ฮัลโหลค่าา สาวๆSistaCafeคนอยากหน้าใสเปล่งประกายทุกคน (.❛ ᴗ ❛.)เวลาเห็นคลิปดาราไอดอลคนดังล้างหน้า เผยหน้าสดใสปิ๊ง เชื่อว่าสาวๆ หลายคนก็อยากมีผิวหน้าที่เนียนเกลี้ยงถึงรูขุมขนแบบนั้นบ้าง ก็เห็นแหละว่าในคลิปเขาใช้' โฟมล้างหน้า' ยี่ห้อทั่วไปที่เธอเองก็ใช้ แต่ทำไมล้างแล้วหน้าดูไม่ค่อยสะอาดแบบที่เขาล้างเลยยังดูหมองคล้ำ ใช้โทนเนอร์เช็ดหลังล้างเสร็จก็ยังมีเป็นคราบๆ ติดสำลีอยู่... #อี๋ หรือเราพลาดขั้นตอน เทคนิคอะไรบางอย่างไปหรือเปล่านะผิวหน้าจะสวยใสเปล่งประกาย ต้องเริ่มจากขั้นตอนล้างหน้าเป็นอย่างแรกนั้น ก็เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว เพราะถ้าพื้นผิวหน้ายังเต็มไปด้วยน้ำมัน สิ่งสกปรกและเชื้อโรคต่างๆ ลงครีมบำรุงไปก็เท่านั้น แต่วิธีล้างก็มีอะไรมากกว่าแค่ใช้มือถูหน้าไปมาเฉยๆ ต้องมีทริคช่วยให้ผิวหน้าใสกิ๊งขั้นสูงสุดเพียงทำตาม' 7 ทริคลับระดับ Advance ใช้คลีนซิ่งให้ผิวหน้าสะอาดล้ำลึก มากกว่าคนทั่วไป 'รับรองว่าการล้างหน้าครั้งต่อไป ผิวจะ ' คลีน ' อย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนแน่นอน ไม่เชื่อต้องลอง( ̄▽ ̄)

1. ใช้สูตรที่เหมาะกับสภาพผิว ก็ชนะไปแล้วครึ่งนึง!

รูปภาพ:https://www.img.in.th/images/7c4c8da47d3893d3397306bfce888963.jpg

จะล้างหน้าแล้วได้ผลลัพธ์ที่ดีหรือไม่ สูตรโฟมล้างหน้าที่ใช้มีผลไปแล้วมากกว่าครึ่ง! ถ้าเธอใช้คลีนซิ่งที่ไม่เหมาะกับสภาพผิว เช่น ผิวแห้งแต่ใช้เนื้อเจล หรือผิวมันแต่ใช้เนื้อครีม ก็จะทำให้ผิวหน้ามีปัญหา อาจไม่สะอาดเท่าที่ควร หรือดึงเอาน้ำมันตามธรรมชาติออกไปหมดทำให้ผิวแห้งกร้านได้


เวลาเลือกโฟมล้างหน้าสักหลอด จึงต้องพิจารณาถึงสภาพผิวและปัญหาผิวเฉพาะของแต่ละคนด้วย

นอกจากหลักทั่วๆ ไปอย่างผิวมันใช้เจล ผิวแห้งใช้ครีมแล้ว อาจต้องใช้ไอเทมเสริมหากผิวมีปัญหาเป็นพิเศษ

เช่น ผิวที่มันมากๆ นอกจากใช้คลีนซิ่งโฟมแล้ว ต้องหาเวลาใช้ ' มาส์กเนื้อโคลน ' พอกหน้าสัปดาห์ละครั้ง เพื่อดูดซับน้ำมันออกจากผิว ปรับสภาพผิวให้สมดุลมากขึ้น ส่วนผิวแห้งก็ควรใช้ ' มาส์กพอกหน้าเพิ่มความชุ่มชื้น ' เพื่อให้ชั้นใต้ผิวไม่แห้งจนเกินไป


การใช้คลีนซิ่งคู่กับมาส์กใน Skincare Routine ถือเป็นทริคที่สาวๆ สายบิวตี้หลายคนใช้กันค่ะ

2. ล้างหน้าด้วย 'น้ำอุ่นนิดๆ' เท่านั้น

รูปภาพ:https://www.img.in.th/images/4875d2c9af0b1fc93f809f369e1fe684.jpg

แม้จะไม่เกี่ยวกับเนื้อคลีนซิ่งโดยตรง แต่ ' อุณหภูมิของน้ำที่ล้างหน้า ' ก็เป็นปัจจัยสำคัญว่าผิวหน้าจะดีหรือไม่ สาวๆ หลายคนเคยชินกับการใช้น้ำอุณหภูมิอุ่นจัดๆ จนเกือบร้อน แม้หน้าจะดูสะอาดเกลี้ยงในช่วงแรก แต่ทำลายความชุ่มชื้นของผิวในระยะยาวแน่นอน


