รูปภาพ:https://i.pinimg.com/originals/82/20/88/822088ed35d9ab58fd1db4a6d216d381.gif

สวัสดีค่าา สาวๆSistaCafeที่กำลัง' มึนหัวตึ๊บ! 'ทุกคน!ไม่มีใครอยากเจ็บป่วย อันนี้เรื่องปกติอยู่แล้ว แต่ถ้าต้องจัดอันดับโรคที่ป่วยแล้วแทบจะใช้ชีวิตประจำวันไม่ได้เลย ต้องนอนนิ่งๆ อย่างเดียว หนึ่งในตัวท็อปที่ส่งเข้าประกวดก็คือ ' ปวดหัว 'เพราะอวัยวะที่จะเอาไว้คิด สั่งการอะไรต่างๆ ก็คือสมอง แต่เมื่อปวดหัวตื้อแล้ว คิดอะไรก็ไม่ออก เบลอ เจ็บปวด อึดอัดน่ารำคาญ บางทีก็เหมือนหัวมีเสียงหวึ่งๆ หรือมีค้อนมาทุบหัวอยู่ตลอดเวลา #ทรมานแท้สาเหตุในการปวดหัวก็มีหลายปัจจัย เช่น ความเครียด นอนน้อย ดื่มกาแฟเยอะเกินไป หรือได้ยินเสียงดัง สูงแหลมเกินพิกัด แต่อีกเหตุผลหนึ่งที่สาวๆ หลายคนอาจมองข้ามไปคือ ' อาหารที่กิน ' ซึ่งถ้ากินผิดประเภท อาจกระตุ้นให้เกิดอาการปวดหัวหรือถ้าปวดอยู่แล้ว ก็จะยิ่งปวดรุนแรงขึ้นไปอีก!!หากครั้งหน้าหัวเริ่มปวดจี๊ดขึ้นมา ก็ควรเลี่ยงในบทความนี้ ถ้าอยากหายไวๆ และกลับมาใช้สมองได้อย่างรวดเร็วนะคะ (´。• ω •。`) ♡

1. ขนม/น้ำอัดลมสูตร ' ไดเอท ' 0 แคลอรี่

รูปภาพ:https://www.img.in.th/images/1a31749342ab9d09de63467c403ce187.jpg

สาวๆ ที่กำลังควบคุมน้ำหนัก หรือคิดจะไดเอทด้วยการดื่ม ' น้ำอัดลม 0 แคลอรี่ ' ที่ใส่สารให้ความหวานแทนน้ำตาลนั้น ถ้าเธอปวดหัวง่ายหรือมีไมเกรนเป็นโรคประจำตัว เราไม่แนะนำให้ดื่มอย่างยิ่ง!


เพราะน้ำตาลเทียมมีผลเสียข้างเคียงต่อระบบประสาทเมื่อกินในปริมาณมากๆ เช่น ปวดหัว มึนหัว หรืออาจถึงขั้นสูญเสียความจำบางส่วนได้เลย ถ้าเลี่ยงได้ก็เลี่ยง ดื่มเป็นน้ำเปล่าหรือน้ำหมักผลไม้ ( infused water ) ผอมเหมือนกัน แต่ดีต่อสุขภาพมากกว่า


2. เนื้อสัตว์สำเร็จรูป/ เนื้อสัตว์แปรรูป

รูปภาพ:https://www.img.in.th/images/f9894cc0b3208ecf68e10e44b47bb1f8.jpg

ใครที่ชอบกินเนื้อสัตว์แปรรูปจำพวกไส้กรอก แฮม เบคอน ฮอตดอก แบบแช่ฟรีซมา ใส่ในตู้เย็นเป็นเดือนก็ยังดูสดเหมือนใหม่นั้น นั่นอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอปวดหัวบ่อยๆ ก็เป็นได้


เพราะกระบวนการทำเนื้อแปรรูปเหล่านี้จะใส่สารไนเตรดและไนตริดเพื่อคงสภาพเนื้อไม่ให้เน่าเสีย ซึ่งสารประกอบเคมีเหล่านี้จะมีฤทธิ์ไปขยายหลอดเลือด และกระตุ้นให้เกิดการปวดหัวได้!


อีกทั้งเนื้อเหล่านี้ก็อุดมไปด้วยเกลือที่ทำให้ร่างกายขาดน้ำ ถ้ากินเยอะ กินทุกมื้ออาหาร น้องไมเกรนมาเคาะประตูเยี่ยมถึงหน้าบ้านแน่นอน

3. ซีอิ๊ว

รูปภาพ:https://www.img.in.th/images/d52ac7cbaa08aa73ae6e32fd38aef00a.jpg

ใครที่ชื่นชอบในการปรุงรสอาหารด้วยซีอิ๊ว พริกน้ำปลา ให้ได้รสเค็มอร่อยนัวอยู่บ่อยๆ กินข้าวแต่ละมื้อต้องเหยาะซีอิ๊วจนแทบจะกระฉอกลงไปทั้งขวดแล้วล่ะก็ ต้องระวังอาการปวดหัวไว้ให้ดี!


