ทั้งเบื่อ ทั้งเครียด ตีกันไปหมด! แชร์ 7 วิธีแก้ปัญหา “ หมดไฟในการทำงาน ” ให้กลับมาพร้อมลุยงานได้อีกครั้ง
สาวซิสจ๋าาา ช่วงนี้ต้องยอมรับเลยว่าหลายสิ่งหลายอย่างรอบตัวมันชวนให้รู้สึกเบื่อๆ เซ็งๆ ไม่เว้นแม้แต่เรื่องการทำงานเลยนะ วันนี้เราเลยรวม 7 วิธีแก้ปัญหา “ หมดไฟในการทำงาน ” มาแชร์ให้ได้ลองทำตามเพื่อปลุกไฟให้พร้อมลุยงานได้อีกครั้งกันค่ะ
เผยแพร่: 5 ก.ย. 2564 12:00 น.
Views: 10,878
เห้อออ ช่วงนี้มองไปทางไหนก็มีแต่เรื่องเครียดๆ จนทำให้รู้สึกท้อใจทั้งนั้นเลยค่ะซิส (,◞ ‸ ◟, )
สาวซิสคนไหนที่เข้าสู่ช่วงวัยทำงานแล้ว เคยสังเกตดูมั้ยว่าตอนที่เพิ่งเรียนจบใหม่ๆ หรือเริ่มต้นทำงานใหม่ๆ รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นสาวไฟแรงที่อยากทำงานนู่นนี่นั่นเต็มไปหมด เพราะมันมีหลายสิ่งหลายอย่างให้ได้เรียนรู้และเก็บเกี่ยวประสบการณ์อย่างเต็มที่แต่หลังจากที่เวลาผ่านไปหลายเดือนหรือนานเป็นปี พอต้องเจอกับสารพัดงานหนักที่สุมกองเป็นภูเขาบนโต๊ะ ต้องรีบเร่งทำงานหลายๆ ชิ้นให้เสร็จภายในระยะเวลาอันสั้น หรือเจอกับเพื่อนร่วมงานที่ไม่น่ารัก ก็อาจทำให้เกิดความเครียดสะสมจนรู้สึกเบื่อหน่ายกับงานที่ทำ หรือที่เรียกกันว่าภาวะหมดไฟในการทำงาน ( Burnout Syndrome )ขึ้นได้
แล้วใครที่กำลังทั้งเบื่อ ทั้งเครียด ทั้งท้อ จนรู้สึกว่าการลุกขึ้นไปทำงานในแต่ละวันเป็นช่างเป็นเรื่องยากเย็นและทรมานใจ นั่งทำงานไปในหัวก็คิดแต่จะ“ ลาออก ”ซ้ำๆ ตลอดเวลา ก็ต้องรีบตามมาส่อง7 วิธีแก้ปัญหา “ หมดไฟในการทำงาน ”ที่เราหยิบมาแชร์กันวันนี้ดูแล้วละเพราะวิธีเหล่านี้จะช่วยปลุกไฟในการทำงานให้ลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง และทำให้สาวๆ พร้อมกลับมาลุยงานได้อย่างมีความสุขขึ้นด้วย
。 ⋆ 。 ⋆ 。 ⋆ 。 ⋆。 ⋆ 。 ⋆ 。 ⋆ 。 ⋆。 ⋆ 。 ⋆ 。 ⋆ 。 ⋆ 。 ⋆。 ⋆ 。 ⋆ 。 ⋆ 。 ⋆。 ⋆
① เช็กให้ชัวร์ว่าหมดไฟหรือแค่ขี้เกียจทำงาน
สาวๆ คะ ก่อนที่จะฟันธงอย่างมั่นใจว่าตัวเองกำลังอยู่ในภาวะหมดไฟในการทำงานจริงๆเราอยากให้เธอตั้งสติและลองเช็กให้ชัวร์ๆ ก่อนดีกว่าว่า อาการที่เกิดขึ้นตอนนี้มันเป็น“ ภาวะหมดไฟ ”จริงๆ หรือแค่“ รู้สึกขี้เกียจ ”ทำงานกันแน่?!เพราะความรู้สึกขี้เกียจทำงานมันสามารถเกิดได้กับทุกคน โดยอาจรู้สึกขี้เกียจทำงานบางอย่างที่น่าเบื่อ แต่พอเจองานที่ตัวเองชอบหรือถนัดก็รู้สึกสนุกสนานไปกับการทำงานนั้นๆ
