คนไม่ฝันคือคนที่ตายแล้ว! 7 เหตุผลที่สาวๆ ควร 'ฝันให้ไกล แล้วไปให้ถึง' เพื่ออนาคตที่สดใส ( ´ ∀ `)ノ~ ♡
แม้สถานการณ์ชีวิตช่วงนี้ของหลายๆ คน อาจกำลังปลงตก ไม่เห็นแสงสว่างปลายทาง ขี้เกียจดิ้นรนไขว่คว้า ใช้ชีวิตให้พ้นไปในแต่ละวัน ความคิดของเธออาจเปลี่ยนไป เมื่อได้อ่านบทความนี้!!
เผยแพร่: 24 พ.ย. 2563 08:00 น.
Views: 3,103
สวัสดีค่ะ สาวๆSistaCafeที่น่าร้ากก ทุกคน ヽ(o^ ^o)ノในสภาวะบ้านเมืองแบบนี้ โอกาสในการทำอะไรๆ ที่อยากทำ หรือจะก้าวทำตามความฝันของตัวเองนั้น ทั้งการไปเที่ยวรอบโลก เป็นคนมีชื่อเสียง ไปเรียนต่อ/ทำงานต่างประเทศ ได้เปิดธุรกิจของตัวเอง โอกาสเหล่านั้นมันช่างดูริบหรี่ซะเหลือเกิน ทั้งความไม่พร้อมทางการเงิน การไม่ลงรอยกันในครอบครัว จังหวะเวลาชีวิตยังไม่ได้ ทักษะความรู้ยังพัฒนาไม่พอทั้งหมดนี้ทำให้สาวซิสมากมายที่ตัดสินใจจะ' หยุดฝัน 'ใช้ชีวิตอย่างคนธรรมดาไปเรื่อยๆ ไม่คิดไขว่คว้าอะไรเพิ่มเติม จนสุดท้ายความฝันนั้นก็หลุดลอยไปอย่างถาวร ไม่อาจหวนคืนกลับมาได้อีก อนาคตที่จะสดใสก็มืดหม่นลงไปตลอดกาล.....(。╯︵╰。)ไม่ว่าเธอจะเป็นคนที่กำลังไล่ตามความฝันอย่างหนักหน่วง และตอนนี้เหนื่อย ท้อ อยู่ในช่วงหยุดพัก ไม่รู้จะเริ่มไปทางไหนต่อ หรือคนที่ใช้ชีวิตในมุมมืดมาตลอด แต่อยากให้แสงสปอตไลท์จับจ้องที่ตัวเองบ้าง บทความนี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้เธอฮึดสู้ทำตามความฝันอีกสักครั้ง!กับ' 7 เหตุผลที่สาวๆ ควรฝันให้ไกลแล้วไปให้ถึง 'แม้สุดท้ายจะไปไม่ถึงเป้าหมายสูงสุด แต่เธอจะได้ประสบการณ์สุดล้ำค่าระหว่างทางอย่างแน่นอน ถ้ากล้าที่จะฝันแล้ว ก็มาลุยไปพร้อมกันเลย!!! ヽ(>∀<☆)ノ
1. เกิดมาครั้งเดียว ใช้ชีวิตให้คุ้มค่า แบบที่ตัวเราในอนาคตจะไม่เสียดาย
ชีวิตที่เรามีตอนนี้ เป็น limited edition หมดแล้วหมดเลย ไม่มีสำรอง โอกาสบางอย่างที่ผ่านเข้ามา ต้องรอหลายสิบปี หรือแม้กระทั่งหลายร้อยปีกว่าจะวนกลับมาอีกครั้ง เช่น การได้เห็นดาวหาง ดาวตก พลาดครั้งนี้ ในชั่วชีวิตก็อาจไม่ได้เห็นอีกเลย โอกาสในการทำตามความฝันของซิสก็เช่นกัน
บางฝันขึ้นอยู่กับช่วงวัย เช่น ประกวดความสวยงาม หรือสมัครอาชีพ/ Work and Travel ที่กำหนดช่วงอายุ หากเลยช่วงนั้นไป โอกาสนั้นจะไม่ย้อนคืนมาอีก
สาวๆ จึงควรใช้โอกาสที่ได้รับให้เต็มที่ เมื่ออายุมากขึ้น มองย้อนกลับมาจะได้ไม่เสียใจว่า
" ทำไมตอนนั้นฉันไม่สมัครให้มันจบๆ ไปนะ "
ซึ่งก็ไม่เปลี่ยนความจริงที่ว่าปัจจุบันเธอทำสิ่งนั้นไม่ได้อีกแล้ว
เราเชื่อว่า การทำทุกอย่างที่อยากทำ แม้จะเจอประสบการณ์แย่ๆ พังๆ บ้าง มีจุดขึ้นสูงสุดต่ำสุด ชีวิตก็ยังมีสีสัน มีอะไรให้นึกถึงมากกว่า
ใช้ชีวิตอย่างหวาดกลัว ไม่กล้าเจอความผิดหวังเลย สุดท้ายกราฟชีวิตก็เป็นเส้นตรงเหมือนหัวใจของคนที่ตายแล้ว
ในเมื่อมีฝัน ก็ลงมือทำเถอะค่ะ!
