บทที่ 12

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วจนน่ากลัว ไม่คิดว่าวันนี้ที่พยายามอยากจะหนีนั้นมาถึงแล้ว ศรันภัทรยังคงนั่งนิ่งไม่ยอมเปลี่ยนชุดเจ้าบ่าว ทั้งที่อีกไม่ถึงชั่วโมงก็จะเริ่มงานแต่ง ไม่คิดเลยว่าเรื่องที่ไม่ต้องการมากที่สุดในชีวิตกลับเกิดขึ้นได้อย่างง่ายดาย ถ้าหากวันนั้นไม่เขาไปทักทายเธอก่อนแล้วละก็ป่านนี้ทุกอย่างคงไม่เกิดขึ้น

“ตาพี เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ...ตายแล้ว ! นี่จะเริ่มงานแล้วนะ ทำไมยังไม่เปลี่ยนเสื้อผ้าอีกละ”

ชายหนุ่มยังไม่ได้ปริปากพูดสิ่งใด เขาหันหน้ามองมารดาที่เดินเข้ามาหาแล้วก้มหลบสายตาราวกับว่าไม่ต้องการให้งานแต่งนี้เกิดขึ้น

“รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ เดี๋ยวแขกจะมากันแล้ว”

ลภัสรดาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง แม้ว่าจะรู้ความรู้สึกของลูกชายดีแต่ทว่านี่ก็เป็นสิ่งที่หล่อนคิดว่าดีที่สุดแล้ว ในอนาคตหากทุกอย่างไปต่อไม่ได้ ถึงตอนนั้นคงมีทางออกทีดี

“อีกสักพักผมจะตามไป” ศรันภัทรพูดด้วยน้ำเสียงแผ่ว จิตใจของเขาย่ำแย่มากที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้ นอกจากจะแต่งงานกับผู้หญิงที่ไม่รักแล้ว ยังแต่งงานกับเพศตรงข้ามที่ไม่ได้รักอีกด้วย ! เขารู้ดีว่ามารดาอาจจะรู้เรื่องนี้นานแล้ว แต่ก็ไม่เคยเปิดปากพูดอะไร เพียงแค่นัดเขาดูตัวกับฝ่ายหญิงไปเรื่อย ๆ ก็เท่านั้น ครั้งนี้ถือว่าสวรรค์ลงทัณฑ์ให้ต้องใช้ชีวิตกับเธอ อันที่จริงแล้วเคยคิดจะเก็บเสื้อผ้าข้าวของและหนีออกจากบ้านไปเสีย ถ้าหากหนีไปทรัพย์ทุกอย่างคงถูกตัดจนเหลือเพียงแค่ตัวเท่านั้นแม้จะหางานอาจจะยากด้วยซ้ำ เชื่อว่าบิดาของเขาทำมันแน่

คนเป็นแม่มองแล้วถอนหายใจออกมา หากว่าลูกชายสุดที่รักเพียงคนเดียวทำตัวเจ้าชู้ ออกไปเที่ยวกับผู้หญิงบ้าง หล่อนก็คงไม่ต้องใช้วิธีนี้หรอก

แต่ก็ดีกว่าได้ลูกเขยมาแทนละนะ...

“งั้นแม่จะลงไปรอข้างล่างนะรีบลงมาล่ะ”

รูปภาพ:

เมื่อพูดจบก็เดินออกจากห้องไปในทันที ลภัสรดายังไม่เดินลงไปที่ชั้นล่างแต่เดินมาห้องอีกฝั่งที่ถลัชนันท์เตรียมตัวอยู่ แม้ในใจจะไม่ชอบเรื่องอายุที่มากกว่าลูกชายก็ตามแต่ถ้านิสัยและการงานแล้วก็ถือว่าไม่ได้แย่ เพียงแต่ว่าหลังจากนี้ชีวิตคู่จะเป็นอย่างไร หล่อนเองก็ไม่สามารถคาดเดาได้เช่นกัน

ทันทีลภัสรดาเปิดประตูห้องเข้าไป ขณะที่ช่างแต่งหน้า ช่างทำผมกำลังเก็บของใส่กระเป๋าอยู่

“เสร็จแล้วหรือ ?”

