บทที่ 23
แสงอาทิตย์ส่องเข้าผ่านทางหน้าต่าง หญิงสาวที่นอนหลับอยู่บนเตียงขดตัวหลบหนี พลางปรือตาขึ้นปรับการมองเห็นรับแสงที่ส่องเข้ามา เธอหันมองไปยังที่ข้าง ๆ จึงเห็นว่าวันนี้ชายหนุ่มไม่ได้ตื่นและออกไปทำงานก่อน คงจะกลับมาดึกมาก ๆ ดูจากใบหน้าแล้วดูอิดโรยอ่อนล้า
มิราวดีลุกลงจากเตียงให้เบาที่สุดเพราะกลัวจะรบกวนการนอนของเขา เธออาบน้ำและแต่งตัวในเวลาไม่ถึงสามสิบนาทีก่อนจะเดินลงมาชั้นล่างเพื่อรับประทานอาหารเช้า
วันนี้ตามกำหนดตารางเธอต้องเข้าพบคุยงานรวมถึงตกลงเรื่องราคาที่เคยเสนอไปกับลูกค้า ซึ่งเป็นบริษัทอุตสาหกรรมอาหารขนาดใหญ่ และมีผู้ถือหุ้นจำนวนมาก แน่นอนว่าต้องมีคู่แข่งบริษัทอื่นที่พยายามเสนอราคาด้วย คราวนี้จะพลาดเหมือนสองปีก่อนไม่ได้เด็ดขาด
มิราวดีนั่งรับประทานอาหารเช้าเพียงลำพัง เป็นกิจวัติประจำวันจนเคยชินไปแล้ว ไม่นานนักพ่อบ้านก็เดินเข้ามาจัดชุดอาหารบนโต๊ะอีกหนึ่งชุด ดวงตากลมมองแต่ก็ไม่ได้ถามอะไร คิดว่าคงเป็นอาโปที่มากินอาหารเช้า
“วันนี้เราจะออกไปด้วยกัน” เสียงหนึ่งเอ่ยขึ้น ทำให้หญิงสาวเงยหน้ามองชายหนุ่มที่เดินเข้ามาตรงโต๊ะรับประทานอาหารเข้า
ดวงตากลมกะพริบมองด้วยความงุนงงในคำพูดของอีกฝ่าย
“ไปไหนคะ”
“ไปทำงานไง” รชตยิ้มมองหญิงสาว แล้วพูดต่อไปว่า “คุณต้องออกไปพบลูกค้าไม่ใช่เหรอ และงานนี้ก็โครงการใหญ่ด้วย”
“เอ่อ...ใช่ค่ะ” มิราวดียังรู้สึกงง แต่ก็พอเข้าใจบ้างเพราะเขายังรั้งตำแหน่งกรรมการผู้จัดการฝ่ายการตลาด แถมยังเป็นเจ้านายของเธออีกด้วย
“แล้วคุณไม่ทำงานของคุณเหรอคะ อาทิตย์ก่อนคุณบอกว่ามีงานอีกที่ต้องไปทำ”
“ผมจัดการเสร็จแล้ว”
รชตตอบพลางก้มหน้ารับประทานอาหารมื้อเช้า อันที่จริงตอนนี้เขา
ถือหุ้นในนามบริษัทใหญ่ของหลาย ๆ ประเทศ ทว่ากลับไม่ค่อยออกงานสังคมเท่าไหร่ และเรื่องงานที่เขาทำแทบไม่จำเป็นต้องเข้าไปยุ่ง หรือบริหารด้วยซ้ำ แต่ก็มีบ้างบางครั้งที่ต้องเข้าไปดูแลและตรวจสอบบัญชีความเคลื่อนไหวภายในที่เริ่มผิดปกติ แต่นั่นก็ไม่ได้เยอะถึงกับแย่หรือล้มละลาย
“แต่จะดีเหรอคะ เมื่อวานคุณกลับมาดึก” มิราวดีเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเพราะสังเกตจากสีหน้าซึ่งดูอิดโรยมาก
รชตส่งสายตามองหญิงสาวพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า ก่อนลุกเดินเข้ามาหาใกล้ ๆ
“คุณเป็นห่วงผมเหรอ”
อ่า…ลมหายใจอุ่นที่กระซิบข้างต้นคอทำให้เธอรู้สึกจั๊กจี้ ในขณะเดียวกันก็รู้สึกดี มิราวดียิ้มเขิน ก่อนหันมาตอบเขา โดยลืมไปว่าใบหน้าของชายหนุ่มยังอยู่ที่เดิม ดวงตากลมกะพริบมองใบหน้าคมใกล้ ๆ นัยน์ตาสองคู่ประสานกัน พอเธอรู้ตัวก็รีบหลบสายตาที่กำลังจ้องมอง เเก้มทั้งสองข้างเริ่มผ่าวร้อนไปทุกที
