จากทั้งที่ยังรักเพื่อให้เจ็บ แต่ 'จบ' ดีกว่าการเจ็บไปเรื่อยๆ ดีกว่าจริงมั้ย ??

รูปภาพ:https://site-assets.mediaoxide.com/workpointnews/2019/12/21022741/1576870057_79169_IMG_4483.jpg

[spoiler alert]

ถ้าใครที่ได้ลองเปิด

Netflix

ช่วงนี้ คงจะได้เจอกับปกหนังรัก อย่างเรื่อง

Marriage Story

ที่ดูเผินๆ แล้ว หลายๆ คนคงจะมองว่าเป็นหนังรักโรแมนติกสุดซึ้งอย่างแน่นอน และถ้าใครรู้ตัวว่าเป็นหนึ่งในแฟน

หนังแนวดราม่า ความรัก ความสัมพันธ์ เนี่ยแหละนับเป็นอีกเรื่องแห่งปีที่ควรดูมากๆ เลยแหละที่ยกเรื่องนี้มาเขียนก็เพราะอยากแนะนำหนัง - รัก(เรียกว่า หนังรัก ได้หรือเปล่านะ)เรื่องนี้ว่าเ

ป็นเรื่องที่อยากจะให้คู่รักทุกคู่ได้นั่งเสพอารมณ์ของตัวละครทั้งพระเอกและนางเอกไปด้วยกัน รวมไปถึงคนโสดเองถ้าอยากจะรับรู้ถึงห้วงความสัมพันธ์สุดดิ่งของคนมีคู่ดูบ้าง ก็มาเรียนรู้ได้จากเรื่องหนังเรื่องนี้ได้เช่นกัน

อย่างที่บอกไปตอนแรกว่าภาพบนโปสเตอร์หนังดูเผินๆ เหมือนจะเป็นหนังโรแมนติก เพราะประกอบไปด้วยตัวละคร 3 พ่อแม่ลูกกอดกันปนรอยยิ้มกันอย่างหวานชื่นและเมื่อยิ่งบวกรวมเข้าไปกับ ฉากต้นของเรื่องที่เปิดด้วยภาพFlashbackและได้ให้พระ-นาง 2 ตัวละครเอก อย่างชาร์ลี(อดัม ไดรฟ์เวอร์)และนิโคล(สการ์เล็ตต์ โจแฮนส์สัน)เล่าเรื่องดีๆ ของกันและกัน ดูไปก็อมยิ้มไป

แต่เมื่อการเล่าเรื่องของแต่ละคนจบลง หนังกลับฮุกหมัดใส่คนดูเข้าอย่างจัง ตั้งแต่ต้นเรื่อง และทำให้ได้รู้ว่าจริงๆ หนังเรื่องนี้มันไม่ใช่หนังรักหวานชื่นแบบที่เข้าใจตอนต้นแต่กำลังดำเนินกลายไปเป็นหนังดราม่าที่ได้ถึงจุดสิ้นสุดความสัมพันธ์ของคู่พวกเขาแล้ว นั่นก็คือการหย่านั่นเองค่ะ

รูปภาพ:

'' ฉันไม่ได้มีชีวิตอยู่เพื่อตัวเอง ฉันแค่ส่งเสริมการมีชีวิตอยู่ของเขา ""เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นในบ้านของเราคือรสนิยมเค้า ฉันไม่รู้แล้วด้วยซ้ำว่า รสนิยมของฉันเป็นแบบไหน เพราะฉันไม่เคยถูกขอให้ใช้มันเลย""มันคงจะแปลก ถ้าเค้าหันมาหาฉันและพูดว่าแล้ววันนี้คุณอยากทำอะไร ฉันไม่เห็นค่าของตัวเองอีกต่อไปแล้วฉันแทบไม่หลงเหลือความเป็นตัวเองอยู่เลย"