2. เป็นแรงบันดาลใจ ไอดอลให้กับคนอื่นๆ หรือรุ่นลูกหลาน
บางครั้งฝันที่เธออยากทำ ก็เป็นสิ่งที่คนอื่นอยากทำเหมือนกัน แต่พวกเขายังไม่กล้าออกจาก comfort zone ด้วยข้อจำกัดบางอย่าง หากเธอกล้าที่จะเป็น' ผู้บุกเบิก 'ฝันนั้น นอกจากเธอมีสิทธิ์จะประสบความสำเร็จแล้ว ยังได้เป็นแรงบันดาลใจ เป็นไอดอลของคนรุ่นหลังได้อีกด้วยเช่น เธอฝันว่า' อยากเป็นนักแสดงที่ได้อยู่ในฮอลลีวู้ด 'เธอรู้แน่นอนว่ามันเหนื่อย ต้องเรียนการแสดง ลงประกวด ไปแคส สร้างคอนเนคชั่นหลายปีกว่าจะได้ไต่เต้า แม้ในที่สุดอาจจะไปไม่ถึงฝัน แต่เธอก็จะได้ประสบการณ์ ความรู้กลับมา และยังกรุยทางให้รุ่นต่อไป ไปถึงฝันของเธอได้ง่ายยิ่งขึ้นผู้ยิ่งใหญ่มากมายในอดีตที่เราได้เรียนรู้ในวิชาประวัติศาสตร์ ทั้งในวงการบันเทิง กีฬา วิทยาศาสตร์ ดาราศาสตร์ ฟิสิกส์ การเมือง หลายคนก็ไม่ได้ไปถึงจุดสูงสุด แต่เขาก็ได้จุดประกายวีรกรรมดีๆ หรือบุกเบิกอะไรใหม่ๆ ในสมัยนั้น ให้คนอื่นมารับช่วงต่อ คนก็ยังจำชื่อเขาได้จนถึงทุกวันนี้เท่านี้ก็เพียงพอที่จะได้เป็น ' ฮีโร่ ' ที่อยู่ในใจของรุ่นลูกรุ่นหลานไปตลอดกาลแล้วล่ะค่ะ
3. ฝันใหญ่ขึ้น ผลตอบแทน/รางวัลที่ได้รับ ก็ยิ่งใหญ่ขึ้นด้วยเช่นกัน!
เหตุผลหนึ่งที่คนรุ่นใหม่กล้าฝัน เพราะพวกเขารู้ว่า เขามีสิทธิ์ที่จะได้รับชีวิตที่ดีขึ้น จะพอใจกับขนมเค้กเก่าๆ ขึ้นราไปทำไม ในเมื่อเราสามารถมีขนมเค้กสดใหม่ รสชาติอร่อยกว่านี้ได้
แม้จะต้องเจอความเสี่ยง อันตรายหลายอย่างในชีวิต แต่เขาเห็นผลตอบแทนที่หอมหวานรออยู่ข้างหน้า อารมณ์ว่า ถ้าสู้ก็ไม่รู้หรอกว่าจะได้ขนมเค้กที่คุณภาพดีขึ้นแค่ไหน แต่ถ้าไม่สู้ ก็รอกินขนมเค้กเหม็นหืนก้อนเดิมได้เลย!