เพราะเครื่องปรุงเหล่านี้เต็มไปด้วยผงชูรส ( MSG ) ที่ขึ้นชื่ออยู่แล้วเรื่องกระตุ้นไมเกรนและการปวดหัว อีกทั้งยังมีโซเดียมสูง ( แน่ละ ก็หมักมาจากเกลือนี่นา ) ซึ่งถ้ากินเยอะๆ ร่างกายก็จะขาดน้ำ ไม่มีน้ำไปหล่อเลี้ยงสมองอย่างเพียงพอ สุดท้ายก็ปิ๊งป่อง! ปวดหัวจ้า

4. อาหารทุกชนิดที่มี ' ผงชูรส '

รูปภาพ:https://www.img.in.th/images/f814e18c323223da63186016a6728dd9.jpg

โมโนโซเดียมกลูตาเมต คือผงชูรสหรือที่สมัยนี้เรียกว่า ' ผงนัว '  ที่ใช้เพื่อเพิ่มรสชาติขนมหรืออาหารต่างๆ ให้อร่อยยิ่งขึ้น ซึ่งกระบวนการทางเคมีที่ผลิตและปฏิกิริยาตอบสนองต่อร่างกาย หากกินในปริมาณมากอาจมีผลข้างเคียงเช่น ปวดหัว คลื่นไส้อาเจียนได้

คนที่เซนซิทิฟกับอาหาร ปวดหัวง่ายจึงไม่ควรกินอาหารที่มีผงชูรสเยอะ ไม่ว่าจะขนมถุง หรือร้านข้างทางที่เห็นแม่ครัวตักผงชูรสใส่เป็นช้อน ถ้าวันนั้นอยากหัวโล่งๆ สมองไบรท์ เลี่ยงได้เลี่ยงดีกว่า

5. อะโวคาโด

รูปภาพ:https://www.img.in.th/images/544931d3d822bcff26676b5d0e94ac54.jpg

มาถึงข้อนี้ทุกคนอาจสงสัยว่า อะโวคาโด อาหารคลีนไขมันดีที่สายสุขภาพชอบกินนักหนาเนี่ยนะ ทำให้ปวดหัว? แต่คนที่มีโรคประจำตัวเป็นไมเกรน ถ้ากินเจ้าผลไม้สีเขียวนี้เยอะเกินไป อาการปวดจี๊ดเซย์ไฮแน่นอน


เพราะอะโวคาโดมีไทรามีนในปริมาณสูงมาก ซึ่งเจ้าสารประกอบธรรมชาติตัวนี้จะบังคับให้หลอดเลือดตีบและขยายตัว นำมาสู่อาการปวดหัวตึ๊บ ปวดจี๊ดน่ารำคาญได้ ดังนั้นถ้าจะกินเพื่อสุขภาพก็กินอย่างพอดี ไม่เกินครึ่งซีกต่อวัน ก็นับว่ายังรับได้อยู่ค่ะ

6. กล้วย

รูปภาพ:https://www.img.in.th/images/acd880245f0962497c474757c5551c9b.jpg

ใครที่กำลังลดน้ำหนักด้วยการกินกล้วย ลองสังเกตตัวเองว่าช่วงนี้ปวดหัวบ่อยโดยไม่มีสาเหตุรึเปล่า เพราะตัวการอาจเป็นผลไม้สีเหลืองที่เธอกำลังเคี้ยวกร้วมๆ อยู่ก็เป็นได้!

แม้ว่าจะเป็นผลไม้สุดคลีน สารอาหารเยอะแค่ไหนก็ตาม แต่กล้วยก็มีสารประกอบมากมาย รวมถึง ' ไทรามีน ' เช่นเดียวกับอะโวคาโด ที่ส่งผลเสียกับผู้ป่วยไมเกรนได้ โดยเฉพาะเนื้อส่วนที่เหนียวติดกับเปลือก


ดังนั้นถ้ารู้ตัวว่าช่วงที่กินกล้วยเยอะ ไมเกรนกำเริบตลอด ก็ควรกินให้น้อยลงหรืองดไปเลยจะดีที่สุดค่ะ

7. ชีส

รูปภาพ:https://www.img.in.th/images/4ba9485fa6fbfd3c4e29bb9044e626ea.jpg

สาวกชีสอย่าเพิ่งถอนหายใจ! ชีสชนิดที่บ่มมาเป็นระยะเวลานานๆ โดยเฉพาะเชดดาร์ชีส มอสซาเรลล่า พาร์มีซาน บลูชีส กามองแบร์ และชีสสวิส ข้อดีคืออร่อยนัวกว่าชีสใหม่ๆ แต่ก็พ่วงมากับสารประกอบธรรมชาติอย่าง ' ไทรามีน ' ที่มีฤทธิ์กระตุ้นให้หลอดเลือดขยายตัว


