Chapter 04 ll หนี

นิยายเรื่องนี้เขียนขึ้นจากจินตนาการของนักเขียนเท่านั้น เนื้อเรื่อง สถานที่ วัฒนธรรม ความเชื่อ ศาสนา เเละตัวละครไม่มีอยู่จริง ผู้อ่านที่น่ารักโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านด้วยจ้า ทั้งหมดคือการสมมติเพื่อเขียนขึ้นมาใหม่ทั้งหมดค่ะTW: การกักขังหน่วงเหนี่ยว


หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป

มิราวดีใช้ชีวิตอย่างหวาดระแวงในห้องพักโทรม ๆ อาหารทุกมื้อถูกส่งมาให้ครบไม่มีขาด และเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมาหญิงสาวที่อยู่ร่วมห้องถูกพาตัวออกไป อีกไม่นานก็คงถึงเวลาของเธอแล้ว ในใจหวาดหวั่นด้วยความกลัวแต่ก็ต้องข่มสติและพยายามหาหนทางหนีให้ได้ ดวงตากลมกวาดสายตามองของภายในห้องที่พอจะใช้เป็นอาวุธสำหรับหลบหนี ทว่าในห้องนี้ไม่มีอะไรสักอย่างนอกจากฟูกนอนบนพื้นและชักโครกในห้องน้ำเท่านั้น ราวกับว่าพวกมันรู้ว่ามีผู้หญิงหลายคนที่ถูกพามาและพยายามจะหนีออกไป

ประตูห้องถูกเปิดออกอย่างแรง มิราวดีสะดุ้งขยับตัวถอยหนีเมื่อมีผู้ชายร่างใหญ่ถึงสองคนเดินเข้ามา

“พาตัวออกไป อย่าให้สินค้าเสียหาย”

หญิงสาวรู้ดีว่าสักวันจะต้องมาถึง จึงนิ่งควบคุมสติไม่ร้องโวยวาย และยอมเซไปตามแรงดึงที่ชายสองคนนั้นพาออกไป

“นี่ จะพาฉันไปไหน”

อีกฝ่ายหันมองโดยไม่ตอบ แต่ในใจก็รู้อยู่แล้วว่าวันนี้เป็นวันของเธอที่จะต้องถูกขายประมูลออกไป

เมื่อเดินออกมาจนถึงห้องหนึ่ง เธอก็ถูกผลักเข้าไปและได้ยินคำสั่งว่าให้จัดการอาบน้ำเปลี่ยนชุดให้ดูสะอาด แต่ก็ไม่ใช่ข่าวดีมากนัก ผู้หญิงที่มาแต่งหน้าให้เธอได้พูดออกมาว่า

“เธอโชคดีนะ ที่ไม่ต้องถูกประมูล แถมได้ข่าวมาว่าลูกค้าคนนี้เงินหนา สบายไปทั้งชาติแน่ ๆ ”

เมื่อได้ยินเช่นนั้นมิราวดีก็ใจหายวาบ ความรู้สึกและแผนการที่เตรียมตัวหนีมานั้นหายไปหมดสิ้น เธอไม่ได้ถูกส่งไปประมูล แต่เขาจับมาแต่งตัวเพื่อส่งให้ลูกค้าวีไอพี !

หลังจากที่ถูกจับแต่งหน้าใส่เสื้อผ้าชุดใหม่เสร็จแล้ว ทุกคนก็ออกจากห้องไป หญิงสาวได้แต่นั่งนิ่งตัวสั่นจนทำอะไรไม่ถูก หากสวรรค์ยังมีเมตตาต่อเธอก็ได้โปรดช่วยให้หนีพ้นเคราะห์กรรมที่หนักหนาที ยิ่งเวลาเดินผ่านไปแต่ละวินาทีมากเท่าไหร่ มิราวดียิ่งหวาดกลัวมากขึ้นเท่านั้น ใจหวังเพียงว่าขอมีโอกาสสักเล็กน้อยให้หลบหนีก็ยังดี

ประตูห้องถูกเปิดออกหลังจากที่หญิงสาวนั่งรอในห้องราวชั่วโมง

“ออกมาได้แล้ว”

มิราวดีทำตามอย่างว่าง่าย ในใจก็หวาดหวั่นว่าจะหนีไปได้หรือไม่ เมื่อเดินไปตามทางจนกระทั่งออกมาอยู่ด้านนอกถึงรู้ว่าที่นี่คือแหล่งสถานบันเทิงอโคจรที่สุดของเมือง แม้ตำรวจจะมาตรวจหลายครั้งแต่พวกมันก็หลบหนีได้ ซ้ำยังสาวถึงเจ้านายใหญ่ไม่ได้อีก

“พี่จะพาฉันไปไหนเหรอจ๊ะ” หญิงสาวข่มน้ำเสียงเอ่ยถาม

อีกฝ่ายไม่ตอบคำถามแต่สั่งมาว่า “ขึ้นรถไป”

แม้จะอยากขัดขืนและรีบวิ่งหนีไปแต่ทว่าย่านนี้เธอไม่คุ้นชินเส้นทาง และไม่รู้ว่าหากหนีไปตอนนี้แล้วจะรอดปลอดภัยเลยหรือเปล่า มิราวดีจึงยอมขึ้นรถไปโดยที่ไม่รู้ว่าจะมีทางหนีด่านหน้าได้หรือไม่