ถ้าจะยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดหน่อยในวัยทำงาน
คนนึงทำงานที่ได้รับมอบหมายในหน้าที่ไปเรื่อยๆ ไม่พัฒนาทักษะเพิ่ม เช้าชามเย็นชาม เลิกงานก็กลับบ้านในขณะที่อีกคนพยายามเรียนทั้ง hard skill, soft skill เข้าคอร์สอบรมตลอดเวลา ไม่หยุดที่จะเรียนรู้ ขอหัวหน้าลองทำงานที่ท้าทายขึ้น
ถามว่าคนไหนที่ดูมีอนาคตมากกว่ากัน
หากอยู่ในที่ทำงานที่ไม่อคติ ตัดสินพนักงานที่ความสามารถ คนหลังย่อมไปถึงจุดสูงสุดได้เร็วกว่าอย่างแน่นอน อย่างน้อยรางวัลที่ได้รับแน่ๆ ก็คือเงินเดือนที่เยอะขึ้นยังไงล่ะ!
4. ได้กล้าก้าวเท้าออกมาจาก 'Comfort Zone'
หลายคนติดกับดักอันใหญ่ที่เรียกว่า
' Comfort Zone '
ที่อยู่แล้วสบาย ( เหมือนจะ ) สงบสุขดี แต่ไม่ทำให้ชีวิตก้าวหน้าไปไหน จะทำดีเท่าไหร่ก็ย่ำอยู่ที่เดิม เพราะจุดที่จะทำให้เราสบายกว่านี้จริงๆ จะเริ่มเจออุปสรรคละ ต้องพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น กล้าเสียสละความสุขส่วนตัวมากขึ้น
หลายคนตายตั้งแต่ด่านแรก ยอมละทิ้งฝันกลับบ้านเพราะไม่อยากเหนื่อย ปิดสวิทช์สมองให้มันจบๆ ไป สุดท้ายอนาคตที่เคยวาดฝันไว้ ก็เป็นแค่จุดดำติดๆ ดับๆ อยู่ปลายทางเท่านั้นเอง
เรากล้าบอกเลยว่า ไม่มีอะไรที่เรียกว่า ' Comfort Zone ' อย่างแท้จริงหรอกค่ะ ชีวิตมนุษย์มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เราไม่สามารถยึดติดกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้ตลอดไป ที่ตอนนี้ยังดูปลอดภัย เพราะมันยังไม่ถึงเวลาล่มสลายต่างหากเช่น คิดว่าที่ทำงานนี้มั่นคงแล้ว แต่จะแน่ใจได้อย่างไรว่า ในอนาคตผลประกอบการจะยังดี จะไม่ปรับโครงสร้างเอาคนออก พนักงานอยู่มา 20-30 ปี วันนึงเปลี่ยนผู้บริหาร โดนไล่ออกก็มี, คิดว่าอยู่ให้พ่อแม่เลี้ยงก็สบายดี ไม่ต้องทำมาหากิน วันนึงพ่อแม่ป่วยหนัก ใช้เงินไปกับการรักษาจนหมด หรือเสียชีวิต เธอจะใช้ชีวิตยังไงต่อไป?สุดท้ายถึงจุดหนึ่งมนุษย์ก็ต้องดิ้นรนพยายามทั้งนั้น พยายามอยู่ให้ได้ด้วยตัวเอง กล้าที่จะทำตามฝันของตัวเอง แล้วเธอจะรู้ว่าโลกใบนี้มีอะไรที่ยิ่งใหญ่และน่าค้นหากว่า comfort zone ที่ไม่มีการพัฒนาใดๆ ค่ะ
5. ทำตัวเงียบๆ ไม่มีสิทธิ์มีเสียง ไม่ได้ช่วยให้ชีวิตเธอ (หรือชีวิตใคร) ดีขึ้น
การใช้ชีวิตเงียบๆ ของตัวเอง ในแง่หนึ่งมันก็สงบสุขดี แต่อีกแง่มันก็คือหลุมหลบภัยสำหรับคนที่หวาดกลัว ไม่กล้าเรียกร้องเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น สุขสบายขึ้น ในขณะที่คนที่กล้าออกมาทำตามความฝัน ซึ่งอาจจะไปขัดผลประโยชน์ ขัดหูขัดตาฝ่ายตรงข้าม กลับถูกเกลียดอย่างไร้เหตุผล
ที่น่าเศร้าคือคนที่ทำตัวกลมกลืน เงียบๆ ก็ส่งพลังเกลียดให้คนตามฝันด้วย เพราะความอิจฉา ดูเด่นเกินหน้าเกินตา กลัวเขาจะประสบความสำเร็จมากกว่า ทั้งที่ตัวเองก็ไม่ได้พยายามอะไร แปลกดีเหมือนกัน!
