บทที่ 31
“คุณมีอะไรอยากจะพูดกับฉันอีกไหมคะ”
“ไม่มี” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งและขยับตัวออกห่างจากหญิงสาว
มิราวดีเหลือบมองและรีบเปิดประตูเดินออกจากห้องไปในทันที เสียงหัวใจดวงน้อยเต้นไม่เป็นจังหวะมากขึ้นทุกที แม้เคยคิดว่าหากปล่อยไว้เวลาผ่านไปก็คงไม่เป็นอะไร
ทว่านานวันกลับไม่ใช่อีกต่อไป เธอรู้ตัวและคำตอบในใจดี
หญิงสาวยกมือทั้งสองข้างตบที่เเก้มเบา ๆ เรียกสติกลับคืนมา ก่อนเดินออกไปจากหน้าห้องของเขา ครั้นเดินมาถึงหน้าต่างใหญ่ทางที่จะไปคฤหาสน์อีกฝั่ง ดวงตากลมมองไปยังสวนพลางถอนหายใจออกมา คฤหาสน์หลังใหญ่มีพื้นที่กว้างทว่าคนอาศัยมีเพียงสามคนเท่านั้น ก็แน่ละมันดูเงียบเกินไป มิราวดีตั้งใจจะเดินลงบันไดและกลับไปยังสวนทว่าอีกใจเธอก็อยากเห็นสวนทางมุมสูงจึงเดินไปอีกฝั่งที่ปกติไม่เคยไป เพราะพ่อบ้านเองก็บอกว่าคนที่มาทำความสะอาดนอกจากบริษัทรับจ้างก็ไม่ได้อนุญาตให้เข้าไป บางทีอาจเป็นคลังสมบัติ หรือของสะสมโบราณถึงไม่ยอมให้ไปยุ่ง
เธอเดินมาจนสุดฝั่งเเละเห็นหน้าต่างที่มองไปยังถนนบ้านอีกฟากแต่ก็ไม่มีอะไรน่าสนใจสักนิด
มิราวดีไหวไหล่เเละเตรียมเดินกลับออกไป ทว่าเเวบหนึ่งเธอเห็นบันไดลงไปเหมือนกับชั้นใต้ดิน ไม่รู้สึกเเปลกใจเลยเพราะดูแล้วน่าจะเป็นคฤหาสน์เก่าหลายร้อยปี และความลึกลับนั้นชวนให้ละสายตาไม่ได้เลย
‘มาสิ มาหาข้า’
“กำลังหาอะไรอยู่เหรอครับ”
มิราวดีสะดุ้งเเละหันมองพ่อบ้านด้วยความตกใจ
สีหน้าเธอดูตื่นตระหนกเพราะเพียงชั่วพริบตาเเค่มองลงไปราวกับมีบางอย่างกำลังร้องเรียกให้เข้าไปหา
“เอ่อ เปล่าค่ะ ฉันก็เเค่อยากดูสวนจากฝั่งนี้”
พ่อบ้านมงคลเหลือบมองสายตาของนายหญิงที่จ้องไปยังทางประตูห้องใต้ดินต้องห้าม
“ฝั่งนี้นายท่านไม่ค่อยได้ใช้งานและไม่ได้ทำความสะอาดเท่าไหร่ อย่ามาจะดีกว่าครับ”
“คะ...ค่ะ” มิราวดีทำตัวไม่ถูก เป็นคำพูดที่บอกอ้อม ๆ ว่านายท่านไม่อนุญาตให้นายหญิงมาที่ฝั่งนี้
“ถ้างั้นไปกันเถอะครับ” พ่อบ้านมงคลยังคงพูดและยิ้มให้หญิงสาว
มิราวดียิ้มเจื่อนตอบรับพลางเหลือบมองบันไดห้องใต้ดินอีกที ทว่ามันกลับหายไปมีเพียงประตูบานหนึ่งขึ้นมาแทนที่
บางทีเธออาจจะตกใจจนตาฝาด
