บทนำ: จังหวัดคาโกชิม่า ดินแดนธรรมชาติที่แสนยิ่งใหญ่
ถ้าถามถึงสถานที่ท่องเที่ยวในประเทศญี่ปุ่นกับคนไทย เชื่อว่าทุกคนคงจะได้ยินชื่อที่เที่ยวแถบคันไซอย่างโอซาก้า เฮียวโกะ เกียวโต หรือไม่ก็ซัปโปโรของฮอกไกโดกันอย่างคุ้นชินเลยทีเดียว แต่สำหรับ จังหวัดคาโกชิม่า ซึ่งเป็นจังหวัดที่อยู่ใต้สุดของภูมิภาคคิวชูที่ตั้งอยู่ใต้สุดของเกาะ ( ในกรณีที่นับเฉพาะพื้นที่ที่เป็นส่วนเดียวกันกับเกาะคิวชู จังหวัดคาโกชิม่าก็ถือว่าเป็นจังหวัดที่อยู่ใต้สุดของญี่ปุ่นค่ะ ) ก็คงไม่ค่อยเป็นที่รู้จักสำหรับชาวไทยสักเท่าไหร่เลยใช่ไหมคะแต่ถ้าทุกคนได้มาลองทำความรู้จักกับ จังหวัดคาโกชิม่า ที่ได้ฉายาว่า เนเปิลแห่งบูรพา ( Naples of Orient ) แล้วละก็ ทุกคนจะต้องตกหลุมรักที่นี่อย่างแน่นอนค่ะ เพราะไม่ว่าจะเป็นธรรมชาติแสนงามอย่างเกาะซากุระจิมะหรือของกินแสนอร่อยอย่างคุโรบุตะ ทั้งหมดก็ล้วนเป็นความพิเศษของจังหวัดคาโกชิม่าค่ะเอาล่ะ! เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เรามาดูกันเลยดีกว่าว่ามีสถานที่ใดที่น่าสนใจบ้าง ตามมายลกันเลยค่ะซิส!
1. เกาะซากุระจิมะ
เกาะซากุระจิมะ ( Sakurajima Island ) เป็นเกาะที่ตั้งอยู่บริเวณใจกลางของอ่าวคาโกชิม่า ( Kagashima Bay ) อีกทั้งยังเป็นสถานที่ที่เปรียบเสมือนสัญลักษณ์ประจำของจังหวัดคาโกชิม่า เพราะบนเกาะแห่งนี้เป็นที่ตั้งของภูเขาไฟที่มีพลังอีกแห่งหนึ่งของโลกค่ะ ซึ่งเจ้าภูเขาไฟนี้เคยปะทุครั้งใหญ่มาแล้วถึง 2 ครั้งในปี 1914 และปี 1960 โดยการปะทุครั้งแรกส่งผลให้ลักษณะภูมิประเทศของเกาะซากุระจิมะเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย กล่าวคือ มันทำให้ผืนดินส่วนหนึ่งของเกาะเชื่อมติดกับแผ่นดินหลักฝั่งคาบสมุทรโอสึมิ ( Osumi Peninsula ) และทำให้เกิดแนวหินพัมมิชขึ้นตามแนวชายฝั่งเมื่อกล่าวถึงสถานะปัจจุบันของเจ้าภูเขาไฟที่ว่านี่ มันก็ยังคงปะทุแบบเบาๆอยู่ทุกวันค่ะ ถ้าวันไหนปะทุเยอะหน่อย เราก็อาจจะเห็นแมกมาไหลลงมาจากปากปล่องภูเขาไฟด้วย ถือว่าเป็นความมหัศจรรย์ของธรรมชาติไปอีกแบบค่ะเกริ่นกันพอหอมปากหอมคอแล้ว ก็อย่ารอช้าค่ะ ไปเที่ยวกัน!
