให้หนักกระเป๋าเล่นๆ ไม่ได้ใช้เลย!-แบตใหญ่แล้วก็ยังชาร์ตไวไปอี้กด้วย Dual Engine Fast Charging ชาร์จไว 18W จุกๆ



ที่เราประทับใจมากๆ ก็ยกให้เรื่องของ" กล้อง

"


ถูกใจสาวๆ สายถ่ายรูปเก่งแน่ๆ เพราะ

Vivo Y19

ให้

กล้องหลังถึง 3 เลนส์

ได้แก่

16 ล้านพิกเซล เลนส์หลัก , 8 ล้านพิกเซล เลนส์วาย และ 2 ล้านพิกเซล เลนส์ Super Macro

สำหรับถ่ายวัตถุใกล้ๆ ที่ต้องการรายละเอียดชัดๆ




นอกจากเลนส์กล้องหลังแบบจุกๆ แล้ว

Vivo Y19

ยังมี

กล้องหน้า 16 ล้านพิกเซล

มาพร้อมกับ


ฟังก์ชั่นการถ่ายภาพที่กรี๊ดมากๆ อย่าง

" AI Triple Camera "

ที่ทำให้ถ่ายภาพได้สวยขึ้น เพื่อนๆ สามารถปรับแต่งภาพได้ตั้งแต่ใบหน้าไปจนถึงรูปร่างของเรา

เพราะเขามี

"

AI Beauty "

ที่สามารถปรับทุกส่วนใบหน้าได้เลย จะริ้วรอย, สีผิว, รูปหน้า, ตาโต, จมูก, หรือรูปปาก ก็ได้หมด

รวมถึง

" AI Makeup "


ฟังก์ชั่นที่ช่วยให้สาวๆ แต่งหน้าสวยเป๊ะได้ในภายหลัง

เรียกว่าสวยได้แบบไม่ต้องผ่านล้านแอปฯ แล้วจุดนี้



ยังไม่โม้ดดด!

เพราะ Wide lens ของเขานอกจากจะกว้างเก็บภาพวิวสวยๆ ได้เต็มสตรีมแล้วยังมีโหมดการถ่ายภาพ Bokeh หรือหน้าชัดหลังเบลอ


ที่เลือกปรับระดับความเบลอได้ตามพอใจ แถมยังเลือกจุดโฟกัสความคมชัดได้อีก

จัดเต็มจริงๆ จ้า



ปิดท้ายด้วย

ดีไซน์ตัวเครื่องด้านหลังมีให้เลือก 2 สี คือ Magnetic Black ดำ , Spring White ขาว

เราเลือก Spring White มาค่ะ มีความขาวไล่เฉดฟ้า สดใสฟรุ้งฟริ้งให้อารมณ์ความ Sky สวยน่าใช้มาก!



คุณสมบัติทั้งหมดทั้งมวลที่พูดมาของVivo Y19ราคารวมอยู่ที่  6,999 บาท เท่านั้น!

( แม่จ๋าาาต้องได้มือถือใหม่เดี๋ยวนี้! ) เอาเป็นว่า

เพื่อนๆ คนไหนที่มองหามือถือราคาสบายกระเป๋า ในสเป็คแบบจัดเต็มที่สำคัญเน้นถ่ายรูปปั๊วะๆ มาก ก็ลองไปหาVivo Y19มาเล่นดูนะคะ

แล้วจะเลิฟแบบเราจริงๆ แกร้



สุดท้ายย ใครยังไม่รู้ว่าวันหยุดนี้จะไปเที่ยวไหนดี ก็ลองเอาตัว หัวใจ ไปตามเก็บ

8 Photo Spots ถ่ายรูปกรุงเทพฯ สวยๆ

ตามเรากันดูนะคะ

อย่าลืมพกVivo Y19ไปด้วย รับรองว่าได้รูปดีย์เหมือนมีบล็อกเกอร์มาถ่ายให้แน่นอน!

วันนี้ขอตัวไปอัพรูปลง IG รัวๆ ก่อนล่ะ บายยย

┗(^o^ )┓三



เว็ปไซต์นี้ใช้คุกกี้

SistaCafe ให้ความสำคัญต่อข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน เพื่อการพัฒนาและปรับปรุงเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้โดยไม่มีการปรับตั้งค่าใดๆ แสดงว่าท่านยินยอมที่จะรับคุกกี้บนเว็บไซต์และนโยบายสิทธิส่วนบุคคลของเรา และ นโยบายการใช้คุกกี้