บทที่ 14

มิราวดีพาชายหนุ่มมาเลี้ยงขอบคุณที่ร้านอาหารโปรดริมทาง ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากคอนโดฯ ที่เคยอาศัยอยู่ก่อนหน้า เธอชอบมากินหลังเลิกงานเป็นประจำ บรรยากาศร้านไม่อาจเทียบกับร้านหรู ๆ ราคาแพงได้ แต่รสชาติของอาหารนั้นอร่อยไม่แพ้กันเลย ผู้คนและพนักงานเงินเดือนก็นิยมมากินที่นี่หลังเลิกงานหรือซื้อกลับบ้านกันทั้งนั้น

“อาหารที่สั่งได้แล้วจ้า”

“ขอบคุณค่ะป้า”

“แม่หนูเปลี่ยนแฟนใหม่แล้วเหรอ คนนี้หล่อนะเนี่ย”

มิราวดีรีบส่ายหน้าและกำลังอ้าปากพูดปฏิเสธแต่ว่า...

“ครับ ผมกับเธอเราเพิ่งจะคบกันน่ะครับ”

“พ่อหนุ่มดูเป็นคนดี งั้นเดี๋ยวป้าแถมข้าวให้เยอะ ๆ เลยนะ”

รชตยิ้มรับและไม่นานอาหารจานใหญ่ก็วางอยู่ตรงหน้า เขามีท่าทางทำอะไรไม่ถูกเพราะไม่เคยออกมารับประทานอาหารข้างทางเลยสักครั้ง

“เป็นอะไรไปคะ ?” มิราวดีเอ่ยถามพลางอมยิ้มกับท่าทางของเขา ดูท่าแล้วคงจะไม่เคยมากินอาหารร้านข้างทาง “คุณให้ฉันเป็นเจ้ามือเองนะคะ”

ชายหนุ่มมีสีหน้าลำบากใจ มือเอื้อมหยิบช้อนและส้อมวางที่จาน พลางจานอาหารตรงหน้า

“คุณไม่ชอบเหรอคะ”

“อืม” เขาพยักหน้าแทนคำตอบ

มิราวดียิ้ม “แต่ฉันชอบค่ะ”

รชตจำยอมตักอาหารเข้าปาก รสชาติก็ไม่ได้แย่ถึงกับทำให้กินไม่ลง

มิราวดีตักอาหารเข้าปากเหลือบมองชายหนุ่มพยายามกินอยู่ แวบหนึ่งก็เกิดความคิดที่สงสัยมาตลอดจึงเอ่ยปากถามออกไป

“คุณรู้ได้ยังไงคะว่าฉันอยู่ที่ไหน มันเหมือนกับว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญ”

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้รับการช่วยเหลือจากเขา แต่ทุกครั้งที่เจออันตรายราวกับว่าเขารู้ว่าเธอทำอะไร อยู่ที่ไหน

ชายหนุ่มมองด้วยสายตาเรียบนิ่ง

“ผมแค่บังเอิญเจอคุณ”

มิราวดีไม่กล้าเอ่ยถามต่อเพราะเกรงว่าจะมีข้อสงสัยที่หาคำตอบมากกว่านี้ไม่ได้

“คุณกลัวผมเหรอ” รชตเอ่ยถามขึ้น นัยต์ตาคมจ้อมมองแววตาที่สับสนของเธอ

“เปล่าค่ะ ฉันแค่สงสัย”

“งั้นก็ดี เพราะเรากำลังจะแต่งงานกัน ผมไม่อยากให้คุณสงสัย”

มิราวดีนิ่งทำอะไรไม่ถูก นั่นไม่ใช่คำพูดที่อ่อนโยน หรือดูข่มขู่อะไร แต่เป็นการบอกว่า ยิ่งสงสัยยิ่งไม่ปลอดภัย ไม่รู้เลยว่าการ ‘ ตกลง ’ แต่งงานเพื่อหนีหนี้ที่ไม่ได้ก่อขึ้นนั้นเป็นความคิดที่ถูกต้องแล้วหรือไม่ ยิ่งมองก็ไม่เห็นคำว่า

รักที่แสดงออกมาเลยสักนิด

รูปภาพ:

“คุณแน่ใจเหรอคะว่าจะแต่งกับฉัน”

รชตพยักหน้า

“เพราะอะไรเหรอคะ”

มิราวดีเฝ้ารอคำตอบ หากบอกว่ารักหรือชอบ ในแววตาและน้ำเสียงที่อ่อนโยนแต่แฝงด้วยความเยือกเย็นนั้นไม่ใช่ความจริงเลยสักนิด ดูยังไงก็รู้ว่าไม่ได้รักเธอแม้แต่น้อย แล้วมีเหตุผลอะไรที่ต้องแต่งงานกับเธอ ทั้งที่มีผู้หญิงที่จะทำให้เขาเชิดหน้าชูตาได้มากกว่านี้