ถลัชนันท์หันมองและพยักหน้าตอบก่อนที่จะค่อย ๆ ขยับตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้

“ค่ะ คือ...” หญิงสาวมีท่าทีอึดอัดที่จะพูดกับอีกฝ่าย เพราะตลอดเวลาที่รู้จักกันมา มาพบเจอกันเลือกของแต่งงานหรือตัดชุดแต่งงาน เธอก็ไม่ได้รู้สึกผ่อนคลายลงแม้แต่น้อยตรงกันข้ามกลับยิ่งรู้สึกเกร็งมากกว่าเดิม ก็แน่ละ...เขาเป็นคนมีฐานะดีมาก ตรงข้ามกับครอบครัวของเธอ ถึงจะบอกว่ามีรีสอร์ตก็เถอะ แต่ยังเทียบเท่าไม่ได้เลยสักนิดลภัสรดามองว่าที่ลูกสะใภ้ตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างพึงใจ“ต่อไปนี้ก็เรียกฉันว่า คุณแม่นะ ไม่อย่างนั้นคนอื่นได้ยินเข้าจะว่าฉันรังแกสะใภ้”“ค่ะ คุณป้า..เออคุณแม่” ถลัชนันท์ขานรับอย่างเกร็ง ๆ พลางก้มหน้าหลบสายตาราวกับว่าไม่อยากสบตามองนาน ๆ ไม่รู้ว่าการตัดสินใจนี้ถูกต้องหรือเปล่า เสียตัวครั้งแรกและครั้งเดียวสำหรับเธอไม่ใช่เรื่องใหญ่มากนัก แต่ที่ตกลงแต่งงานเพราะไม่อยากอยู่บนคานเท่านั้นเอง“ถ้างั้นก็ลงไปรอข้างล่างเถอะ อีกสักพักแขกคงจะทยอยกันมาแล้ว”

“ค่ะ” ถลัชนันท์ขานรับขณะที่ลภัสรดาเดินนำออกไปตามด้วยช่างแต่งหน้าและทำผม เวลานี้ในห้องเหลือเพียงเธอเท่านั้น หญิงสาวหมุนตัวหันมองไปในกระจก มองตัวเองไม่รู้ว่าจะดีใจหรือเสียใจดี“แกถอยหลังไม่ได้แล้ว...แต่งไปก่อนแล้วกัน ถ้าไม่ดีแล้วค่อยหย่า ไม่มีอะไรให้เสียอีกแล้ว !” หญิงสาวพูดกับตัวเองพลางสูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะเดินออกจากห้องไปเพื่อเตรียมต้อนรับแขกในงานลฎาภาชะเง้อคอมองเข้าไปในงานแต่งของพี่สาวที่ถูกจัดขึ้นในโรงแรมอย่างหรูหรา มีคนมากมายต่างเดินเข้าไปในงานกัน หญิงสาวขยับตัวเดินถอยออกห่างมาช่างใจคิดอย่างหนักถ้าจะไม่มาเลยในฐานะน้องสาวก็คงเป็นเรื่องที่ไม่ดีมากนัก แต่ทว่าเธอไม่ชินกับการออกงานโดยมีคนมากหน้าหลากตาเยอะไปหมดขนาดนี้ ภายในงานที่เมื่อครู่มองดูถูกตกแต่งไว้อย่างสวยงามสมกับฐานะของฝ่ายชาย แต่ทว่า...จะให้เธอเดินเข้าไปจริง ๆ น่ะหรือ

สุดท้ายแล้วก็เดินเข้าไปในงานจนได้ เธอถอนหายใจออกมา เป็นงานแต่งที่รู้สึกอึดอัดแท้ ทั้งที่ควรจะไปดูพี่สาวแต่งตัวแต่ไม่ได้ไปหา เพราะดูเหมือนว่าพี่เธอต้องการแบบนั้นเหมือนกัน ดวงตากลมกวาดสายตามองไปยังอาหารที่ถูกจัดวางแบบบุฟเฟต์และค็อกเทลผสมกันมีโต๊ะนั่งจำนวนหนึ่งแต่ไม่ใช่แขกทุกคนที่จะนั่งสนทนากัน บ้างก็ยืนคุย บ้างก็เดินมาตักอาหาร ทว่าสำหรับเธอแล้วคงยืนร่วมงานเงียบ ๆ จนจบละมั้ง

ลฎาภายืนอยู่ราว ๆ สิบนาที ก็มีเสียงดังขึ้น ทำให้หันไปมองแล้วก็เห็นเจ้าสาวเจ้าบ่าวเดินเข้ามาพร้อมกัน เธอหันไปมองแม้จะอยู่ในระยะที่มองเห็นถลัชนันท์ไปชัดเจน แต่ก็ไม่ได้เข้าไปทักทาย เพราะว่ามีคนมากมายต่างเดินเข้าไปทักทายเจ้าบ่าวกัน

