
#ปีหน้าฉันต้องดีกว่านี้! 7 หลักจัดการ 'สภาพแวดล้อมการทำงาน' เติมพลังงานบวก ชีวิตราบรื่น (ノ´ヮ`)ノ*: ・゚
เจออะไรหนักๆ กันมาเยอะแล้ว มาเริ่มต้นชีวิตใหม่ในปีหน้า จัดการชีวิตที่ยุ่งเหยิง หม่นหมอง น่าเบื่อให้กลับมามีชีวิตชีวา ไล่พลังงานลบ ความทุกข์ต่างๆ จะได้แฮปปี้ในปีหน้า 2021 และปีต่อๆ ไปอย่างราบรื่นนะคะ ( ´ ▽ ` ).。o♡

สวัสดีค่าาา สาวๆ SistaCafe คนกำลังหมดไฟทั้งหลายยย! (╥ω╥)
ยังไม่ทันสิ้นปี ข่าวสถานการณ์โควิดระลอกใหม่ก็กลับมาอีกแล้ว! หลายบริษัทปรับให้พนักงาน Work From Home อย่างถาวร, เข้าออฟฟิศไม่กี่วันต่อสัปดาห์, งานประจำเกิดวิกฤติจนต้องปรับลดพนักงาน ถูกเชิญออก ระหว่างหางานใหม่ก็ต้องรับจ๊อบเล็กๆ น้อยๆ เป็นฟรีแลนซ์ ช่วงนี้ชีวิตก็จะยุ่งเหยิงวุ่นวายพอสมควร ซึ่งเพราะข่าวที่เอาแน่เอานอนไม่ได้นี่แหละ ทำให้จิตใจฟุ้งซ่าน เมื่อจิตใจไม่อยู่กับร่องกับรอย สถานที่ทำงานหลักอย่าง ' โต๊ะทำงาน ' ก็เละเทะไปด้วย ทำให้งานไม่เดินหรือไม่ได้ประสิทธิภาพเท่าที่ควร ปี 2020 คือพังมากจริงๆ แง TT_TT
ถ้าสาวๆ อยากทำงานอย่างมีความสุขไม่ติดขัด การจัดการสิ่งต่างๆ บนโต๊ะที่ใช้ทำงานทุกวันก็เป็นเรื่องสำคัญ ไม่ว่าเธอจะใช้โต๊ะที่บ้านหรือออฟฟิศ การจัดสภาพแวดล้อมให้ดูสบายตา หรือการจัดลำดับความสำคัญเพื่อดำเนินงานให้ลื่นไหลก็ทำให้งานที่ออกมามีคุณภาพมากขึ้นได้ หากปีนี้ปรับตัวเองไม่ทันแล้ว ปีหน้าฟ้าใหม่ยังมีให้แก้ตัว! ลองนำ ' 7 หลักจัดการชีวิตบนโต๊ะทำงาน เพื่อเพิ่มพลังงานบวก ' รับรองว่างานในปีหน้า จะประสบความสำเร็จมากขึ้นอย่างแน่นอน พร้อมแล้วไปอ่านกันเลยดีกว่าค่า
♡ (⇀ 3 ↼)
1. กำจัด 'สิ่งกีดขวาง' ที่ทำให้รกหูรกตา ไม่สบายใจเสียก่อน