หญิงสาวสะบัดศีรษะ ไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไปก่อนจะเดินกลับมานั่งอ่านหนังสือที่สวนตามเดิม
เริ่มต้นเช้าวันใหม่สัปดาห์สุดท้ายของเดือน เสียงโทรศัพท์จากหลายเครื่องดังขึ้นพร้อมกัน ทุกคนในแผนกขายต่างวิ่งวุ่นรับสายเเละประสานงานกับลูกค้า กระทั่งช่วงสายมีนัดเข้าประชุมกับผู้บริหารที่ดูเเลโดยตรง มิราวดีที่มัวแต่คุยโทรศัพท์หลายเครื่องพร้อมกันจนล้นมือ ไม่อาจเข้าประชุมได้ตรงเวลา หลังจากที่วางสายเสร็จต้องติดต่อเเจ้งงานที่ฝ่ายคลังสินค้าเพื่อตรวจสอบว่าของพร้อมส่งตามที่รับปากลูกค้าไว้หรือไม่ จวบจนเลยเวลาประชุมไปยี่สิบกว่านาที
มิราวดีเดินเข้ามานั่งในห้องประชุมอย่างเงียบเชียบ ขณะที่ทุกคนกำลังประชุมยอดขายในรอบนี้ แน่นอนว่ากลุ่มที่เธอรับผิดชอบปิดยอดได้อย่างสวยงาม
“เอาละ เริ่มต้นไตรมาสใหม่ก็ช่วยกันทำยอดนะครับ ยิ่งใกล้มาถึง ช่วงสุดท้ายของปี ผมหวังว่าจะได้รับข่าวดีจากพวกคุณทุกคน” ท่านประธานใหญ่วัยกลางคน ตำแหน่งผู้บริหารสูงสุดกล่าว เขาเป็นผู้บริหารที่เข้ามาดูแลพนักงานแผนกนี้อย่างใกล้ชิด ด้วยความที่ประสบการณ์เยอะ มีความสามารถรวมถึงบริหารงานได้อย่างยอดเยี่ยมตลอดหลายสิบปี แน่นอนว่าเป็นเเผนกเดียวที่มีโอกาสได้ใกล้ชิดและคุยงานกับเจ้าของโดยตรง
“มีใครอยากจะบอกข่าวหรือเสนออะไรอีกไหม ถ้าไม่มีเราก็เเยกย้ายกันไปทำงาน”
ทุกคนในที่ประชุมเงียบเเละส่ายหน้า เป็นอันรู้กันว่าจบการประชุม พนักงานต่างทยอยลุกออกจากห้องประชุม มิราวดีกำลังลุกไปเช่นกันทว่าเจ้านายใหญ่กลับเรียกไว้เสียก่อน
“คุณมิราวดี ผมทราบเรื่องโครงการที่กำลังทำอยู่ ตอนนี้คืบหน้าไปถึงไหนแล้ว”
“ฉันกำลังเตรียมเอกสารยื่นอุทธรณ์ค่ะ คาดว่าอาทิตย์หน้าจะไปยื่นได้” หญิงสาวตอบ
“ถ้ามีติดขัดตรงไหนก็ปรึกษาคุณรชตได้นะ เขาเป็นคนหนุ่มที่มีความสามารถ ผมเองก็ดีใจมากที่เขาขอมาดูเเลแผนกนี้เอง”
น้ำเสียงของท่านประธานฟังดูชื่นชมชายหนุ่มเป็นพิเศษ แน่นอนว่าเขามีความสามารถมากพอที่ไม่จำเป็นต้องมานั่งเก้าอี้หัวหน้าแผนกเลย แต่ที่ทำตอนแรกเพราะต้องการตามตื้อเธอต่างหาก
“ได้ค่ะ เรื่องนี้ฉันก็ปรึกษาเขาด้วยเหมือนกัน แต่ก็ไม่รู้ว่าจะได้งานนี้ไหม” มิราวดีมีท่าทางเสียดายหากว่าไม่ได้งานตามที่หวังไว้
