#ก็คงล้มเหลวแบบเดิมอยู่ดี! 7 Mindset สกัดกั้น ' ความฝันในชีวิต ' ให้ดิ่งลงเหว ไม่ประสบความสำเร็จสักที
วิ่งตามฝันเท่าไหร่ ฝันนั้นก็เหมือนห่างออกไป เอื้อมไม่ถึงสักที หรือชาตินี้เราจะไม่มีวันไปถึง?? ลองมาเช็กจากบทความนี้ดูค่ะว่า ฝันที่ดูไกลแสนไกล มาจากสิ่งภายนอก หรือมาจากตัวเธอเองกันแน่?
เผยแพร่: 8 ก.พ. 2564 15:00 น.
Views: 3,017
รหัสบทความ: 81531
สวัสดีค่ะ สาวๆSistaCafeที่กำลัง ' ตามล่าหาฝัน ' ทุกคน (⌒▽⌒)☆เชื่อว่าซิสทุกคนเมื่อเกิดมาก็ย่อมมี ' ความฝัน ' ที่อยากไปให้ถึง อยากประสบความสำเร็จในเรื่องใดเรื่องหนึ่งไม่ว่าจะเป็นฝันเล็กๆ หรือฝันใหญ่ระดับโลก อยากทำให้ตัวเองและครอบครัวภาคภูมิใจ หรือบรรลุเป้าหมายส่วนตัวของตัวเอง แต่แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะขึ้นบันไดเหล่านั้นรอดไปถึงปลายทางได้หลายคนติดแหง็กระหว่างทาง หรือบางคนก็ร่วงลงมาจากขั้นสูงลงมาเริ่ม 1 ใหม่แบบงงๆ โดยไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิดพลาดไป สุดท้ายก็ท้อ ล้มเลิกแพลน ไปไม่ถึงฝั่งฝันจนได้หนึ่งในปัจจัยหลักที่ทำให้เธอไม่พบกับคำว่า' ความสำเร็จ 'เสียที อาจจะเป็นทัศนคติหรือที่คนสมัยนี้เรียกว่า mindset ซึ่งหมายถึงแนวคิดที่เธอมีกับสถานการณ์ อุปสรรคต่างๆ ที่เข้ามา ซึ่งแนวคิดบางอย่างนี่แหละ กลายเป็นตัวฉุดรั้งทำให้ย่ำอยู่กับที่ไม่ไปไหนในบทความนี้เราจึงขอมาแชร์' 7 ความคิดสกัดกั้นความฝันให้ดิ่งลงเหว ชีวิตล้มเหลวจนถึงทางตัน 'ลองมาเช็กซิว่า มีข้อไหนตรงกับสิ่งที่เธอคิดในตอนนี้บ้าง จะได้รีบรู้ตัวและแก้ไขทันค่ะ
1. ไม่เปิดใจรับ ' มุมมองและแนวคิดใหม่ๆ ' เลย
โลกผันเปลี่ยนไปทุกวัน ยิ่งในยุคเทคโนโลยีแบบนี้ เทรนด์หรือกระแสบางอย่างก็มาชั่วข้ามคืน ยิ่งถ้าทำงานในวงการโฆษณาและสื่อ จะรู้ว่าความคิดแค่ไม่กี่ชั่วโมงหรือไม่กี่นาทีที่แล้ว ก็อาจเป็นความคิดล้าสมัยได้เมื่อเจอสิ่งที่ดีกว่า
ดังนั้นการยึดติดอยู่กับวิถีชีวิตเดิมๆ พฤติกรรมเก่าๆ หรือทัศนคติตั้งแต่ 50-60 ปีที่แล้ว โดยไม่รับฟังหรือเปิดใจแนวคิดในมุมมองใหม่ รังแต่จะทำให้ชีวิตของเธอไม่ก้าวหน้าไปไหน เผลอๆ จะยิ่งถอยหลังลงคลองเสียด้วยซ้ำ เพราะโดนคนอื่นแซงหน้าไปหมดแล้ว