สภาพของห้องนอน แสดงถึงตัวตนและบุคลิกลักษณะของเจ้าของห้องได้ล่ะก็ สภาพของโต๊ะทำงานก็บอกถึงนิสัยของคนใช้โต๊ะนั้นเป็นประจำได้เช่นกันค่ะ! หากทุกวันโต๊ะของเธอมีแต่ขยะรกๆ อย่างกองกระดาษทิชชู่ขยำ, ซองขนมกินหมดแล้วไม่ยอมทิ้ง, ดินสอปากกาเก่าๆ, กระป๋องน้ำอัดลมเปล่าๆ เต็มไปหมด ก็ยิ่งจะทำให้จิตใจของเธอยุ่งเหยิง เหมือนมีขยะสุมอยู่ในใจตามไปด้วย เมื่อมองซ้ายขวาก็ไม่มีอะไรเจริญตา ก็คิดงานไม่ออก ทำงานออกมาไม่ดี สุดท้ายก็ไม่ประสบความสำเร็จนั่นเอง
เพิ่มพลังงานบวกให้โต๊ะทำงานของตัวเอง ด้วยการ ' เคลียร์ ' ของที่ไม่จำเป็นออกไปให้หมด เหลือไว้แต่สิ่งที่ช่วยเรื่องการงาน ทำให้เธอตั้งสมาธิกับงานตรงหน้าได้ดีขึ้นเท่านั้น หรือที่เทรนด์สมัยนี้เรียกว่า จัดโต๊ะแบบมินิมอล เช่น เครื่องเขียน กระดาษเปล่า คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค ( อนุญาตให้มีแก้วน้ำบนโต๊ะได้ เพราะถ้าร่างกายขาดน้ำก็สมองตื้อได้เหมือนกัน แต่ระวังน้ำหกก็พอ ) หมดปัญหาหาของไม่เจอ เมื่อโต๊ะสะอาดก็ไม่มีแมลง มดมาไต่ ทำให้ทำงานได้ราบรื่นขึ้นไปโดยปริยายค่ะ
**หากทำงานที่บ้าน โลเคชั่นในการวางโต๊ะก็สำคัญ หากวางในมุมอับไม่มีหน้าต่าง ก็อาจทำให้สมองไม่แล่นเท่าที่ควร ทางที่ดีให้วางโต๊ะติดกับหน้าต่างที่แสงเข้าแต่ไม่เยอะจนแสบตาเกินไป ลงทุนกับเก้าอี้ทำงานดีๆ ที่ปรับเข้ากับสรีระคนใช้ แม้จะมีของบนโต๊ะไม่เยอะ แต่เมื่อร่างกายผ่อนคลาย คุณภาพของงานก็จะดีขึ้นเอง เชื่อเรา!
2. เก็บข้อมูล/สิ่งของในการทำงาน ให้เป็นที่เป็นทาง เรียกใช้ได้ง่าย

เคยสงสัยไหมว่า ทำไมชีวิตทำงานของเธอถึงได้ยุ่งเหยิงไปหมด ลองสำรวจตัวเองดูว่า เคยจัดการกล่องอีเมลของตัวเองบ้างไหม หรือปล่อยให้ Junk Mail ปะปนอยู่กับอีเมลงานเต็มไปหมด จนบางทีเผลอกดส่งผิดๆ ถูกๆ ให้ลูกค้า, โต๊ะทำงานเป็นระเบียบไหม หรือมีแต่ห่อขนม กระป๋องน้ำอัดลม, ตารางงานจดมาแล้วก็ลืม ลูกค้าไลน์งานมาแล้ว read แต่ไม่ตอบ ใจเหม่อลอยไปไหนไม่รู้อยู่หรือเปล่า บางทีนั่นอาจเป็นสาเหตุที่งานปัจจุบันของเธอไม่ก้าวหน้าสักทีก็เป็นได้ -_-
ต่อจากนี้ให้จำหลักง่ายๆ ไว้ว่า ' ทุกอย่างต้องมีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ' หากมีของระเกะระกะบนโต๊ะ ก็ต้องหากล่อง,ซอง หรือถุงมาใส่ หากเป็นข้อมูลอย่างบรีฟจากลูกค้า, คอนแทคเบอร์ ที่อยู่ อีเมล์ลูกค้า ก็ต้องบันทึกใส่แฟ้มข้อมูลหรือแอพให้เรียบร้อย เวลาต้องติดต่อประสานงานกัน จะได้เรียกดูได้ง่าย ไม่ใช่จะคุยกับคนนี้ที ต้องไปนั่งหาว่าจดลงกระดาษแผ่นไหน ทิ้งไปแล้วหรือยัง แบบนี้ไม่ได้เด้อ โตจนถึงวัยทำงานแล้ว ต้องจัดของเป็นหมวดหมู่ให้คล่อง มันเป็นประโยชน์กับตัวเธอเองทั้งชีวิตทำงานและเรื่องอื่นๆ ด้วยค่ะ
3. หาช่วงเวลาที่ 'มีไฟในการทำงาน' มากที่สุด