แต่สำหรับคนที่หมดไฟในการทำงานจะไม่ได้รู้สึกขี้เกียจอย่างเดียวเท่านั้น แต่ส่งผลต่อความเครียดและกระทบต่อการดำเนินชีวิตด้วยนะ เช่น นอนไม่หลับ, หลงๆ ลืมๆ, เจ็บป่วยง่าย, ขี้หงุดหงิด, เกิดภาวะซึมเศร้า ฯลฯหากใครมีอาการตามที่เราบอกไปก็อาจเข้าข่ายอยู่ในภาวะหมดไฟแล้วละ
② เปิดใจคุยกับหัวหน้า / ฝ่ายบุคคล
บางครั้งเวลาที่เกิดความเครียดหรือมีปัญหาในการทำงานวิธีแก้ที่ดีที่สุดอย่างหนึ่งก็คือการเปิดใจคุยกับหัวหน้างานหรือฝ่ายทรัพยากรบุคคล เพื่อปรึกษาและหาทางแก้ไขปัญหาร่วมกันนั่นเองค่ะ
แต่แทนที่จะเดินดุ่มๆ ด้วยสีหน้าเคร่งเครียดไปหาหัวหน้า แล้วตบโต๊ะดังปึงพร้อมตะโกนว่า“ หมดไฟในการทำงานโว้ย!!! ”ก็แนะนำให้เดินไปขอเวลาหัวหน้าแล้วบอกกับเขาว่าเธอมีเรื่องอยากปรึกษา แล้วบอกเล่าถึงปัญหาในการทำงานที่มันเป็นสาเหตุที่ทำให้รู้สึกหมดไฟและอย่าลืมย้ำให้อีกฝ่ายฟังด้วยนะว่าเธอชอบทำงานที่บริษัทแห่งนี้ แต่กลัวว่าปัญหาดังกล่าวมันอาจส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงาน เพื่อให้บรรยากาศไม่ตึงเครียดหรือดูเป็นแง่ลบจนเกินไปเชื่อสิว่าถ้าหัวหน้างานเป็นคนที่หวังดีและเห็นคุณค่าในตัวเธอ เขาจะต้องช่วยให้คำแนะนำและหาทางออกเพื่อให้เธอกลับมามีความสุขกับการทำงานอีกครั้งแน่นอน
③ ทำงานหนักมานานก็ต้องหาเวลาพักบ้าง
ขนาดรถยนต์ที่ต้องวิ่งในระยะทางไกลๆ เป็นเวลานานๆ ยังต้องจอดพักเพื่อให้เครื่องหายร้อนและพร้อมกลับมาวิ่งต่อไม่ต่างอะไรจากคนเราหรอกนะที่พอทุ่มเททำงานหนักมาเป็นระยะเวลานานๆ ก็ต้องหาเวลาหยุดพัก เพื่อใช้เวลาพักผ่อนกาย ใจ และสมองอย่างเต็มที่ขืนฝืนทำงานหนักต่อไปทั้งๆ ที่ร่างกายและจิตใจไม่ไหว ก็จะส่งผลให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง แถมยังเสี่ยงหมดไฟได้ง่ายขึ้นอีกต่างหาก
เราเลยอยากแนะนำให้สาวๆ ที่กำลังรู้สึกหมดไฟและหมดแรงใจในการทำงาน เพราะรู้สึกเหนื่อยหนักจนฝืนทำงานต่อไปอีกไม่ไหวยื่นใช้สิทธิลาพักร้อนของตัวเองเพื่อออกไปพบเจอกับบรรยากาศใหม่ๆ เอาตัวออกห่างจากความเครียดที่เกิดจากการทำงาน และชาร์จพลังความสุขให้กับตัวเองอีกครั้งไม่แน่ว่าหลังจากที่เธอได้ใช้เวลาพักผ่อนอย่างเต็มที่ อาจช่วยปลุกไฟให้สนุกสนานกับการทำงานมากขึ้นก็ได้นะ
④ รู้ลิมิตและขอบเขตงานของตัวเอง