เพราะความร้อนจากน้ำจะกำจัดน้ำมันตามธรรมชาติบนผิวหน้าไปจนหมด ทำให้หน้าค่อยๆ แห้งกร้านขึ้นเรื่อยๆ หากใครมีผิวบอบบาง ก็จะเริ่มแตก ตกสะเก็ด หรือเลือดซิบได้เลยทีเดียว #น่ากลัวมากแม่

อุณหภูมิน้ำที่เหมาะกับการล้างหน้าที่สุดคือ ' น้ำอุ่นนิดๆ ' หรือที่เรียกว่า Lukewarm Water เพราะยังมีความร้อนช่วยกระตุ้นระบบไหลเวียนโลหิตบนผิว แต่ก็ไม่ร้อนเกินไป ผิวหน้ายังกักเก็บความชุ่มชื้นไว้ได้

ใครที่บ้านไมมีน้ำอุ่น จะใช้น้ำเย็นก็ได้ ยังไงก็ดีกว่าน้ำร้อน อีกทั้งมีข้อดีช่วยกระชับผิว ลดอาการหน้าบวมหลังตื่นนอนอีกด้วย แต่เพื่อสุขภาพผิวหน้าที่ดี ใช้สลับๆ กันไประหว่างน้ำอุ่นและน้ำเย็นจะดีที่สุดนะคะ

3. ใช้ 'ไมเซลลาร์วอเตอร์' เมื่อต้องล้างหน้านอกสถานที่

รูปภาพ:https://www.img.in.th/images/a2ebb3223fa5f9f582113e5412b86df6.jpg

เวลาสาวๆ มีกิจกรรมทำกลางแจ้ง หรือออกกำลังกายเหงื่อชุ่มในระหว่างวัน แต่ยังไม่สะดวกเข้าห้องน้ำล้างหน้า หลายคนเลือกที่จะใช้แค่ทิชชู่หรือผ้าขนหนูซับเหงื่อพอแห้ง ค่อยไปล้างหน้าที่บ้านทีเดียว ซึ่งนั่นเป็นความคิดที่ผิดมาก!


ลองนึกสภาพถ้ามีเหงื่อช่วงเที่ยงๆ บ่ายๆ กว่าจะถึงบ้านขั้นต่ำก็ 4-5 ชั่วโมง เป็นระยะเวลาที่มากเกินพอ ที่เหล่าน้ำมัน สิ่งสกปรกและแบคทีเรียต่างๆ จะเข้าไปฝังตัวสะสมอยู่บนหน้า ถึงมาล้างหน้าตอนเย็นก็ไม่ทันแล้ว วันรุ่งขึ้นสิวมาเซย์ไฮแน่นอนจ้า

เพื่อป้องกันไม่ให้ผิวหน้ามีปัญหาหมองคล้ำหรือสิวบุก แนะนำให้สาวๆ ซื้อ Travel Set ของ 'คลีนซิ่งไมเซลลาร์วอเตอร์' ขวดขนาดพกพา กับสำลีห่อเล็กๆ ไว้ติดกระเป๋า หากวันนั้นทำกิจกรรมหนักจนเหงื่ออาบหน้า ก็ใช้สำลีชุบคลีนซิ่งปาดให้ทั่วหน้าได้เลย


ผลลัพธ์ไม่ต่างจากการล้างหน้า ข้อดีคือเช็ดตรงไหนก็ได้ ไม่ต้องหาอ่างล่างหน้า ไม่ต้องใช้น้ำล้างออกอีกด้วย ถ้าไม่อยากเผยหน้าสดให้คนอื่นเห็น ก็พกเครื่องสำอางไปเติมหน้าทีหลังก็ได้ เอาความสะอาดของผิวไว้ก่อน!

4. ทำความสะอาด 'สองรอบ' เก็บกวาดสิ่งสกปรกให้เกลี้ยง!