พยายามทำใจให้เป็นกลาง ในบางสถานการณ์ลองตัดอคติส่วนตัวออกไป แล้วหันมายืนมองอยู่ห่างๆ ฟังความเห็น คำแนะนำของคนรุ่นใหม่ เธอจะได้รับรู้มุมที่ไม่เคยคิดถึงมาก่อน และอาจนำไปสู่ไอเดียใหม่ๆ เพื่อสานฝันของตัวเองได้ดีขึ้น รวดเร็วขึ้นกว่าวิธีการเดิมๆ ที่เคยคิดไว้ก็เป็นได้
จำไว้เสมอว่า อยากแตกต่าง อยากโดดเด่นกว่าคนอื่น ต้องไม่ให้ความคิดมาตีกรอบตัวเองเด็ดขาด เพราะโลกแห่งความจริงไม่เคยมีกรอบเป๊ะๆ ค่ะ
2. ถามตัวเองไม่ตรง ' คำตอบ ' ชีวิตจึงย่ำอยู่กับที่
การทบทวนชีวิต ตั้งคำถามกับตัวเองเป็นระยะว่ากำลังทำอะไรอยู่นั่นเป็นเรื่องดี นักธุรกิจ เศรษฐีมากมายที่ประสบความสำเร็จในชีวิตก็ทำกัน แต่ถ้าเธอต้องตั้งคำถามตลอดเวลาจนไม่ได้ลงมือทำอะไรสักอย่าง นั่นเป็นสัญญาณที่ไม่ค่อยดีแล้ว!
ถ้าทุกวันนี้เธอเอาแต่ถามตัวเองว่า " ถ้ามันเฟลล่ะ " " ถ้ามันพังล่ะ " " ควรทำแบบนี้ดีมั้ย หรือทำแบบนี้จะดีกว่า " ( แต่คิดวนแบบนี้เป็นปีแล้ว ) แบบนี้คือการถามไม่ตรงคำตอบ รั้งให้ชีวิตย่ำอยู่กับที่ ไม่ก้าวหน้าไปไหนค่ะ
ถ้าสิ่งที่เธอถามตัวเองในใจ เป็นการตัดสินใจชัดเจนว่าจะเลือกเดินเส้นทางไหน เมื่อเลือกได้แล้วก็ทำทันทีไม่รีรอ เห็นผลลัพธ์ชัดเจนว่าควรพัฒนาหรือเปลี่ยนทิศทางฝัน นั่นคือคำถามเชิงบวก ควรถามเพื่อนำไปสู่ชีวิตที่ดีขึ้น
แต่คำถามประเภทสงสัยตัวเอง ด่าและดูถูกตัวเองซ้ำๆ ว่าทำไม่ได้หรอก เดี๋ยวก็เจ๊ง เดี๋ยวก็ล้ม ทำไปทำไมให้เสียเปล่า แบบนี้คือคำถามเชิงลบที่ toxic กับจิตใจอย่างมาก
ในความเป็นจริงเราไม่รู้หรอกว่าอะไรจะดีไม่ดี จนกว่าจะลงมือทำ แทนที่จะนั่งเกลียดตัวเองซ้ำๆ ลองทำอะไรให้เป็นรูปธรรมดูสักอย่างไหม จะได้รู้ว่าจะไปทางไหนต่อ? ลอง ' ถาม ' ตัวเองดูค่ะ
3. ไม่ประเมิน ปรับปรุงและแก้ไข ' ข้อผิดพลาดในอดีต ' ของตัวเอง
มนุษย์คนหนึ่งมีทั้งข้อดีและข้อเสียเป็นปกติอยู่แล้ว เป็นไปไม่ได้ที่ทั้งชีวิตตั้งแต่เกิดมาเธอจะทำดี 100% แบบหาที่ติไม่ได้เลย หรือทำชั่วทำเลวบริสุทธิ์จนหาข้อดีมาชมไม่ได้ มันก็มีทั้งคู่ปนกันเป็นสีเทาๆ นั่นแหละ