“ฉันก็เเค่เห็น…คุณดูหน้าซีด”
รชตทำหน้านิ่งไม่ตอบ เพราะสาเหตุนี้มันเกิดจากความทรมานของคำสาป เเละเรื่องนี้เขาก็ยังไม่ได้บอกเธอ
“ผมสบายดี”
“จริงนะคะ”
ยังพูดไม่ทันจบชายหนุ่มก็เอื้อมดึงมือของเธอทาบไว้ที่หน้าผากเขา
“หายห่วงหรือยังครับ” เขาเอ่ยน้ำเสียงสุภาพ ทำให้มิราวดีทำท่าเลิ่กลั่กไปต่อไม่ถูก มือที่ถูกกุมอยู่พยายามดึงกลับก็ไม่สำเร็จ
รชตดึงมือของหญิงสาวเเล้วโน้มตัวลงจุมพิตที่ฝ่ามือของเธออย่างนุ่มนวล
“ขอบคุณ ที่คุณเป็นห่วงผม”
ในตอนนี้เสียงหัวใจที่เต้นตึกตัก ระทวยจนเเทบจะระเบิดออกจากอก
มิราวดีรีบดึงมือกลับเเละหันหนี ก้มหน้ารับประทานอาหารเช้าต่อทันที ไม่กล้าที่จะสบตาเขา เพราะเสียงหัวใจที่เต้นในอกดังออกมา ย้ำความรู้สึกที่กำลังก่อตัวขึ้นในใจ
เขามองคนตัวเล็กหันหนี แล้วจึงรู้สึกตัวได้ว่ากำลังทำอะไรที่สมองสั่งห้ามอยู่ทุกครั้ง ความรู้สึกที่ไม่อยากให้เกิดขึ้น ทำไมนับวันกลับยิ่งรู้สึกและเป็นเขาเองที่กำลังถูกโจมตี
รชตมองฝ่ามือของตนที่สัมผัสมือนิ่มอบอุ่นยังคงอยู่ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหากเธอรักเขาเเล้วจะต้องเเก้คำสาปอย่างไร แม้พยายามค้นหาคำตอบนี้มาหลายร้อยปีเเต่ก็ไม่มีบันทึกเลยสักนิด เพราะไม่เคยมีใครกล้าใช้คำสาปนี้ !
อาโปเเค่บอกว่าหากตามหาหญิงสาวที่เป็นต้นเหตุของคำสาปนี้ได้ เเละทำให้เธอรักตามคำสาปที่ต้องการ คือรักอันนิรันดร์ ก็จะสามารถแก้ได้ หรืออาจจะต้องเสียสละเลือดของหญิงสาวบางส่วนเผื่อคลายคำสาป ซึ่งเหตุผลทั้งหมดเขาคิดมานานเเล้ว เพียงเเต่…เวลานี้ข้างในหัวใจหวั่นกลัวจนไม่กล้าหากต้องทำพิธีซ้ำอีกครั้งในขณะที่เขากำลังหลงรักเธออยู่แบบนี้
“รถที่เตรียมไว้มาถึงเเล้วนะครับ” พ่อบ้านมงคลเดินเข้ามาบอก
รชตหลุดจากภวังค์พลางพยักหน้าตอบรับด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
มิราวดีกินอาหารเช้าหมดพอดี จึงขยับตัวลุกขึ้นหันมองชายหนุ่มที่มีสีหน้าไม่ดีนัก ยังไม่ทันจะทักเขาก็เดินออกไป เธอจึงได้เเต่รีบหยิบกระเป๋าเเละเอกสารเดินตามออกไปขึ้นรถทันที
โปรดติดตามตอนต่อไป...
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามเเละให้กำลังใจค่า
หากชอบฝากกดไลก์ กดเเชร์ กดติดตาม เเละสนับสนุนเวอร์ชันกระดาษได้นะคะ
เรื่องนี้โทนชมพูเทา ๆ ค่ะ ฮา ๆ ๆ ๆ ช่วงหลังก็จะดราม่านิดหน่อยค่า
Mamaya Writer