อย่าจำกัดกรอบความฝันให้ตัวเอง อย่าคิดว่าตัวเองจะฝันให้ยิ่งใหญ่ไม่ได้ เพราะคนรอบข้างต่างใช้ชีวิตแบบเจียมตัวกันหมด ไม่จำเป็น! มนุษย์มีเอกเทศของตัวเอง ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะทำอะไรก็ได้ จงกล้าที่จะทำตามเป้าหมายของตัวเอง แม้จะขัดกับความต้องการของคนอื่น เพราะการใช้ชีวิตแบบ ' คนตัวเล็ก ไม่มีปากมีเสียง ' ไม่ได้ช่วยให้ชีวิตใครดีขึ้นทั้งนั้น
หากไม่มีสักคนที่กล้าจะลุกขึ้นมาทำสิ่งที่มีให้ดีขึ้น ทุกวันนี้เราคงไม่มีหลอดไฟ ไม่มีโทรทัศน์ ไม่มีอินเตอร์เน็ต ไม่มีวัคซีน ไม่มีนวัตกรรมล้ำๆ ดังนั้นจงอย่ากลัวที่จะฝัน เพราะความฝัน คือจุดเริ่มต้นของอนาคตค่ะ!
6. เอาชนะ 'ความกลัว' ในจิตใจได้ ชีวิตที่เหลือก็ไม่ต้องกลัวอะไรอีก!
เราเป็นมนุษย์เดินดิน มีหัวจิตหัวใจ ก็ต้องมีบางโมเมนต์ที่เหนื่อย ท้อ กลัวที่จะเจออุปสรรคชิ้นใหญ่ที่เกินรับมือ กลัวอันตรายที่จะส่งผลต่อทั้งตัวเราและคนที่เรารัก เพราะสำหรับบางฝัน หากเดินทางมาถึงกลางทางแล้ว จะไม่สามารถย้อนกลับไปจุดเดิมได้อีก มาไกลเกินจะถอยหลังแล้ว มีแต่ต้องก้าวไปข้างหน้าเท่านั้น
ซึ่งทางข้างหน้าก็ยิ่งมีขวากหนามคอยทิ่มตำมากขึ้นเรื่อยๆ แต่เราก็ยังขอเชียร์ให้ซิสก้าวเดินต่อไป เพราะหากเราชนะความกลัวนี้ไปได้ ในชีวิตก็ไม่จำเป็นต้องกลัวอะไรอีกแล้ว
ช่วงเวลาที่เราหมดกำลังใจ หรือกำลังดิ่งมากๆ มักจะเกิดการต่อสู้ภายในจิตใจระหว่างฝ่ายดีและฝ่ายร้าย ฝ่ายร้ายก็คือจิตใต้สำนึกที่ป้องกันตัวเราเองไม่ให้ได้รับผลกระทบทางจิตใจมากเกินไป บ่อยครั้งจะมาในรูปแบบ' การยอมแพ้/ บอกตัวเองว่าทำไม่ได้ '
ซึ่งหากรับฟังมากเกินไปก็จะทำให้ชีวิตตกต่ำ หรือหยุดอยู่กับที่ไม่ยอมไปไหน นึกถึงเป้าหมายที่งดงามไว้เป็นหลัก อย่าไปฟังเสียงยั่วยุมารผจญเหล่านี้ อาจจะฟังดูยาก แต่เราเชื่อว่าสาวๆ ทุกคนเข้มแข็งพอ!