นี่คือบางช่วงบางตอน ที่นางเอกได้เผยความรู้สึกบางอย่างผ่านทางคำพูด ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ประเด็นสำคัญของการตัดสินใจจบความสัมพันธ์กว่าเกือบ 10 ปี ของเขาทั้งคู่ และได้เลือกที่ทำ

การหย่า

ในครั้งนี้ เกิดจากการที่ตัวนางเอกเอง เริ่มรู้สึกได้ว่า พระเอกไม่เห็นค่าในตัวเธอ และเธอเองก็เริ่มไม่เห็นค่าในตัวเอง และไม่ได้หลงเหลือความเป็นตัวเองในความสัมพันธ์นี้เลย ซึ่งนั่นได้ทำให้นางเอก

ตัดสินใจ

ที่จะเลือกจบความสัมพันธ์ แล้วหันกลับมา

'


สร้างคุณค่าให้ตัวเอง '

อีกครั้ง......

รูปภาพ:

นั่นก็คือ นางเอก ตัดสินใจฟ้องหย่า = การจบความสัมพันธ์คู่รักในขณะที่ทั้งคู่ยังรักกันจากใจจริงเลยทำให้พวกเขาสามารถรักษาความเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันเอาไว้ได้...

อยากรู้ว่าจะมีสักกี่คู่ ที่เมื่อเลิก หรือ จบความสัมพันธ์กันแล้ว จะยังสามารถพูดคุย เจอหน้า และทำทุกอย่างได้เหมือนเดิม โดยไม่มีเรื่องอื่นๆ ของทั้งสองฝ่าย มาบาดหมางใจ อย่างคู่นี้ในMarriage Story (2019)บ้าง แต่ถ้าหากเราได้ไปอยู่ในจุดเมื่อชีวิตคู่ เดินทางมาถึงจุดที่ไม่สามารถประคองกันต่อไปได้อีกก็เชื่อว่าการหย่าก็คงจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้ว

= เจ็บทีเดียว แต่ จบอย่างถาวร = ......

ประเด็น การหย่าร้าง ในสังคมอเมริกัน

ถ้าหากพูดถึงการหย่าร้าง , การฟ้องหย่าก็เป็นเรื่องที่ค่อนข้างเกิดพบได้บ่อยมาก ในสังคมอเมริกาเลยก็ว่าได้ ถ้าสังเกตจากสำนักทนายมีอยู่เยอะแยะมากมายเต็มประเทศสหรัฐอเมริกา และทนายสำหรับคู่สมรสก็เป็นอีกหนึ่งตำแหน่งงาน ที่เรียกได้ว่าติดอันดับรายได้สูงอยู่เสมอ แต่สำหรับคู่นี้ที่เราได้เห็นผ่านจากหนังเรื่องMarriage Story (2019)ก็ทำให้เรารู้ว่าจริงๆ แล้วมันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะตัดสินใจฟ้องหย่า คู่ชีวิตของตัวเอง ที่ได้ใช้ชีวิตด้วยกันมา

สำหรับอัตราการหย่าในช่วงที่ผ่านมาของ อเมริกา นั้นมีเกณฑ์สูงขึ้นกว่าทศวรรษที่ 1960ถึง 2 เท่าตัวเลยทีเดียวค่ะ หรือถ้าหากจะสมมติให้เข้าใจง่ายๆ ก็เทียบได้ว่าในคน 100 คน จะพบว่ามีประมาณ 15 คน ที่ได้ผ่านการหย่ากับหรือแยกกันอยู่กับคู่ครองมาแล้ว นั่นเองค่ะ