ทำให้กินเยอะๆ แล้วกระตุ้นอาการปวดหัวหรือทำให้ไมเกรนรุนแรงขึ้นได้ ยิ่งบ่มนานไทรามีนก็สูงตามไปด้วย ถ้ากินแล้วปวดหัว ก็คงต้องเว้นระยะห่าง cheese distancing แล้วละค่ะ

8. หมากฝรั่ง

รูปภาพ:https://www.img.in.th/images/a09fed8752827851d4ef10ae491a8ec7.jpg

ใครที่ติดนิสัยต้องเคี้ยวหมากฝรั่งให้ปากไม่ว่าง หรือกำลังใช้หมากฝรั่งเพื่อลดความอ้วนอยู่นั้น ต้องระวังผลข้างเคียงที่อาจตามมาโดยไม่ตั้งใจด้วย!


เพราะมีงานวิจัยจาก Tel Aviv University ในปี 2014 ค้นพบว่า การหดตัวของกล้ามเนื้ออย่างรุนแรงเป็นระยะเวลานานตรงส่วนศีรษะหรือคอ ( การเคี้ยวหยับๆ นั่นแหละ ) จะกระตุ้นให้เกิดอาการปวดหัวได้ ยิ่งถ้าเป็นหมากฝรั่ง 0 แคลอรี่ที่ผสมน้ำตาลเทียมแล้วล่ะก็ ไมเกรนยิ้มร่ารอเลยค่าซิส  (--_--)

9. เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด

รูปภาพ:https://www.img.in.th/images/657565085b4588fce62cb327c75e39e7.jpg

คอเหล้า โซจู เบียร์ ไวน์ ใดๆ ก็ตามในที่นี้ คงไม่ต้องอธิบายอะไรให้มากความ เพราะปกติถ้าเธอดื่มเยอะเกินไป ก็น่าจะรับรู้อาการ ' แฮงค์ ' หรือปวดหัวจี๊ดในเช้าวันรุ่งขึ้นอยู่แล้ว นั่นเพราะสารซัลไฟต์ที่มีตามธรรมชาติในไวน์และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อื่นๆ เพื่อให้ยังสดใหม่ มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระตุ้นอาการปวดหัวไมเกรนโดยตรง

หรือแม้จะดื่มชนิดอื่นที่ไม่มีซัลไฟต์ แอลกอฮอล์ก็มีฤทธิ์ทำให้ร่างกายขาดน้ำอย่างรุนแรง จึงทำให้ปวดหัวได้ง่าย อย่าคิดว่าจะจิบน้อยๆ แล้วรอดตัว เพราะกว่าจะดื่มจนรู้ตัวว่าเมา สมองก็ตื้อเบลอ ปวดหัวไปแล้วเรียบร้อย #ขอพาราเม็ดนึงที!

รูปภาพ:https://media4.giphy.com/media/kCtla4NiAuFRS/200.gif

-----------------------------------------

อ่านมาถึงตรงนี้ เธออาจแปลกใจว่าไม่ใช่แค่อาหารจั๊งก์ฟู้ด หรือน้ำตาลเทียมที่เป็นสารเคมีที่ทำให้ปวดหัวเท่านั้น แต่อาหารคลีนดีๆ อย่างกล้วยและอะโวคาโดก็กระตุ้นให้เกิดอาการได้รุนแรงขึ้นเช่นกันเพราะที่จริงแล้ว อาหารจะมาจากธรรมชาติหรือห้องแล็บ ก็คือการรวมตัวกันของสารเคมี ซึ่งสารบางอย่างก็ไปกระตุ้นผลเสียกับร่างกายโดยไม่ตั้งใจ ซึ่งบางอย่างเช่นผลไม้เหล่านี้ก็ไม่ถึงกับต้องห้ามกินขนาดนั้น เพียงแต่ถ้าปวดหัวขึ้นมา ก็เลี่ยงๆ หรือกินให้น้อยลง อาการก็จะหายไปได้เร็วขึ้นเท่านั้นเอง

คราวหน้าลองนำความรู้จากบทความนี้ไปใช้ดู อะไรปรับเปลี่ยนได้ก็เปลี่ยน เช่น น้ำอัดลมใส่น้ำตาลเทียม ก็เปลี่ยนเป็นน้ำเปล่าหรือสมูทตี้จากผลไม้แทน ลดการปวดหัว และได้สารอาหารที่มีประโยชน์มากขึ้นด้วยนะ (*♡∀♡) สำหรับวันนี้ก็ขอตัวลาไปก่อนแล้ว พบกันใหม่กับบทความดีๆ ในคราวหน้าน้า บ๊ายบายค่า