คุณเคยมีคำถามเหล่านี้กับตัวเองหรือไม่ ?? “อยากมีเงินเก็บเงินออมแบบคนอื่น แต่ก็ใช้เดือนชนเดือนทุกที” “อยากเริ่มต้นลงทุน แต่มันคงเป็นเรื่องไกลตัวสำหรับเรา เพราะไม่มีเงิน” หากคุณอยากเก็บออม หรือ เริ่มต้นลงทุน ควรทำอย่างไร เรามาชวนคุณหาคำตอบกับบทความนี้ไปพร้อมๆ กันค่ะ-----------------------


ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย พบว่าบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ของคนไทย มีเงินฝากไม่ถึง 50,000 บาท หรือคิดเป็น 88.72% ของบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ทั้งหมด และยอดเงินฝากที่มากกว่า 1 ล้านบาท มีแค่ 1.07% ของบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ทั้งหมด (ข้อมูล ณ กรกฎาคม 2562) จะเห็นได้ว่าสัดส่วนการออมเงินของคนไทยยังอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำ และหากลองไปถามคนส่วนใหญ่ ว่าเหตุใดจึงไม่มีเงินเหลือเก็บออม?? คำตอบที่เรามักได้ยินกันบ่อยๆ นั่นก็คือ ยังมีภาระหนี้สินต้องผ่อนชำระ หรือไม่ก็ตอบว่า แค่ใช้ให้พอเดือนชนเดือนก็เก่งแล้ว เงินเหลือเก็บไม่มี ยิ่งเรื่องการลงทุนยิ่งเป็นเรื่องไกลตัว

จากข้อมูลดังกล่าวทำให้นึกถึงหนังสือเรื่อง The Automatic Millionaire ของ เดวิด บาค ที่พูดถึงประสบการณ์พูดในงานสัมนาแห่งหนึ่ง ซึ่งเขาได้เชิญชวนให้ผู้ฟังลงทุน สุภาพสตรีจากท้ายห้องยกมือขึ้น พร้อมแสดงความคิดเห็นว่า “เงินเดือนของเธอไม่ได้มากมายอะไร แค่ออมยังยาก จะเหลือเงินที่ไหนไปลงทุน เรื่องลงทุนเป็นเรื่องของคนรวยเท่านั้นแหละ” บาคจึงได้เชิญสุภาพสตรีท่านนั้นขึ้นไปบนเวที และพูดคุยถึงสาเหตุของการไม่มีเงินเหลือเก็บร่วมกัน เขาพบว่ากิจวัตรประจำวันอย่างหนึ่งของสุภาพสตรีท่านนี้คือ ต้องรับประทานกาแฟลาเต้ร้านดังในทุกเช้า ซึ่งเขาลองคำนวณมูลค่าของกาแฟลาเต้ที่สุภาพสตรีท่านนี้ดื่มออกมา พบว่าเป็นเงินก้อนใหญ่จำนวนหนึ่ง นั่นจึงเป็นที่มาของคำว่า Latte Factor บาคจึงเชิญชวนให้ผู้เข้าฟังสัมนาท่านอื่นๆ ลองคำนวณหาเงินก้อนใหญ่จาก Latte Factor ของตน ซึ่งในที่นี้อาจไม่ได้หมายถึงกาแฟแต่เพียงอย่างเดียว แต่อาจหมายถึงสิ่งฟุ่มเฟือยเล็กน้อยอื่นๆ ที่เรามักใช้จ่ายเงินออกไปเป็นกิจวัตรประจำวัน แบบไม่ได้คิด ไม่ได้สนใจ เช่น ค่าเหล้า เบียร์ บุหรี่ ค่าช้อปปิ้ง ค่าสังสรรค์ เป็นต้น บาคให้ผู้เข้าร่วมสัมมนาลองคำนวณค่าใช้จ่ายดังกล่าวของตนออกมาเป็นตัวเงิน พบว่าเป็นจำนวนเงินก้อนใหญ่เช่นกัน เขาจึงเสนอให้คำนวณเงินก้อนดังกล่าวไปลงทุนที่ผลตอบแทนประมาณ 8% ในระยะเวลาหนึ่ง พบว่าเงินก้อนใหญ่ดังกล่าว โตขึ้นเป็นเงินก้อนใหญ่กว่าเดิมอีกหลายเท่า