ข้อนี้ขอเน้นไปที่สาวๆ ชาวฟรีแลนซ์ซะหน่อย ใครที่รับงานอิสระมานานจะรู้ดีว่า ถ้าจะอยู่ให้รอดหลายปี ต้องมีความรับผิดชอบสูง จัดการชีวิตเป็น เพราะด้วยเวลาที่ยืดหยุ่นมากจนบางทีมากเกินไป ช่วงแรกๆ ก็อาจทำให้ขี้เกียจ มัวแต่ดูหนัง ฟังเพลง นอนเล่นจนงานไม่เดินได้ ซึ่งมนุษย์ทุกคนโดยธรรมชาติ ถ้าไม่บ้างานจริงๆ ก็จะไม่ได้มีอารมณ์อยากทำงานตลอดเวลา ดังนั้นเราขอแค่ว่า ' ในหนึ่งวัน หาเวลาที่เธอไฟแรง หัวแล่นมากที่สุด แล้วตั้งใจทำงานให้เต็มที่ ( ตราบใดที่ไม่เกินเดตไลน์ ) ' ค่ะ
นาฬิกาชีวิตของแต่ละคนไม่เท่ากัน บางคนหัวแล่นสุดๆ ตอนเช้ามืด ตีสี่ตีห้านี่เขียนงานลื่นเชียว แต่บางคนก็ต้องรอตะวันตกดิน มืดๆ เงียบๆ ถึงจะมีสมาธิลุยงาน ลองสังเกตตัวเองว่าเป็นคนกลุ่มไหน แล้วทุ่มพลังไปกับช่วงเวลาที่ถนัด ทำควบคู่ไปกับกิจกรรมที่ช่วยกระตุ้นพลังการทำงานก็ยิ่งดี เช่น ออกกำลังกายให้ร่างกายหลั่งสารความสุข, ฟังเพลงให้ฮึกเหิม, ดื่มกาแฟ, แปะ Quote หรือคำพูดสร้างแรงบันดาลใจไว้ที่โต๊ะให้มองเห็นได้ง่าย งานที่ออกมาจะมีคุณภาพมากกว่าไปนั่งหลังขดหลังแข็งทำตอนหัวตื้อแน่นอน คอนเฟิร์ม!
4. มีตารางที่ชัดเจนในการทำงาน แบ่งงานให้เท่าๆ กัน อย่าเอ้อระเหย

ข้อนี้ไม่ว่าจะทำงานออฟฟิศหรือฟรีแลนซ์ก็นำไปปรับใช้ได้! หากเธอมีงานที่ได้รับมอบหมาย มีเดตไลน์ชัดเจน อย่าใช้วิธีเหมือนสมัยเรียนที่หมกๆ ไว้แล้วไปปั่นไฟลุกก่อนส่งแบบ One Night Miracle เพราะเจ้านายจะดูออกว่างานชุ่ย มีผลกับการประเมินงานและโบนัสสิ้นปีแน่นอน หรือคนที่วันนี้ปล่อยชิลล์ อีกวันงานหนัก ไม่มีความสมดุล อันนี้ก็เรียกว่าจัดลำดับงานไม่เป็น ร่างกายจะล้าโดยใช่เหตุค่ะ
เพราะเป็นงานจริงจัง งานที่ได้เงินตอบแทน จึงควรวางแผนการทำเป็นขั้นตอน ไม่ใช่คิดจะทำวันไหนก็ทำ แต่ต้องตัดแบ่งเนื้องานให้กระจายเท่ากันทุกวัน กำหนดปริมาณงานที่ไม่หนักอึ้งและไม่เบาหวิวมากเกินไป แต่ทำอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้งานไม่ overload ติดกันทุกวัน หรือเบาโหวงจนมาทำงานอีกทีต่อไม่ติด เป้าหมายคือ ' ทุกวันต้องมีความคืบหน้า ' ช่วงแรกอาจจะต้องบังคับตัวเองหน่อย แต่เมื่อมองย้อนกลับไปจะชื่นใจว่า งานเขยิบเป็นรูปเป็นร่างในทุกๆ วัน ดีกว่ามองงานโล่งๆ ที่ลุ้นว่าวันสุดท้ายจะทำเสร็จไหม แบบหลังเสี่ยงกว่าเยอะ บอกเลย!
5. จะติดต่อใคร / เขียนอีเมลอะไร ต้อง 'มีเป้าหมายที่ชัดเจน'