จุดเริ่มต้นการเดินทางไปเกาะซากุระจิมะนั้น เริ่มจากการนั่งเรือข้ามฟากค่ะ โดยปกติแล้วจะใช้เวลาเดินทางประมาณ 15 นาที แต่ถ้าใครเป็นสายชิลล์ตัวแม่ อยากนั่งเหม่อบนเรือที่ขับวนรอบเกาะสักหนึ่งรอบ ก็ไม่มีใครขัดศรัทธาซิสได้ค่ะ เพราะเขามีตั๋วเรือแบบชมวิว หรือ Yorimichi cruise ด้วย โดยจะใช้เวลาเดินทางประมาณ 50 นาที เราจึงสามารถนั่งกินลมชมวิว เหม่อมองบนฟ้าไกลและผืนน้ำทะเลได้อย่างจุใจเลยค่ะ
และทันทีที่มาถึงเกาะซากุระจิมะ ความหิวโหยก็มาเยือนกระเพาะของพวกเราเช่นกันค่ะ โดยพวกเราเลือกที่จะฝากท้องน้อยๆ ไว้กับ ร้าน MINATO CAFE ซึ่งเป็นร้านที่ตั้งอยู่ใกล้กับบริเวณทางเข้าเกาะพอดีค่ะ
และเราก็สั่งข้าวแกงกะหรี่กับเครื่องดื่มบลูโซดาค่ะ ก่อนจะปิดท้ายด้วยของหวานอย่างมันม่วงที่ทานคู่กับไอศกรีมค่ะ ถือเป็นมื้อแรกสุดชิลล์บนเกาะซากุระจิมะเลยก็ว่าได้ค่ะ
อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องทำเมื่อมาถึงที่นี่ ก็คือการเรียนรู้วิธีรับมือกับภูเขาไฟค่ะ เพราะสำหรับพวกเราชาวไทยที่ไม่เคยได้สัมผัสกับภูเขาไฟเลยสักครั้ง ก็คงจะรู้สึกวิตกกังวลและหวาดกลัวกับเหตุการณ์ภูเขาไฟระเบิดกันใช่ไหมคะ เราจึงต้องมาที่ Sakurajima Visitor Center เพื่อเรียนรู้ประวัติความเป็นมาของเกาะซากุระจิมะกันเสียก่อนค่ะ ซึ่งการมาที่นี่นั้นทำให้เรารู้ว่าเขามีหน่วยงานที่รับผิดชอบเรื่องการคาดคะเนเหตุการณ์ภูเขาไฟระเบิดอยู่ค่ะ โดยสามารถคาดคะเนล่วงหน้าได้ถึง 14 วันเลยทีเดียวค่ะ
นอกจากนี้เมื่อลองดูข้อมูลสถิติการปะทุของภูเขาไฟ เราก็เห็นว่ามันมีการปะทุน้อยลงด้วยค่ะ และสำหรับถุงสีเหลืองที่เราเห็นกันอยู่ตอนนี้ก็คือ ถุงสำหรับใส่เถ้าภูเขาไฟค่ะ เนื่องจากว่าการปะทุของภูเขาไฟนั้นเป็นเรื่องปกติของที่นี่ ดังนั้นการเก็บเศษเถ้าภูเขาไฟจึงกลายเป็นกิจวัตรประจำวันของชาวเกาะซากุระจิมะไปโดยปริยายค่ะ
เมื่อได้รับความรู้กันอย่างเต็มอิ่มแล้ว เรามาผ่อนคลายด้วยออนเซ็นเท้าที่ Sakurajima Yogan Nagisa Park กันเถอะค่ะ โดยสวนสาธารณะแห่งนี้อยู่ห่างจากท่าเรือซากุระจิมะเพียง 7 นาทีเท่านั้น เราสามารถแช่ออนเซ็นเท้าฟรีไปพร้อมๆกับชมทิวทัศน์ที่แสนงดงามของภูเขาไฟซากุระจิมะโดยมีฉากหลังเป็นท้องฟ้าอันแสนสดใสได้ด้วยค่ะ
ส่วนตรงนี้เป็นจุดชมวิวเมืองที่สูงที่สุดของเกาะซากุระจิมะ ซึ่งมีชื่อว่า Yunohira Tenbosho ค่ะ นอกจากเราจะสามารถชมวิวเมืองและความงามของภูเขาไฟจากจุดชมวิวนี้ได้แล้ว ยังมีเสียงเล่าลือกันว่าหากหารูปหัวใจ 7 แห่งที่ซ่อนอยู่ที่นี่ได้จนครบทั้งหมด ก็จะได้ประสบพบเจอกับเรื่องราวดีๆ ด้วยค่ะ
2. เท็นมงคัง ( Tenmonkan )