ภายในรถมีคนคุมตัวเธออยู่หนึ่งคน รวมคนขับด้วยก็เป็นสองคน ตอนแรกคิดว่าจะส่งมาเยอะแต่นี่ดูเหมือนพวกมันจะคิดว่าเธอไม่หนี ตลอดทางที่ขับออกมาเริ่มเข้าถนนใหญ่ในเส้นทางที่เริ่มคุ้นชินบ้างแล้ว แต่ก็ยังไม่เบาใจเพราะเป็นถนนใหญ่ที่ไม่ค่อยมีบ้านเรือนหรือมีแสงสว่างมากนัก หากหาสาเหตุหนีออกไปอาจจะเจอพวกโรคจิตตอนกลางคืนอีกได้

ครั้นรถแล่นเข้าในใจกลางเมือง แสงสี และเสียงทำให้หญิงสาวเบาใจลง เธอจึงขยับตัวม้วนท้องออกอุบายหลอกอีกฝ่ายทันที

“โอ้ย ๆ พี่จอดรถแวะปั๊มด้านหน้าได้ไหม”

มิราวดีทำท่าทางบิดปวดท้องร้องโวยวายหวังให้ทั้งสองคนยอมเชื่อ เพราะปั๊มด้านหน้านั้นต่อเชื่อมกับสะพานที่เข้าไปถึงห้างสรรพสินค้าพอดี หากหลบหนีที่นี่แน่นอนว่ามีโอกาสรอดสูง

“โอ้ย ๆ พี่จอดเถอะนะ ฉันว่าฉันท้องเสีย ปวดบิดมาก โอ้ย ๆ ไม่ไหวแล้ว...จะไหลแล้ว”

มิราวดีร้องไปพลางเหลือบมองคนสองคนที่มีท่าทางลังเล

“โอ้ย ๆ ปวดท้อง ไม่ไหวแล้ว โอ้ย ๆ พี่ ขี้ฉันใกล้ทวารหนักแล้ว”

ปู๊ด ปู๊ด

จังหวะมาพอดีที่ปล่อยก๊าซธรรมชาติส่งกลิ่นเน่าจนเธอเองก็อยากจะเป็นลม แน่นอนว่าทั้งสองคนก็แทบทนไม่ได้

ปู๊ด ปู๊ด ป๊าด

“เฮ้ย จอดที่ปั๊มด้านหน้านี้แหละ” อีกคนที่นั่งอยู่ข้างเธอสั่งคนขับรถให้เลี้ยวเข้าปั๊มตามจุดหมาย มิราวดีภาวนาขอบคุณในใจที่สวรรค์เมตตา

รถแล่นเข้าจอดในปั๊มตัวเมือง ภายในปั๊มข้าง ๆ ก็มีร้านอาหาร ฝั่งตรงข้ามก็เป็นห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่เรียกว่าเป็นใจกลางเมือง หญิงสาวร้องครางอวดโอยขณะที่รถกำลังจอดลง

ชายคนหนึ่งที่นั่งข้าง ๆ เปิดประตูลงจากรถและพูดว่า “รีบ ๆ ซะ อย่าได้คิดหนี”

“จ้ะ โอ๊ย ๆ” หญิงสาวแสดงอาการร้องปวด จับหน้าท้องน้อยเดินตรงไปยังห้องน้ำหญิง

“ไม่ตามไปเหรอพี่”

“จะตามไปให้คนอื่นสงสัยทำไมวะ มึงดูดิคนนั่งเยอะแยะ”

“จะไม่หนีเหรอพี่”

“เออ มึงก็ช่วย ๆ กันดูไว้”

ทางด้านของมิราวดี หลังจากที่เข้ามาในห้องน้ำแล้วก็มองหาเส้นทางที่เดินออกไปฝั่งห้องน้ำชาย แถมดูเหมือนว่าพวกนั้นไม่ได้หันมาสนใจฝั่งนี้ จึงรีบเดินอ้อมทางด้านหลังห้องน้ำชายออกไป ทุกย่างก้าวต้องมองทั้งสองคนด้วยความระแวงกลัวว่าจะหันมามองในขณะที่กำลังหลบหนีอยู่ ได้จังหวะที่รถคันใหญ่ผ่านมาเข้ามาจอดพอดีช่วยบังให้วิ่งหลบหนีออกมาได้ แต่ทว่า...

“เฮ้ย ! จะหนีไปไหน !”

เสียงของผู้ชายคนขับรถตะโกนไล่หลังมา แม้มองออกไปจะดูห่างไกลแต่รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายวิ่งเร็วมาก หญิงสาวหันมองเพียงเสี้ยววินาทีก่อนจะรีบวิ่งขึ้นสะพานลอยข้ามฝั่งไป เธอชนคนที่เดินไปมามากมายโดยไม่สน นาทีนี้ขอเพียงหลุดรอดออกไปได้แค่นี้ก็พอ

หากสวรรค์ยังมีเมตตาขอให้เธอหนีพวกคนเลวพ้นด้วยเถอะ !