การทำงานไม่ได้มีแค่ส่วนของเนื้อหาอย่างเดียว แต่อาจมีกระบวนการอื่นๆ ที่ต้องติดต่อบุคคลโดยตรงเช่น โทรศัพท์ อีเมล ไลน์หาลูกค้า หรือประสานงานกับตัวกลางเพื่อบรรลุเป้าหมายที่ต้องการ หลักสำคัญคือต้องจำให้ขึ้นใจว่า ' เขาคือลูกค้า คนที่เราทำธุรกิจด้วย ไม่ใช่เพื่อนเล่น ต้องเป็นมืออาชีพ ' ดังนั้นทุกครั้งที่ทักไป หรืออีเมลหา ต้องมีเป้าหมายชัดเจนว่าเราจะติดต่อไปเพื่ออะไร ใช้ภาษาที่สุภาพและเป็นทางการ แต่ไม่อ้อมโลก เขียนให้ตรงประเด็น อ่านแล้วเข้าใจง่ายที่สุด
หลายครั้งที่ธุรกิจมีปัญหาเพราะเวลาประสานงานผ่านอีเมลหรือข้อความ ใช้ภาษาที่วกไปวนมา อ่านแล้วเข้าใจยาก หรือพิมพ์มาทีละเล็กทีละน้อย แทนที่จะพิมพ์มารวดเดียว เข้าใจครั้งเดียว ถ้าอีกฝ่ายงานยุ่ง เขาไม่มีเวลามานั่งอ่านไลน์ที่ส่งไปทีละ 1 ประโยค 2 ประโยคหรอกนะคะ อันนั้นคือเราคุยเล่นกับเพื่อน ถ้าคุยธุรกิจจริงจัง พิมพ์ทุกอย่างให้เสร็จ ประเด็นชัดเจนแล้วส่งไปรวดเดียวดีกว่า ประหยัดเวลา เข้าใจตรงกันทั้งสองฝ่ายด้วย
6. คิดจะทำก็ทำเลย อย่ารอ อย่าผัดวันประกันพรุ่ง!

ไม่ว่าจะเป็นพนักงานทั่วไป ฟรีแลนซ์ หรือคนที่ตั้งต้นจะทำธุรกิจ หากมีความคิดอะไรดีๆ ในหัว เราเชียร์ให้เริ่มลงมือทำเลย อย่ารอ! ผลลัพธ์จะออกมาดีหรือเฟลเราไม่รู้ แต่อย่างน้อยก็ได้ทำแล้ว ถ้าเฟลก็ได้บทเรียนนำไปปรับปรุงในครั้งหน้า อย่างน้อยก็ไม่ต้องเสียดายทีหลัง นักธุรกิจหลายคนที่รวยล้นฟ้า ก็มาจากไอเดียที่นั่งคิดเล่นๆ แล้วทำเลยก็มี ถ้าไอเดียนั้นไม่ได้ผิดกฎหมาย ศีลธรรม หรือไปทำร้ายใคร แล้วทำไมจะไม่ลองทำล่ะ ลุยโลด!
7. อดทน พยายามไต่เต้าจากสิ่งเล็กๆ หนทางประสบความสำเร็จมันไม่ง่าย!