เมื่อเที่ยวบนเกาะซากุระจิมะกันจนเพลินใจแล้ว เราจะพาทุกคนนั่งเรือกลับมายังเมืองหลักของคาโกชิม่ากันค่ะ โดยเราจะเริ่มต้นจากย่านเท็นมงคัง ( Tenmonkan ) ซึ่งเป็นย่านการค้าที่ใหญ่ที่สุดในเมืองคาโกชิมะ! เรียกได้ว่าสายชอปห้ามพลาดเด็ดขาดเลยค่ะ เพราะไม่ว่าจะเป็นร้านเสื้อผ้า ร้านขายของใช้ ร้านขายของจุกจิก ร้านอาหาร หรือคาเฟ่ ก็ล้วนน่าเดินเข้าไปเสียหมดทุกร้านเลย
และอีกสิ่งที่ดีต่อใจเหล่าสายหวาน ก็คือการได้รับประทานของหวานขึ้นชื่อของคาโกชิม่าอย่าง น้ำแข็งไสชิโระคุมะ ค่ะ! ซึ่งเราสามารถรับประทานกันได้ที่ร้าน Tenmonkan Mujaki Shirokuma Cafe
แต่ถ้าใครเป็นสายพาเฟต์ผลไม้ เราขอแนะนำที่ร้าน TENMONKAN FRUITS PARLOUR ( Tenmonkanji Kajitsudon ) ซึ่งเป็นร้านขายพาเฟต์ผลไม้และขนมที่มีผลไม้เป็นส่วนประกอบค่ะ โดยความพิเศษของร้านนี้ก็คือรสชาติของขนมที่หวานน้อยทุกเมนู รวมถึงความสดใหม่และรสชาติที่โดดเด่นของผลไม้ด้วยค่ะ
3. KuRoBE
เมื่อสาวๆทุกคนต่างรู้กันดีว่าพวกเรานั้นมีกระเพาะแยกระหว่างของหวานกับของคาว! ดังนั้นไม่ว่าจะกินหนักแค่ไหนก็บ่หยั่นกันใช่ไหมคะทุกคน!
และอีกสิ่งหนึ่งที่ต้องทำเมื่อมาคาโกชิม่าก็คือ การรับประทานคุโรบุตะ โดยคุโรบุตะ หรือ หมูดำของจังหวัดคาโกชิม่านั้นเป็นวัตถุดิบเลื่องชื่อที่โด่งดังระดับประเทศ ถ้าชาวญี่ปุ่นได้กล่าวถึงคาโกชิม่าเมื่อไหร่ก็จะมีภาพเจ้าหมูคุโรบุตะลอยเข้ามาในหัวทันทีค่ะ! โดยครั้งนี้ทีมงานจะพาทุกคนไปลิ้มลองความอร่อยของคุโรบุตะกันที่ ร้านคุโรเบะ ซึ่งเป็นร้านทงคัตสึคุโรบุตะโดยเฉพาะเลยค่ะ ว่าแต่จะหน้าตาน่าอร่อยแค่ไหนก็ให้ภาพเล่าเรื่องแล้วกันนะคะ ( หากสาวๆ ท่านไหนกำลังอ่านบทความนี้กันตอนดึกๆ เราก็ขออภัยด้วยนะคะ 555 )
4. Kagoshima Chou
สถานี Kagoshima Chou เป็นหนึ่งในสถานีรถไฟ JR Kyushu Railway ที่เราสามารถนั่งรถไฟชิงคันเซ็นมาลงที่สถานีนี้ได้ โดยสามารถนั่งมาจากจังหวัดฟุกุโอกะโดยใช้เวลา 2 ชั่วโมง นอกจากนี้ สถานีคาโกชิม่าโชว ยังเป็นย่านชอปปิ้งที่ประกอบไปด้วยห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ โรงหนัง ร้านอาหาร และร้านค้าต่างๆ อีกมากมาย
แต่ที่เราอยากให้ทุกคนไปลองทำกันนั่นก็คือ การขึ้นชิงช้าสวรรค์ชมวิวเมืองที่ AMU Terrace ค่ะ เพราะนอกจากจะได้เพลิดเพลินกับวิวเมืองที่สวยงามโรแมนติกแล้วนั้น ก็ยังสามารถมองเห็นภูเขาไฟซากุระจิมะจากตรงนี้ได้ด้วย~
5. Senganen Garden
สวนเซนกาเนน ( Senganen Garden ) เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่สามารถชมความงามของทะเลและภูเขาไฟซากุระจิมะ ท่ามกลางแมกไม้และมวลผกานานาพันธุ์!