แต่เมื่อพูดถึงประเด็นอยากประสบความสำเร็จ ขั้นแรกเราต้องรู้จัก ' ประเมินตัวเอง ' ก่อนว่าเคยทำผิดอะไรในอดีตแล้วแก้ไขมันซะ ก่อนจะดูจุดแข็งของตัวเองแล้วพัฒนาให้แข็งแกร่งขึ้น นั่นคือคุณสมบัติของคนก้าวหน้าค่ะ
ในปัจจุบันนี้ก็ยังมีคนอีกมากมายที่ดื้อรั้น ดันตะแบง จะไปต่อในทางที่ก็รู้อยู่แล้วว่าไม่ดี เดี๋ยวก็พลาดซ้ำ ไม่เคยปรับปรุง ทบทวนข้อเสียที่ผ่านมาของตัวเองเลย นึกภาพง่ายๆ ก็เหมือนคุณเคยเดินตกฝาท่อที่ถนนเส้นนี้มาก่อน แต่แทนที่ครั้งหน้าจะเลี่ยงไปเดินถนนเส้นอื่นหรือเดินหลบให้พ้น เธอก็ยังจะเดินแบบเดิม เพื่อไปล้มที่จุดเดิมซ้ำซาก
แบบนี้ไม่ได้เรียกว่าอดทนหรือมีมานะอะไรเลยค่ะ แต่เรียกว่าเจ็บแล้วไม่จำ หรือถ้าพูดแบบแรงๆ ก็.... นั่นแหละค่ะ ถ้ายังไม่รู้ว่าปัญหาคืออะไร แล้วจะแก้ปัญหานั้นได้ยังไงกันล่ะ จริงไหม??
4. ผัดวันประกันพรุ่ง ทุกครั้งต้องเลื่อนไป ' พรุ่งนี้ ' เสมอ
อาจจะด้วยความกลัว ขี้เกียจ หรือทำใจรับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นหลังการกระทำนี้ไม่ได้ จึงติดนิสัยขี้เลื่อน ' ผัดวันประกันพรุ่ง ' อยู่เป็นนิจ ตั้งแต่เรื่องเล็กๆ ลามไปถึงเรื่องใหญ่โตอย่างเรียนต่อเมืองนอก ซื้อบ้าน ซื้อรถ กู้หนี้ยืมสิน จะคบกับแฟนคนนี้หรือไปต่อ จะทำธุรกิจกับคนนี้หรือไม่ จะลงทุนกับหุ้นตัวนี้ดีไหม
ได้แต่ผัดผ่อนเรื่อยไปเหมือนหนีปัญหา สุดท้ายก็ไม่ทันกิน คนอื่นที่เขาไหวตัวเร็วกว่าก็แซงหน้าไปหมด บางอย่างมีระยะเวลาชัดเจน ถ้าเธอเลือกไม่ทันผลเสียก็ตกที่ตัวเธอเอง เช่น เลือกที่เรียนไม่ทัน ก็ต้องสอบใหม่ปีหน้า เป็นต้น
ชีวิตคนเรามันสั้น เกิดมาแค่รอบเดียว ตายก็หนเดียว ถ้าพูดกันตรงๆ แบบโหดร้ายคือเราไม่ได้มีเวลามากขนาดนั้น พรุ่งนี้ตื่นมายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะมีชีวิตอยู่จนจบวันหรือเปล่า มีโอกาสอะไรให้ตัดสินใจก็รีบลงมือทำ ฟังเสียงหัวใจตัวเอง เราเชื่อว่าหัวใจของทุกคนไม่โกหกอยู่แล้ว และเมื่อทำตามหัวใจก็ไม่จำเป็นต้องเสียใจภายหลังด้วย
ใครที่กำลังเฉื่อยช้าหรืออยากเลื่อนวันออกไปเป็นครั้งที่ล้าน บางทีอาจถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนนิสัยอย่างจริงจังแล้วล่ะนะ ก่อนจะไม่มี ' พรุ่งนี้ ' ให้เธออ้างถึงได้อีก
5. เป้าหมายไม่ชัดเจน มองอนาคตเลือนราง ว่าจะทำยังไงกับชีวิตดี