เคยเจอเหมือนกันบ้างรึเปล่า… พอได้เข้ามาทำงานจริงๆ แล้วภาระงานที่ต้องรับผิดชอบ มันช่างแตกต่างจาก Job Description ที่ระบุไว้ในประกาศรับสมัครงานลิบลับ จนแทบจะอยู่ในตำแหน่ง#เป็นทุกอย่างให้เธอแล้วทั้งพนักงาน แม่บ้าน แม่ครัว เลขา ฯลฯ เหมือนมัดรวมทุกตำแหน่งมาให้ทำในคนคนเดียว
ถ้าใครเจอกับโมเมนต์แบบนี้อยู่ก็ไม่น่าแปลกในเลยที่เธอจะเจอกับภาวะหมดไฟในการทำงาน เพราะหากต้องทำงานที่ไม่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งของตัวเอง หรือต้องรับผิดชอบทุกงานที่หัวหน้า / เพื่อนร่วมงานโยนมาให้ ก็อาจทำให้รู้สึกเหนื่อยและเครียดจนเกินไป แล้วต้องมานั่งถามตัวเองทุกวันว่า“ ทำไมเราต้องทำมันด้วยล่ะ?! ”หากไม่อยากรู้สึกเบื่อหน่ายและเข็ดขยาดกับงานที่ทำอยู่ก็ควรรู้ลิมิตและขอบเขตงานของตัวเองว่าต้องรับผิดชอบงานไหนบ้างอย่าทำตัวเป็นแม่พระแล้วอ้าแขนรับทุกงานเด็ดขาดเลยนะ!
⑤ อย่ากลัวที่จะ “ ปฏิเสธ ” คนอื่นๆ ให้เป็น
เราเข้าใจดีนะว่าสำหรับสาวๆ บางคนที่ไม่ชอบมีปัญหากับคนรอบข้าง เธออาจรู้สึกว่าการปฏิเสธงานที่คนอื่นมอบหมายหรือโยนมาให้ มันดูเสียมารยาทหรือกลัวว่าจะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกไม่พอใจ แต่ขอให้ท่องไว้เสมอเลยนะว่าถ้ามัวแต่เกรงใจคนอื่นอยู่แบบนี้ สุดท้ายแล้วคนที่ลำบากก็มีแค่ตัวเธอเองเท่านั้นแหละสาเหตุก็เป็นเพราะว่านอกจากนิสัยปฏิเสธคนไม่เป็นมันจะทำให้ต้องเหนื่อยหนักทั้งๆ ที่ไม่ควรแล้ว หากตกปากรับคำทำงานชิ้นนั้นๆ แต่ดันทำออกมาได้ไม่ดีหรือไม่เต็มที่ ก็อาจได้รับคำตำหนิแทนคำชมเชยด้วยนะ
หากพิจารณาดูแล้วว่างานนั้นๆ มันไม่ได้อยู่ในขอบเขตความรับผิดชอบของตัวเอง หรืองานที่ตัวเองได้รับมอบหมายให้ทำก็ล้นมือมากเกินพออยู่แล้ว ก็จงอย่ากลัวที่จะ“ ปฏิเสธ ”คนและงานให้เป็นค่ะ
⑥ หยุดคิดเรื่องงานในเวลาพักผ่อน
การทุ่มเททำงานหนักถือเป็นเรื่องน่าชื่นชม… แต่ถ้าเอาแต่ก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่อย่างเดียว โดยไม่สนใจเรื่องอื่นๆ รอบตัว ก็อาจทำให้เกิดภาวะหมดไฟในการทำงานเร็วขึ้นเพราะต้องแบกรับทั้งความเครียด ความเหนื่อยล้า และความเบื่อหน่ายเอาไว้ จนรู้สึกว่าการทำงานเป็นเรื่องที่ทรมานจิตใจมากๆ