เดิมที สวนเซนกาเนนนั้นเป็นที่ตั้งของคฤหาสน์ตระกูลชิมัตสึซึ่งเป็นผู้มีอิทธิพลต่อพื้นที่บริเวณนี้ และปัจจุบันเขาก็รักษา บูรณะ และอนุรักษ์อาคารหลังนี้ไว้เพื่อให้คนรุ่นหลังได้เข้ามาเยี่ยมชมกัน เรียกได้ว่านอกจากจะมีสวนสวยๆแล้ว ก็ยังอาคารที่เต็มไปด้วยเรื่องราวและประวัติศาสตร์อีกด้วย
พอเข้ามาชมภายในคฤหาสน์ก็จะสามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของสถาปัตยกรรมแบบยุโรปที่ผสมผสานกันอย่างลงตัวกับศิลปะแบบญี่ปุ่น ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ในช่วงเวลานั้นของญี่ปุ่นเริ่มมีการรับรูปแบบวัฒนธรรมของชาวตะวันตกเข้ามาบ้างแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น สวนที่อยู่ภายในอาคารแห่งนี้ก็จัดตามหลักฮวงจุ้ยด้วย
6. Satsuma Glass Kogei
ซัตสึมะคิริโกะ ( SATSUMA KIRIKO ) หรือเครื่องแก้วเจียระไน เป็นหนึ่งในสินค้าที่ได้รับการพัฒนาเพื่อการค้าระหว่างประเทศในศตวรรษที่ 19 ซึ่งเวลาในตอนนั้นก็ตรงกับช่วงล่าอาณานิคมของประเทศมหาอำนาจพอดี จึงทำให้ญี่ปุ่นต้องเปิดประเทศและทำการค้ากับชาวตะวันตกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ทั้งนี้เราจะพาทุกคนมาชมความสวยงามของซัตสึมะคิริโกะและขั้นตอนการทำเครื่องแก้วกันที่ Satsuma Glass Kogei สำหรับใครที่ประทับใจกับความสวยงามของเครื่องแก้วเหล่านี้ ก็สามารถซื้อกลับบ้านได้ค่ะ
ถ้าลองเดินออกมาที่บริเวณข้างๆร้านคิริโกะก็จะเห็นร้านสตาร์บัคส์ในรูปแบบอาคารไม้ทรงโบราณสีขาวสะอาดตาค่ะ โดยดีไซน์นี้เป็นแบบพิเศษเฉพาะสาขาเซนกาเนนเท่านั้นค่ะ
7. Bizan Chin Kura
ท่องเที่ยวกันจนเพลินตาแล้ว เราควรจะหยุดทานอะไรสักอย่างให้เพลินพุงกันสักหน่อย ซึ่งเราเลือกมากันที่ร้าน Bizan Chin Kura ค่ะ โดยความพิเศษของร้านอาหารนี้อยู่ตรงที่เขาจะไม่ใช้วัตถุดิบค้างคืนเลยค่ะ หรือสามารถกล่าวได้อีกแบบหนึ่งก็คือ เขาจะใช้เฉพาะวัตถุดิบที่เก็บเกี่ยวได้ในวันนั้น เราจึงมั่นใจได้เลยว่าจะได้ทานผักผลไม้ที่สดใหม่มากๆ แถมเมนูของร้านก็จะเปลี่ยนไปตามวัตถุดิบที่เขาได้มาในแต่ละวันด้วยค่ะ
8. โรงงานกีตาร์ของคุณทานากะ
อีกหนึ่งที่เที่ยวที่เราอยากนำเสนอสาวหวานสไตล์วินเทจและสาวเท่ ก็คือร้านกีตาร์ของคุณทานากะ! โดยคุณทานากะนั้นเป็นช่างทำกีตาร์ชาวคาโกชิม่าที่มีประสบการณ์ถึง 40 ปี~ ส่วนเสียงกีตาร์ของคุณทานากะก็ไพเราะเพราะพริ้งมว้าก ชวนให้คนฟังอย่างเราๆเคลิบเคลิ้มและล่องลอยได้เลยทีเดียว แน่นอนว่าเราสามารถสั่งทำกีตาร์โปร่งได้ด้วย
9. Miyamatouyukan
เมื่อเราเที่ยวๆ ชมๆ กันมามากพอสมควรแล้ว เรามาลองทำเครื่องปั้นสักชิ้นด้วยฝีมือเรากันบ้างดีกว่าค่ะ ซึ่งสถานที่ workshop ที่เราเลือกไปก็คือ Miyamatouyukan ค่ะ หากเราไม่มีประสบการณ์ในงานปั้นมาก่อน ก็สามารถแจ้งกับเจ้าหน้าที่ก่อนได้เลยค่ะ เพราะพวกเขาใจดี เฟรนด์ลี และถ่ายทอดความรู้ให้เราอย่างเป็นกันเองมากๆเลยค่ะ ตั้งแต่การกด การหมุนแท่น การใช้น้ำหนักนิ้ว ตลอดจนเราปั้นเสร็จ
พอเห็นผลงานจากก้อนดินเหนียวเละๆ กลายเป็นถ้วยสวยงามที่เราเป็นคนปั้นเอง ก็รู้สึกภูมิใจอย่างบอกไม่ถูกเลยละค่ะ
10. wonder forest cafe & zakka momocha
ขอเอาใจสายคาเฟ่กันอีกหนึ่งที่กับ wonder forest cafe & zakka momocha ค่ะ โดยความพิเศษของที่นี่คือของตกแต่งภายในและภายนอกคาเฟ่ที่ต่างก็เป็นของแฮนด์เมดที่ครอบครัวเจ้าของร้านทำเองทั้งหมดเลยค่ะ!