ในความเป็นจริง การได้ดื่มกาแฟในตอนเช้าก่อนเริ่มทำงาน อาจเป็นความสุขของใครหลายคน เพราะสารคาเฟอีนในกาแฟไปช่วยการตื่นตัวของสมองยามเช้า หรือการได้ช้อปปิ้ง สังสรรค์กับเพื่อนฝูง อาจเป็นการคลายเครียดจากการทำงานหนักมาตลอดสัปดาห์ ดังนั้น คุณอาจไม่จำเป็นต้องตัดหรือทิ้งกิจกรรมที่คุณชอบลงทั้งหมด แต่อาจเลือกลดปริมาณลงตามความเหมาะสม เช่น คุณอาจลดการดื่มกาแฟลงจากทุกวัน เป็นสัปดาห์ละ 2-3 วัน หรือ ลดการช้อปปิ้งเพื่อให้รางวัลตัวเองจากทุกสัปดาห์เป็น เดือนละ 1 ครั้ง

แต่หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ไม่สามารถลดกิจกรรมที่ทำเป็นกิจวัตรเหล่านี้ลงได้ เรามีอีกทางเลือกมาเสนอ นั่นคือ คุณยังสามารถดื่มกาแฟในตอนเช้าก่อนทำงานเหมือนเดิมทุกวัน แต่อาจลองเปลี่ยนทางเลือกของกาแฟที่คุณดื่ม เช่น จากเดิมที่ดื่มกาแฟแก้วละ 150 บาทจากร้านดัง มาลองหาตัวเลือกร้านกาแฟอื่นๆ ที่มีราคาต่ำลงมา แต่มีรสชาติอร่อยกลมกล่อมไม่แพ้กัน หรืออาจทดลองชงกาแฟรับประทานเอง เพื่อได้ลิ้มรสความหอมของกลิ่นกาแฟคั่วด้วยตัวคุณเอง สิ่งเหล่านี้จะทำให้ต้นทุนในการดื่มกาแฟของคุณลดลงมา อาจเหลือเพียงแก้วละ 50 บาทต่อวัน เท่ากับว่า คุณยังสามารถดื่มกาแฟทุกวันได้เหมือนเดิม และยังเหลือเงินเก็บออมวันละ 100 บาท หากเราลองมาคำนวณนำเงินออมวันละ 100 บาทนี้ ไปลงทุนที่ผลตอบแทนที่ 8% คุณจะพบว่าการดื่มกาแฟเพียงหลักสิบบาทของคุณ สามารถทำให้อนาคตคุณมีเงินออมถึงหลักล้านได้

ตัวอย่างการคำนวณ

รูปภาพ:

ซึ่งเงินออมก้อนดังกล่าวที่คุณได้มา อาจจะช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายทางการเงินอื่นๆ ของคุณได้โดยไม่รู้ตัวเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นทริปพักผ่อนกับครอบครัว หรือแก๊งเพื่อน หลังจากทำงานหนักมาตลอดทั้งปี หรือการให้รางวัลตัวเอง หรือคนที่คุณรักด้วยการเริ่มต้นดาวน์รถสักคัน หรือ บ้านสักหลัง

เราอยากชวนคุณมาลองหา Latte Factor และวางแผนการออมไปพร้อมๆ กัน คิดดูสิว่าจะดีแค่ไหน หากคุณสามารถ balance ความสุขในการใช้ชีวิตกับกิจกรรมที่คุณรัก พร้อมกับการมีเงินเก็บเพื่อเพิ่มความมั่งคั่งในอนาคตถึงหลักล้านได้

อ่านคอนเทนต์ทางด้านการเงิน การลงทุนดีๆ จากผู้เชี่ยวชาญได้ที่https://kkpadvicecenter.kiatnakin.co.th/th/home