ข้อสุดท้ายอาจไม่ใช่เคล็ดลับเจาะลึกการทำงานอะไร แต่ก็เป็นสิ่งสำคัญถ้าอยากประสบความสำเร็จในการงาน นั่นคือ ' ความอดทนและขยันขันแข็ง ' การจะขึ้นไปอยู่ที่สูงนั้นไม่ง่ายเลย บางคนล้มลุกคลุกคลานเป็นหลายสิบปีกว่าจะรวย และแม้เธอจะเป็นคนส่วนน้อยที่ฟลุกรวยตั้งแต่ยังสาว ก็ต้องมีกลยุทธิ์ประคับประคองธุรกิจนั้นให้คงอยู่ ไม่ล้ม ซึ่งบอกเลยว่า การรักษาแชมป์น่ะ ยากยิ่งกว่าการครองบัลลังก์แชมป์ซะอีก ถ้าขี้เกียจ เหลาะแหละ ยังไงก็ไปได้ไม่ไกลแน่นอน
ถ้าไม่มีเงินทุน ยังไม่มีไอเดียเจ๋งๆ ก็ไม่ผิดที่ยังไม่อยาก Dream Big หรือฝันให้ใหญ่โต เราสามารถเริ่มจากก้าวเล็กๆ หยิบจับทำนั่นนี่ไปเรื่อยๆ เพื่อสั่งสมประสบการณ์ เพื่อหาลู่ทางทำอย่างอื่นที่ใหญ่ขึ้นในอนาคต ปลายทางก็ประสบความสำเร็จเหมือนกัน ข้อดีคือถ้าเริ่มจากสิ่งเล็ก รากฐานเราจะมั่นคง แม้ขึ้นไปที่สูงแล้วเจออุปสรรค ก็จะรับมือได้ง่ายกว่าคนที่ก้าวครั้งเดียวถึงยอดเขาเลย เพราะเสี่ยงจะสั่นคลอนและร่วงหล่นลงมาในที่สุดค่ะ

---------------------------------
หลักจัดการชีวิตทำงานหลักๆ ก็จะมีประมาณนี้เลย บางข้ออาจเป็นสิ่งที่ซิสรู้อยู่แล้วแต่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับมันมากนัก หรือละเลยไปเพราะไม่คิดว่าจะมีผลอะไรมาก แต่ที่จริงแล้วไม่ว่าจะเป็นงานที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์แนวครีเอทีฟ เขียนงาน ตัดต่อคลิป หรืองานที่ใช้สมาธิอย่างเขียนโปรแกรม ทำบัญชี ก็ต้องการสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตร ชวนให้ผ่อนคลายกันทั้งนั้น ยิ่งประกอบกับหลักทำงานที่เป็นขั้นตอน มีประสิทธิภาพ ก็ยิ่งเห็นปลายทางของความสำเร็จ ตำแหน่งที่ดีขึ้น เงินเดือนที่สูงขึ้นได้ง่ายขึ้น ลองสังเกตห้องทำงานของผู้บริหารระดับสูงๆ ก็มักใช้หลัก 7 ข้อในบทความนี้กันทั้งนั้นค่ะ
อย่ามัวแต่ทำงานเอาเป็นเอาตายอย่างเดียว โลกตอนนี้ก็สุมด้วยความเครียดมากพออยู่แล้ว อย่าปล่อยให้พลังงานลบกัดกินเธอจนส่งผลกับงาน พยายามเติมพลังบวก ให้สภาพแวดล้อมการทำงานของเธอเป็น Comfort Zone มากที่สุด เมื่อสบายใจที่จะอยู่กับมัน เธอก็จะมีสุขภาพจิตที่ดีขึ้น ซึ่งนำไปสู่ผลงานที่ดีขึ้น เป็นกำลังใจให้สาวซิสทุกคนประสบความสำเร็จในปี 2021 กันทุกคนนะคะ มองบวกเท่านั้นถึงจะชนะ!! (b ᵔ▽ᵔ)b