แน่นอนว่านอกจากหน้าตาของร้านจะน่ารักแล้ว หน้าตาของกินของที่นี่ก็น่ารักมากอีกด้วยค่ะ
11. Fukiagecho Nakahara
Fukiagecho Nakahara เป็นสวนการบูรพันต้นที่มีต้นการบูรเก่าแก่อายุราว 800 ปีอยู่ด้วยค่ะ ถึงแม้จะได้ชื่อว่าสวนการบูรพันต้น แต่แท้จริงแล้วมีการบูรอยู่เพียง 20 ต้นเท่านั้นค่ะ ส่วนความยิ่งใหญ่ของมันก็อยู่ตรงที่การบูรทุกต้นของที่นี่มีความสูงเกิน 18 เมตรค่ะ บวกกับกิ่งก้านสาขาที่แผ่ขยายไปสุดขอบฟ้า เราจึงไม่แปลกใจเลยกว่าทำไมเขาจึงเรียกสถานที่แห่งนี้ว่าเป็น สวนการบูรพันต้น
12. ราเมนโคคินตะ
มาปิดท้ายกันด้วยความอร่อยของราเมนร้านโคคินตะกันค่ะ! โดยเอกลักษณ์ของคาโกชิม่าราเมนก็คือความเรียบง่ายแต่ไม่น่าเบื่อค่ะ ทั้งนี้เราก็ได้สั่งทงคตสึราเมนมาทานกันค่ะ เรียกได้ว่าเป็นทงคตสึที่มีความเข้มข้นแบบพอดีๆ ไม่ข้นจนเกินไป และทานง่ายมากค่ะ ก็คือเรื่อยๆ เรียบง่าย แต่ไม่น่าเบื่อตามคอนเซ็ปต์คุณเขาเลยค่ะซิส และที่พิเศษกว่านั้นก็คือ เขาจะเสิร์ฟผักดองไว้กินเป็นของแกล้มกับราเมนด้วยค่ะ
แนะนำวิธีการเดินทางในคาโกชิม่า และรีวิวที่พักตลอดทริป
เพื่อความคุ้มค่าในการเดินทางภายในตัวเมืองคาโกชิม่า เราขอแนะนำบัตร CUTE ที่สามารถซื้อกันได้ที่สถานี Kagashima Chou หรือสถานีอื่นๆ ค่ะ เพราะเราสามารถใช้บัตรนี้ขึ้นรถบัสได้อย่างไม่อั้นเลยทีเดียวค่ะ นอกจากนี้ยังใช้เป็นตั๋วสำหรับนั่งเรือไปยังเกาะซากุระจิมะได้ด้วยค่ะ
สำหรับโรงแรมที่พวกเราเลือกพักกันก็คือโรงแรม HOTEL GATE IN KAGOSHIMA ค่ะ โดยโรงแรมแห่งนี้ตั้งอยู่ใกล้กับตัวเมือง Tenmonkan เราจึงเดินทางเข้าเมืองได้อย่างสะดวก
บทส่งท้าย
เป็นยังไงกันบ้างคะซิส! พวกเธอเริ่มจะตกหลุมรักคาโกชิม่ากันแล้วละสิ~ ถ้าใครมีแพลนว่าจะเที่ยวญี่ปุ่นแต่ไม่รู้จะไปที่ไหนของญี่ปุ่นดี เราว่าคาโกชิม่าก็เริ่ดอยู่นะแม่ การควงเพื่อนสาวไปเที่ยวกันแบบชิลล์ๆ ก็ถือว่าเป็นความทรงจำดีๆ อีกทริปหนึ่งเลยว่าไหมล่ะ!
เครดิต
ทีมงาน fromJapan