สาเหตุของการหย่าร้างส่วนใหญ่แล้ว ไม่ได้มาจากการนอกใจแต่จริงๆ แล้วสาเหตุหลักๆ ของการฟ้องหย่า นั้นมาจากเหตุผลของการขาดการสื่อสารกันและกันซะมากกว่า โดยมีเฉลี่ยมากถึง73 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียวค่ะรองลงมาจะเป็นเรื่องของการมีปากเสียงกัน และตามมาด้วย เรื่องของความเจ้าชู้ค่ะ ซึ่งเหตุผลการหย่า จากสถิติ ก็ค่อนข้างที่จะสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกันกับในหนังเลย แสดงว่าให้เห็นว่าจริงๆ แล้ว การสื่อสารกันและกัน เพื่อให้เข้าใจความต้องการได้ตรงกัน ถือเป็นเรื่องสำคัญมากๆ ในการประคองชีวิตคู่ให้อยู่ไปด้วยกันได้อย่างยาวนานได้มากขึ้นนั่นเองค่ะ

เราได้อะไรจากหนังเรื่องนี้

จำเป็นแค่ไหนที่ต้อง Ending with Happy ?

รูปภาพ:

หลังจากดูหนังเรื่องนี้จบ พบว่า

บนหน้าเรามีรอยยิ้มจาง


ปนอยู่

ถึงแม้ว่าจะไม่ได้จบอย่างที่เราคาดหวังไว้ แต่มันก็เป็นอารมณ์ที่บอกกับตัวเองว่า

จบแบบนี้ ดีที่สุดแล้วแหละ

เพราะเราเชื่อว่าตัวผู้กำกับเอง ก็คงอยากจะทำให้ตัวละครแต่ละตัวไหลไปตามเหตุผลของตัวเองมากที่สุด ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ก็ค่อนข้างที่จะลงตัวต่อทุกคน ในความสัมพันธ์นี้แล้ว เราก็แอบถือว่าเรื่องนี้ถึงจะไม่ใช่หนังรักซะทีเดียว แต่ก็จบได้

Happy Ending

ในตัวของมันแล้วล่ะค่ะ

พอดูจบ ความอินกับหนังมันยังคงไหลเวียนอยู่ในหัว (เชื่อว่าหลายๆ คนก็คงเป็นเหมือนเรา) เราจึงกลับมาย้อนถามตัวเองว่า จริงๆ แล้ว หนังน้ำดีเรื่องนี้ให้อะไรเรา และเราได้อะไรจากหนังเรื่องนี้มาบ้างนะ

ซึ่ง หนังเรื่องนี้ สามารถทำให้เราตอบคำถามที่ถามทิ้งไว้ตอนเปิดได้แล้วว่า


การจากทั้งที่ยังรักเพื่อให้เจ็บ แต่ 'จบ' ดีกว่าการเจ็บไปเรื่อยๆ นั้นมัน ดีกว่า จริงๆ แหละเพราะแท้จริงแล้วความรักไม่จำเป็นที่ต้องEndingด้วยความHappyเสมอไป คนเรามักจะคาดหวังมโนภาพชีวิตคู่ในมุมมองแค่ของตัวเอง บางคนฝันอยากให้แฟนทำแบบนั้น แบบนี้ จนหลงลืมไปว่าชีวิตคู่ = สองชีวิตร่วมกันดังนั้น มันไม่ไม่เพียงภาพจินตนาการเพียงแค่ของใครคนใดคนหนึ่งเท่านั้น หากมีใครที่ต้องฝืนความเป็นตัวเองเพื่อที่จะรักษาความสัมพันธ์นั้นๆ ให้มันดำเนินไปด้วยดี แต่การฝืนมันอาจะทำให้เราหมดคุณค่าความเป็นตัวเองไปโดยที่เราไม่รู้ตัวแบบนางเอก และสุดท้ายอาจกลายเป็นการจบความสัมพันธ์ และลงเอยด้วย การหย่า แบบในเรื่องนี้ก็ได้นะแล้วคุณล่ะ กำลังมีความรักแบบไหนอยู่ ? ที่แน่ๆ อย่าหลงลืมความเป็นตัวเอง และลดคุณค่าตัวเองเพื่อใครเลยและฉากจบแบบHappy Endingจะเข้าหาเธอเอง...

เรื่อง :https://www.facebook.com/earn.minala

ภาพ :https://sistacafe.com/curators/51