ไม่ไปดีกว่า ไว้นอกรอบแล้วกัน

หญิงสาวถอนหายใจออกมาอีกครั้ง เพราะรู้ดีว่าไม่เหมาะกับสังคมคนรวยและก็ทำตัวไม่ค่อยถูก เธอหันมองพี่สาวอยู่นานก่อนจะตัดใจเดินไปหาของกินเพราะเสียงท้องเริ่มประท้วงออกมานั่นเอง

เมื่อหยิบอาหารเข้าปากแล้วก็ไม่มีสิ่งอื่นที่ดึงดูดความสนใจอีกต่อไป ลฎาภาสนใจแต่ของอร่อยตรงหน้าจนกระทั่งได้เวลาเริ่มงานพิธีกรขึ้นมาบนเวทีเพื่อกล่าวเปิดงานถึงความรักของเจ้าบ่าวและเจ้าสาว เธอจึงหันไปฟังโดยที่มือก็ยังหยิบอาการเข้าปากเรื่อย ๆ ดวงตากลมจ้องมองพี่สาวที่อยู่เวทีใบหน้าดูคล้ายจะมีความสุขแต่ก็ไม่เลยสักนิด

ลฎาภาถอนหายใจอีกครั้งจนนับไม่ถ้วน ก่อนจะหันหน้าที่โดยไม่สนใจ

การแต่งงานมีความสุขมากขนาดนั้นเลยเหรอ ?

รูปภาพ:

จวบจนเวลาล่วงผ่านไปเกือบสองชั่วโมง พอดีกับที่ท้องเริ่มอิ่มแล้ว หญิงสาวจึงเดินออกมาด้านนอก ตอนนี้เหลือแค่การตัดเค้กแล้ว อ่า…อยากกินด้วยสิ ของหวานเนี่ย !ถึงจะงานแต่งก็เถอะ แต่น่ากินจัง...หญิงสาวส่ายหน้าเรียกสติของตนกลับมาเเละรีบเดินออกไปทันที แต่ทว่า…ดูเหมือนว่าทางเดินอาหารจะปั่นป่วนเสียแล้ว ! สงสัยอาหารมื้อเที่ยงจะย่อยซะแล้วลฎาภากวาดสายตามองก่อนจะรีบสาวเท้าเดินเข้าไปหาบริกรของโรงแรมทันที สองเท้าสาวอย่างไวโดยไม่สนใจคนที่มองหรือเดินผ่านไปสักนิดเพราะเป้าหมายตอนนี้คือห้องน้ำ !เกือบยี่สิบนาทีผ่านไป หญิงสาวเปิดประตูห้องน้ำออกมา เธอเดินมาวางกระเป๋าที่อ่างล้างมือและสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ไม่คิดว่าจะเกิดอาการท้องเสียได้ อาจเป็นเพราะอาหารบางอย่างที่เธอไม่ชินเลยทำให้ท้องเสียหญิงสาวล้วงมือในกระเป๋าหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นก่อนหันหลังยืนพิงกับอ่างล้างมือ ครั้นเงยหน้าขึ้นมองก็อ้าปากค้างทันที มือที่ถือโทรศัพท์อยู่ก็ปล่อยตกลงไม่รู้ตัว กว่าที่จะตั้งสติได้ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าได้โน้มตัวลงเก็บโทรศัพท์ส่งคืนให้ แน่นอนว่าเขาไม่ได้เข้าห้องน้ำผิด อาจเป็นที่เธอรีบจนไม่ได้ดูว่าเป็นห้องน้ำชายหรือห้องน้ำหญิงลฎาภารีบตั้งสติและเอื้อมมือรับโทรศัพท์คืน ขณะที่ส่งสายตามอง ใบหน้าของเขาที่ยังนิ่งราวกับว่าเจอผู้หญิงเข้าห้องน้ำผิดจนเป็นเรื่องปกติ !“เออ...ขอบคุณ...ค่ะ” ลฎาภากล่าวไม่เต็มเสียงมากนัก แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มที่ซ่อนอยู่บนใบหน้าเขาแล้วก็ยิ่งรู้สึกอายมากกว่าเดิม“คุณเข้าห้องน้ำผิดบ่อยนะ”

ติดตามผลงานได้ที่

Mamaya Writer