รูปภาพ:https://www.img.in.th/images/d8749f1a735ebe3f929fa58e6fd6110d.jpg

ยุคสมัยนี้ทั้งคราบสิ่งสกปรก ฝุ่น มลภาวะเยอะไปหมด แค่น้ำมันส่วนเกินบนผิวก็เยอะพออยู่แล้ว แค่ก้าวขาออกจากบ้านก็เจอทั้งฝุ่น PM2.5 ควันรถหมูปิ้ง ไก่ปิ้ง ควันท่อไอเสียมอเตอร์ไซค์ รถเมล์ เรียกว่ายังไงก็หนีไม่พ้น

ถ้าแต่งหน้าไป ระหว่างวันเหงื่อก็จะไหลไปกองรวมกับเมคอัพ กลายเป็นคราบฝังลึกบนหน้าไปอีก ยังไงล้างหน้ารอบเดียวก็ไม่พอ เราจึงแนะนำให้สาวๆ ยึดหลัก ' ล้างหน้าสองรอบ ' หรือ Double Cleansing ในการทำความสะอาดทุกๆ วันค่ะ

ถ้าไม่ใช่คนแต่งหน้า แค่ทาครีมกันแดดอย่างเดียว จะล้างแค่คลีนซิ่งโฟมสองรอบก็ได้ แต่ถ้าแต่งหน้าจัดเต็ม รอบแรกควรใช้คลีนซิ่งไมเซลลาร์เช็ดสิ่งสกปรกออกให้ผิวหน้าสะอาดก่อน

แล้วจึงใช้โฟมล้างหน้าอีกรอบ ถ้าจะให้ดีใช้โทนเนอร์เช็ดอีกรอบหลังล้างหน้า ผิวก็จะยิ่งสะอาดเกลี้ยงเกลามากขึ้น สิวไม่มากวนใจชัวร์ๆ!

5. อย่าล้างแค่ผิวหน้าอย่างเดียว ล้างลงมาถึง 'ลำคอและไหปลาร้า' ด้วย

รูปภาพ:https://www.img.in.th/images/f9c26c8ac9c5a840bced1b47b9d700c5.jpg

เป็นอีกทริคที่สาวๆ หลายคนคิดไม่ถึง ว่าการทำความสะอาดผิวหน้าไม่ได้จำกัดแค่ช่วงกรอบหน้าเท่านั้น แต่สิ่งสกปรกสามารถไหลลงมาได้ถึงช่วงคอและช่วงอก-ไหปลาร้าได้เช่นเดียวกัน


แม้จะเป็นส่วนที่อยู่ด้านล่าง ไม่ได้ทำให้ผิวหน้าสกปรกโดยตรง แต่ถ้าไม่ใส่ใจทำความสะอาดเลย ก็อาจจะเกิดปรากฎการณ์ผิวหน้าใสปิ๊ง แต่ลำคอและไหปลาร้าหมองคล้ำ สิวขึ้น หรือดูสกปรกได้ ทำให้มองแล้วไม่สวย ใส่เสื้อโชว์ไหล่ก็ดูไม่ค่อยมีออร่า ดังนั้นจะล้างทั้งที ก็ล้างให้หมดรวดเดียวเลยจะดีกว่าค่ะ

ปกติเวลาล้างหน้า เรามักจะเปลือยทั้งตัวอยู่แล้ว แต่อาจจะล้างผ่านๆ ไม่ได้ขัดถูช่วงคอเป็นพิเศษ ครั้งหน้าลองใส่ใจกับการถูช่วงคอ ช่วงอกให้มากขึ้น ถ้ากลัวเปลืองโฟมล้างหน้า ใช้ครีมอาบน้ำสูตรอ่อนโยนแทนก็ได้


จำไว้ว่าสิวไม่ได้ขึ้นแค่ที่หน้าจุดเดียว แต่ตรงคอกับหน้าอกก็ขึ้นได้ถ้าไม่สะอาด ถ้าคนนอกเห็นว่าส่วนนั้นสิวขึ้นเพราะเราอาบน้ำไม่เกลี้ยง ก็คงน่าอายสุดๆ เลยนะ T////T

6. ไม่สะสมเชื้อโรค ด้วยการล้าง 'แปรงแต่งหน้า' ให้สะอาด

รูปภาพ:https://www.img.in.th/images/4fb734b31320c14615a914587e83ed5b.jpg

สำหรับสาวๆ ที่ต้องแต่งหน้าออกจากบ้านทุกเช้า อุปกรณ์อย่างนึงที่เธออาจหลงลืมไปว่าต้องสัมผัสผิวหน้าบ่อยพอๆ กับมือก็คือ ' แปรงแต่งหน้า ' ซึ่งแม้จะใช้หลังล้างหน้าทุกครั้ง แต่ผิวหน้าก็ไม่ได้สะอาด 100% ในทุกวัน ย่อมมีสิ่งตกค้างหลงเหลืออยู่บ้าง


หากใช้แปรงแต่งหน้าบ่อยๆ ก็ยิ่งสะสมสิ่งสกปรกบนขนแปรงไปเรื่อยๆ สุดท้ายก็ไม่ต่างจากแหล่งสะสมเชื้อโรค ใช้บ่อยสิวก็ขึ้นแน่นอน