วิสัยทัศน์ในชีวิตก็เป็นอีกเรื่องที่สำคัญ! การใช้ชีวิตของมนุษย์อาจจะเป็นเส้นตรงบ้าง คดเคี้ยวบ้าง หรือต้องสมบุกสมบันปีนขึ้นบันไดบ้าง แต่สุดท้ายแล้วทุกคนก็กำลัง ' ก้าวไปข้างหน้า ' เป็น one way trip ไม่สามารถถอยหลังกลับได้ เป็นผู้ใหญ่แล้วจะย้อนวัยตัวเองกลับเป็นวัยรุ่นหรือเด็กน้อยอีกก็ไม่ได้อีกแล้ว
ดังนั้นเป้าหมายในการมีชีวิตอยู่จึงสำคัญ เหมือนคนที่ใส่แว่น ถ้าภาพชัดแจ๋วก็พร้อมเดินต่อ แต่ถ้าภาพขุ่นมัว จะเดินไปทางไหนก็สะเปะสะปะ เสี่ยงล้มกลางทางมากๆ
การที่สาวๆ ตามล่าหาฝันอะไรก็คว้าน้ำเหลวตลอด บางทีสาเหตุที่เธอไม่กล้ายอมรับคือ " เธอไม่เคยรู้ตั้งแต่แรกว่าชีวิตนี้ต้องการอะไรกันแน่ " แค่ทำตามกระแสสังคม หรือแรงกดดันจากเพื่อน ครอบครัวมากกว่า ไม่ใช่สิ่งที่ชอบจริงๆ
เพราะฉะนั้นลองใช้เวลากับตัวเองสักวัน ตัดคนภายนอกออกไปทั้งหมด นั่งคิดทบทวนกับตัวเองดีๆ ว่าชีวิตนี้อยากได้อะไร ต้องทำอะไรเพื่อให้ตัวเองมีความสุข คำตอบที่เธอเฝ้ารอคอยมานานอาจปิ๊งขึ้นมาในวันนั้นก็ได้นะ
6. กลัวสายตาคนอื่น กลัวการซุบซิบนินทาว่า ' เธอล้มเหลวอีกแล้ว '
สำหรับหลายคน คำวิพากษ์วิจารณ์ ความคิดเห็นและสายตาของบุคคลภายนอก ส่งผลกระทบกับความรู้สึกและการดำเนินชีวิตของพวกเขามาก ไม่ว่าจะขยับตัวไปไหน ทำอะไร หรือแม้แต่ใส่เสื้อผ้าสไตล์ไหน ก็ต้องเช็กก่อนว่าคนอื่นจะชอบรึเปล่า จะโดนซุบซิบนินทาลับหลังหรือไม่
บางคนเป็นหนักถึงขั้นที่ว่า self-esteem จะพังทลายแม้มีคนไม่ชอบเขาแค่คนเดียว จะเรียนต่อที่นี่คนอื่นจะซุบซิบมั้ยว่ามหาลัยไม่ดัง? จะคบคนนี้คนจะด่ามั้ยว่าไม่หล่อ ไม่รวย? เป็นต้น
การแคร์คนอื่นบ้าง เช่น พ่อแม่ เพื่อนสนิท แฟน เพื่อสะท้อนตัวเอง และพัฒนาข้อด้อยของตัวเองเท่าที่ทำได้นั้นเป็นเรื่องดี แต่สำหรับความชอบ รสนิยม และการดำเนินชีวิตของเรานั้นเป็นเรื่องอิสระที่ไม่จำเป็นต้องได้รับความเห็นชอบจากคนแปลกหน้าที่ไหนก็ไม่รู้ ที่ไม่ได้มีส่วนอะไรกับชีวิตเธอเลย
เธอขึ้นสูงเขาก็อิจฉา เธอตกลงมาเขาก็สมน้ำหน้า ดังนั้นใช้ชีวิตแบบที่ต้องการเถอะ ถ้าคนจะนินทา เป็นแม่พระที่ดีที่สุดในโลก เขาก็ขุดเรื่องอื่นมาด่าอยู่ดี เสียเวลา!