7. สร้างประวัติศาสตร์ของตัวเองขึ้น ให้รุ่นต่อๆ มาเล่าขานกันต่อไป
ชีวิตของทุกคนก็เหมือนหนังสือเล่มหนึ่ง มีการเติมแต่งเรื่องราวใหม่ๆ เข้าไปทุกวัน คนที่ใช้ชีวิตไปวันๆ หัวอ่อน เงียบๆ ไม่อยากมีปัญหา ก็จะปล่อยให้โชคชะตา หรือคนอื่นแย่งหนังสือของตัวเองไปเขียนเรื่องราวให้
หากยังไม่ต่อสู้เพื่อความฝันและความต้องการของตัวเอง สุดท้ายหนังสือเล่มนี้ก็จะมีแต่ลายมือ รอยเท้าของคนอื่น ไม่มีร่องรอยประวัติศาสตร์ของตัวเจ้าของหนังสือเลย
ตั้งแต่หน้าแรกไปจนถึงหน้าสุดท้าย เพราะเธอปล่อยให้พวกเขาบงการมาตลอด สุดท้ายก็อาจสายเกินแก้ไขเสียแล้ว
จะดีกว่าไหม ถ้าเราจะมีสิทธิ์ได้เขียน บอกเล่าเรื่องราวในหนังสือด้วยตัวเอง อย่าปล่อยให้คนอื่นมากำหนดพล็อตในชีวิต แต่เรานี่แหละจะเป็นผู้กำกับ เป็นนักแสดงนำหลักในหนังสือเล่มนี้ด้วยตัวเอง
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในหน้ากระดาษต่อไป มันจะเป็นประวัติศาสตร์ที่เราเต็มใจบันทึกลงไปให้คนรุ่นหลังได้เห็น ได้แรงบันดาลใจจากเรา แม้หน้าสุดท้ายในหนังสือของเราอาจยังทำฝันไม่สำเร็จ แต่คนรุ่นหลังที่ฝันตรงกัน อาจจะเอาเรื่องของเราไปสานต่อก็ได้ อย่าอายหรือเคอะเขินในการแสดงความเป็นเจ้าของ ' หนังสือ ' ของตัวเองนะคะ
-----------------------------------------
เราได้เกิดมาในชีวิตหนึ่ง ก็เหมือนเราได้รับของขวัญจากจักรวาลนี้ ชาติหน้าจะมีอยู่จริงไหมเราไม่มีทางรู้ แต่ตอนนี้เรามีชีวิตแล้ว ก็อย่าทำให้มันสูญเปล่า จงกล้าที่จะฝันให้ยิ่งใหญ่และเดินรอยตามฝันนั้น แม้อาจจะมีอุปสรรคให้ล้มลุกคลุกคลาน ทำพลาดหลายครั้งหลายหน ก็เป็นเรื่องปกติของความสำเร็จเส้นทางที่รุ่งโรจน์ย่อมไม่ถูกปูด้วยพรมแดงและดอกกุหลาบ แต่ขวากหนามระหว่างนั้นต่างหาก ที่จะตัดสินว่าเธอมีคุณค่าพอที่จะได้รับรางวัลที่ปลายทางหรือไม่ขออย่ายอมแพ้ แค่เรียนรู้สิ่งผิดพลาดและทำให้ดีขึ้นกว่าเดิมในทุกๆ วัน เธอก็เข้าใกล้ความฝันเพิ่มขึ้นทีละก้าวแล้วล่ะค่ะ จำไว้ว่า" เธอมีสิทธิ์เป็นทุกอย่างที่อยากเป็น "อย่าให้ใครมาทำให้ไขว้เขวเด็ดขาด ขอให้สาวซิสทุกคนโชคดีทุกคนนะคะ Go For It Girl!!
ヽ(*⌒▽⌒*)ノ