แม้จะไม่ได้แต่งหน้าบ่อยๆ ก็ควรนำแปรงแต่งหน้าออกมาทำความสะอาดเป็นระยะ จะใช้น้ำยาล้างแปรงโดยเฉพาะ หรือสบู่สูตรอ่อนโยนก็ได้ ใช้มือขยี้เบาๆ ให้คราบสีเมคอัพหลุดออก แล้วนำไปผึ่งแดดจนกว่าจะแห้ง


ยุคนี้ถ้ามีงบก็สามารถซื้อเครื่องล้างแปรงได้ เพียงจุ่มแปรงลงไป เครื่องจะหมุนๆ จนกว่าขนจะสะอาด ซึ่งก็ทุ่นแรงทุ่นเวลาในการซักแปรงเองได้ดี ถ้าต้องแต่งหน้าบ่อยอยู่แล้ว เราเชียร์ให้ซื้อเก็บไว้สักเครื่อง เพราะการล้างแปรง 10-20 แท่งทุกเดือนเนี่ย ดูดพลังของเราไปพอสมควรเลยล่ะ

7. ใช้ 'อุปกรณ์ช่วยล้างหน้า' ก็ยิ่งได้ผลลัพธ์ดีขึ้น

รูปภาพ:https://www.img.in.th/images/6f9e79e75c39e735c1b16ac20e1439fa.jpg

ข้อสุดท้าย ขอปิดจบสำหรับคนที่พูดได้ว่า ' เงินไม่ใช่ปัญหา ' เพราะอุปกรณ์ช่วยล้างหน้าก็มีราคาค่อนข้างสูง แต่ถ้าสามารถจ่ายได้ก็เป็นตัวช่วยที่ดี เพราะบางครั้งการทำความสะอาดด้วยมืออย่างเดียวก็ไม่เพียงพอ


ยิ่งในวันที่หน้าสกปรก เลอะเทอะเป็นพิเศษ หรือแต่งหน้าค่อนข้างหนา จนคิดว่าน่าจะมีรองพื้นตกค้างในรูขุมขนแน่ๆ การใช้เครื่องก็ช่วยดึงสิ่งตกค้างออกมาได้ง่ายและสะดวกกว่าค่ะ

ถ้างบไม่ถึงเครื่องล้างหน้าราคาหลักพัน อีกทางหนึ่งที่อยากให้ลองใช้คือ ' แปรงขัดหน้า ' ที่มีลักษณะเป็นขนแปรงนุ่มๆ เพียงใช้คลีนซิ่งโฟมลงให้ทั่วผิวหน้าก่อน แล้วใช้แปรงขัดวนๆ ให้ทั่วผิวหน้า อย่าขัดแรงเดี๋ยวระคายเคืองผิว!

นอกจากผิวจะสะอาดมากขึ้นแล้ว ยังเป็นการสครับขัดเซลล์ผิวเก่าออกไปในตัวด้วย มีแต่ได้กับได้ค่ะ *ถ้าผิวบอบบางเป็นพิเศษไม่แนะนำ เพราะขนอาจจะบาดผิวจนเกิดแผลได้*

-------------------------------

อยากเพิ่มระดับการล้างหน้าให้สะอาดเกลี้ยง ไม่เหลือสิ่งสกปรกอุดตันรูขุมขน ไม่ต้องเสียเงินเข้าคลินิกซื้อทรีทเมนต์แพงๆ ก็ได้ แค่เริ่มจากใช้คลีนซิ่งล้างหน้าให้เต็มประสิทธิภาพก่อน รู้ว่าควรใช้แบบไหน เลือกสูตรให้เหมาะกับสภาพผิวยังไง รวมไปถึงดูแลอุปกรณ์อื่นๆ ที่ต้องมาสัมผัสผิวหน้า เช่น แปรงแต่งหน้า สำลี และใช้อุปกรณ์ล้างหน้าเพื่อกำจัดสิ่งสกปรกที่มืออย่างเดียวอาจเอาไม่ออก เท่านี้ผิวหน้าก็สวยเป๊ะได้แล้วถ้าล้างหน้าได้ดี ผิวก็จะเป็นผืนผ้าใบที่สะอาดพร้อมรับการแต่งเติมจากเครื่องสำอาง หรือจะหน้าสดออกนอกบ้านก็ไม่ต้องอายใคร คนทั่วไปอาจให้ความสำคัญที่ครีมบำรุง แต่ถ้าขาดคลีนซิ่งที่มีคุณภาพไป หน้าก็ไม่มีทางเพอร์เฟกต์ได้อยู่ดี ทุกขั้นตอนมีความสำคัญในตัวเองค่ะ มาล้างหน้าอย่างถูกวิธี ให้ผิวใสกิ๊งต้อนรับปี 2021 กันน้าา วันนี้ต้องขอตัวลาไปก่อน พบกันใหม่คราวหน้า บ๊ายบายค่าา