รชตวางช้อนส้อม แล้วนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง

“คุณไม่ต้องถามว่าเพราะอะไร สิ่งที่ต้องรู้ก็คือ ผมสามารถปกป้องคุณได้ แค่นั้นก็พอ”

“เอ่อ” มิราวดีกำลังจะพูดแต่ชายหนุ่มลุกขึ้นไปจ่ายเงินและออกจากร้านไปทันที ทำให้เธอต้องรีบลุกตามออกไปทั้งที่ยังกินไม่อิ่ม

หญิงสาวก้าวเท้าไวตามออกไปจนกระทั่งถึงที่จอดรถ ดวงตากลมชำเลืองมองเขาโดยไม่ปริปากถาม เเน่นอนว่ามีคำถามที่อยากรู้เเต่ก็คิดว่าหากต้องเเต่งงานกันสักวันคงจะได้คำตอบที่คลายสงสัย

รชตมองด้วยสายตาเรียบนิ่งเเล้วฝืนยิ้มให้หญิงสาวตามมารยาทก่อนเปิดประตูรถขึ้นนั่ง

มิราวดีผ่อนลมหายใจออกมาเเล้วเปิดประตูรถอีกฝั่งตามขึ้นไปนั่ง

ตลอดระยะทางทั้งสองคนนิ่งเงียบจนมาถึงคอนโดฯ เป็นเพราะสถานะที่ไม่รู้จะพูดอะไรหรือไม่มีความรู้สึกหวานแหววกันเเน่ แม้แต่ตัวเธอยังรู้สึกเกร็งที่จะก้าวข้ามไปด้วยซ้ำ ไม่ใช่เพราะกลัวจะมีความรัก แต่เขานิ่งเงียบ เยือกเย็น เเละบางครั้งก็อบอุ่นอ่อนโยนจนเดาไม่ถูก

“เอ่อ เรื่องวันนี้ขอบคุณมากนะคะ”

มิราวดีกล่าวขอบคุณขณะที่เดินเข้าไปในห้องของตนเอง

“ผมยินดี” เขาตอบกลับ ขณะหมุนตัวเตรียมเดินกลับไปในห้อง

“คุณแน่ใจจริง ๆ เหรอคะที่จะแต่งงานกับฉัน”

ชายหนุ่มนิ่งเงียบชั่วขณะ แล้วหมุนตัวเดินเข้ามาหามิราวดี รอยยิ้ม

บนใบหน้าเเละน้ำเสียงทุ้มเอ่ยออกมา

“คุณไม่มั่นใจว่าผมจะปกป้องคุณได้เหรอ”

ดวงตากลมกลอกไปมามองด้วยความสับสนเเละครุ่นคิด นั่นไม่ใช่คำตอบที่ต้องการ “ไม่ใช่ค่ะ”

“งั้นคุณก็อย่าคิดมากไป” เขายิ้ม

มิราวดีพยักหน้าตอบก่อนรีบหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในห้องของตัวเองอย่างรวดเร็ว

รชตมองประตูที่ปิดลงพลางถอนหายใจออกมา มือกำหมัดเเน่นด้วยความรู้สึกว้าวุ่นใจ พลังที่ได้รับมาหลังสัญลักษณ์ปรากฏขึ้น มีไว้เพื่อปกป้องเธองั้นเหรอ ทั้งที่ก่อนหน้านั้นเขาก็ใช้ชีวิตเหมือนมนุษย์ทั่วไปจนกระทั่งได้พบกับเธอ เพราะอะไรต้องปกป้องชีวิตของผู้ที่ทำให้เขาทรมานเช่นนี้ด้วย

หรือเพื่อให้เขารักเธอ ไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะเขาไม่สามารถรักผู้หญิงที่ทำให้เขาต้องทนทรมานมาหลายร้อยปี

“ความรักมันไม่ใช่คำสาปหรอกนะ” อาโปพูดขณะปรากฎกาย

“ความรักคือคำสาป” ชายหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “นายก็รู้ว่าฉันไม่เคยเชื่อในความรัก”

อาโปมองพลางถอนหายใจออกมาครั้นกำลังจะพูดต่อ ชายหนุ่มก็เดินเขาห้องไปเสียแล้ว ไม่รู้ว่ารชตจะรู้หรือไม่ว่าความอมตะที่ได้มานั้นเกิดจากการสละชีวิตผู้หญิงที่รักจนหมดหัวใจ ทว่าเขากลับคิดว่ามันคือคำสาปที่ทำให้ต้องมองคนที่รัก คนรอบข้างตายจากไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า

“นายต่างหากที่มองความรักเป็นคำสาป”

โปรดติดตามตอนต่อไป...