7. ใจร้อน ลงมือแล้วหวังว่าจะได้ผล ' เดี๋ยวนี้ ' เท่านั้น
เธอเคยได้ยินสุภาษิตนี้ว่า " ช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม " ไหม เรื่องบางอย่างต้องใช้เวลาเพื่อฟูมฟัก เก็บเกี่ยวสั่งสมประสบการณ์ เร่งไปก็รังแต่จะเกิดผลเสีย การเอาแต่คิดว่าตัวเองต้องประสบความสำเร็จให้เร็วที่สุด
อยากเป็นเศรษฐีอายุน้อยร้อยล้าน หรือมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกในวัยสิบ ยี่สิบกว่าๆ เหมือนไอดอลที่ชื่นชอบ จะทำให้เธอกดดันตัวเองเกินเหตุโดยไม่จำเป็น ยิ่งถ้าทุ่มเทมากแบบไม่หยุดพัก ปล่อยวางไม่เป็น อาจนำมาสู่โรคเครียดและซึมเศร้าอย่างหนักได้เลย
การมีความฝันที่ยิ่งใหญ่นั้นเป็นเรื่องดี และเราสนับสนุนให้ทุกคนฝัน แต่ไม่ใช่ทุกคนที่ฝันอลังการแล้วจะได้อย่างที่หวัง ' ในทันที ' ยกตัวอย่างวงการบันเทิง บางคนเข้าวงการมาไม่กี่เดือนดังเป็นพลุแตก แต่บางคนอยู่เบื้องหลังมานานเป็น 20-30 ปีถึงจะเริ่มมีคนมองเห็น
บางทีมันก็ขึ้นกับความสามารถ โชคชะตา จังหวะที่เหมาะสมด้วย ทำวันนี้ให้ดีที่สุด แต่อย่าไปคาดหวังจากปัจจัยภายนอกมากเกินไป ตราบใดที่วันนี้เก่งกว่า ดีกว่าเมื่อวาน เธอก็เข้าใกล้ฝันไปอีกก้าวแล้วค่ะ ^ ^
---------------------------------
การที่ความใฝ่ฝัน ความมุ่งหวังของคนคนหนึ่งจะไปถึงเป้าหมายได้ ย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนเดินบนทางราบเรียบ ย่อมต้องมีขวากหนาม บันไดขรุขระที่เข้ามาทดสอบจิตใจอยู่เป็นระยะ และยังมีปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น ธรรมชาติ ( โควิด ), คอนเนคชันทางสังคม, เงินในบัญชี etc. แต่สิ่งที่มีอิทธิพลที่สุดก็คือ mindset หรือความคิดที่อยู่ในหัวของเรา เพราะมันจะเป็นสารตั้งต้นที่เราไว้ใช้ตัดสินใจ และปฏิบัติในเรื่องต่างๆ ที่จะเข้าใกล้หรือห่างไกลความฝันก็มาจากจุดนี้นี่แหละค่ะถ้าเราคิดกับทุกสิ่งในทางลบ หรือกลัว ไม่กล้าออกจาก comfort zone ห่วงสายตาคนอื่นมากไป คุมอารมณ์ในจิตใจตัวเองไม่ได้ ก็คงยากถึงขั้นเป็นไปไม่ได้ที่เธอจะมีความสุขหรือได้สิ่งที่ต้องการ ใครที่มีความคิดเหล่านี้เป็นกรงขังตัวเอง ก็อยากให้ค่อยๆ ปรับแก้ เปลี่ยนความคิดไปในทางที่ดีขึ้น กุญแจออกจากกรงน่ะ เรามีมันอยู่แล้ว ขึ้นอยู่กับว่าเธอจะเปิดประตูกรงออกมา หรือจะอยู่ในคุกนั้นไปตลอดกาล เธอต้องเลือกเองแล้วละ...