แล้ววิธีแก้ปัญหาภาวะหมดไฟที่เราอยากแนะนำให้คนวัยทำงานได้ลองทำตามกันก็คือการแบ่งเวลาให้เป็น โดยหากอยู่ในช่วงเวลาทำงานก็ต้องตั้งใจและทุ่มเททำงานให้เต็มที่สุดความสามารถแต่เมื่อถึงช่วงเวลาพักผ่อนหรือช่วงเวลาส่วนตัวก็ต้องหยุดคิดเรื่องงาน และห้ามแอบลุกขึ้นมานั่งทำงานเด็ดขาดเลยนะไม่อย่างนั้นเธออาจรู้สึกว่าวันหยุดก็เหมือนยังไม่ได้พัก เผลอแป๊บเดียวก็ต้องกลับไปทำงานอีกแล้วหรอเนี่ย!? เพราะฉะนั้นจงเก็บเรื่องงานไว้ที่ออฟฟิศ แล้วค่อยกลับไปเคลียร์มันในช่วงเวลาทำงานจะดีกว่านะ
⑦ หันกลับมาดูแลใส่ใจตัวเองให้มากขึ้นกว่าเดิม
ลองถามตัวเองดูสิว่าเธอเป็นคนที่โฟกัสและให้ความสำคัญกับการทำงานมาก โดยที่ไม่เคยคิดจะใส่ใจดูแลสุขภาพของตัวเองเลยสักนิดรึเปล่า???หากใครกำลังทำพฤติกรรมนี้อยู่ก็ขอให้รีบหยุดโดยไวเลยนะคะ เพราะนอกจากมันจะทำให้หมดไฟในการทำงานได้ง่ายๆ แล้ว อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายจนเจ็บป่วยหรือเกิดโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ขึ้นได้ แล้วถ้าร่างกายไม่พร้อมก็คงทำงานได้ไม่เต็มที่ด้วยนะ
รู้แบบนี้แล้วสาวๆ ก็ควรหันกลับมาดูแลและใส่ใจตัวเองให้มากขึ้นกว่าเดิมไม่ว่าจะเป็นเรื่องการนอนหลับพักผ่อนให้เต็มที่ เลือกกินอาหารดีๆ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย รวมทั้งหมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอซึ่งการที่เธอปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ให้ดีขึ้น ก็จะช่วยเสริมให้สุขภาพกายแข็งแรง สุขภาพจิตใจสดชื่นแจ่มใส แถมยังมีแรงออกไปทำกิจกรรมต่างๆ และพร้อมลุยกับการทำงานมากขึ้นด้วย
。 ⋆ 。 ⋆ 。 ⋆ 。 ⋆。 ⋆ 。 ⋆ 。 ⋆ 。 ⋆。 ⋆ 。 ⋆ 。 ⋆ 。 ⋆ 。 ⋆。 ⋆ 。 ⋆ 。 ⋆ 。 ⋆。 ⋆
ขอบอกเลยว่าไม่ใช่เรื่องที่จะมองข้ามไปได้ อย่าคิดว่าพอมันเกิดขึ้นแล้วเดี๋ยวก็คงหายไปเอง เพราะหากเธอไม่ลงมือแก้ไขหรือปรับเปลี่ยนอะไรบางอย่าง ก็อาจยิ่งทำให้สถานการณ์มันแย่ลงเรื่อยๆ จนส่งผลเสียต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิต รวมทั้งส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันด้วยนะดังนั้น ใครที่กำลังเจอกับภาวะหมดไฟในการทำงานอยู่ในตอนนี้ ก็ต้องหาวิธีปลดปล่อยตัวเองจากความเครียดบ้าง ลองออกไปทำอะไรใหม่ๆ เพื่อสร้างสีสันและความสนุกสนานให้กับตัวเอง อย่าทุ่มเทชีวิตในวัยหนุ่มสาวไปกับการทำงานซะหมด หากเธอสามารถสร้างความสมดุลระหว่างชีวิตส่วนตัวกับการทำงานได้ ก็จะช่วยให้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขมากขึ้นได้แน่นอน
♡♡(ŐωŐ人)♡♡