“ผมเชื่อว่าคุณทำได้แน่นอน แต่อย่าลืมนโยบายของบริษัทเราด้วย อย่างไรก็ตามผมไม่เห็นด้วยที่จะให้ใต้โต๊ะเพื่อให้ได้งานมา”
หญิงสาวพยักหน้ารับ พลางมองท่านประธานใหญ่เดินออกไปจนพ้นสายตา เธอจึงได้แต่ถอนหายใจและเดินกลับมาทำงานที่โต๊ะทำงานเช่นเดิม ไม่
นานนักเสียงข้อความจากเบอร์ที่คุ้นเคยก็ดังขึ้น
มิราวดีกดเปิดอ่านด้วยแววตาสั่นไหว ตัวอักษรเพียงไม่กี่คำกลับทำให้หัวใจกลับเต้นระส่ำอย่างที่ไม่เคยเป็น
หญิงสาวอ่านเเละกดปิดหน้าจอด้วยหัวใจที่ว้าวุ่น ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนที่ไม่ได้ตอบข้อความกลับเพราะงานยุ่งมากจนแทบไม่มีเวลาคิดเรื่องส่วนตัวเลยสักนิด กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ทำงานจนเลยเวลาเลิกงานมาแล้ว มิราวดีเพิ่งรู้สึกตัวว่าพระอาทิตย์ตกดินพร้อมกับเสียงท้องร้อง เพราะไม่ได้รับประทานอาหารมื้อกลางวัน รายงานที่ต้องส่งให้ลูกค้าเสร็จทันเวลาอย่างพอดี เธอไม่รอช้าส่งไฟล์เอกสารทั้งหมดให้ทางอีเมล
หลังจากจัดการงานทั้งหมดเสร็จแล้ว มิราวดีก็ขับรถกลับบ้านทันทีด้วยความหิว ทีแรกตั้งใจจะแวะซื้อมื้อเย็นไปเลย แต่ทว่าช่วงสิ้นเดือนมักมีรถมากกว่าปกติ เธอจึงเลือกขับรถตรงกลับบ้านเพราะอยากรีบไปพักผ่อน
ทันทีที่ถึงคฤหาสน์ พ่อบ้านมงคลออกมารอรับ เธอรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยเพราะปกติเขาไม่เคยออกมารอรับ
“เดี๋ยวตรงนี้ฉันเอาไปเก็บเองก็ได้ค่ะ” มิราวดีพูดอย่างเกรงใจ
“นายท่านรอรับประทานอาหารมื้อค่ำพร้อมนายหญิงอยู่ครับ เดี๋ยวผมจะนำกระเป๋าขึ้นไปวางไว้ที่ห้องให้เองครับ”
“รบกวนด้วยนะคะ”
มิราวดีมีท่าทางลังเลใจแต่สุดท้ายก็ยอมยื่นของทั้งหมดให้คุณพ่อบ้านแต่โดยดี นั่นเพราะชายหนุ่มก็ยังรอเธอรับประทานอาหารด้วยกัน ซึ่งปกติแล้วถ้าไม่ใช่วันหยุดแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะนั่งกินมื้อค่ำด้วยกัน และเธอเองก็ชินกับเรื่องนี้เสียแล้ว
หญิงสาวเดินเข้ามาที่ห้องอาหาร ส่งสายตามองชายหนุ่มที่นั่งรออยู่ก่อนแล้ว เธอนั่งลงที่ประจำพลางสังเกตสีหน้าเขาด้วยความประหม่า
“ทำไมวันนี้อยู่ ๆ ถึงรอฉันคะ”
“ผมมีเรื่องอยากคุยกับคุณ”
รชตอ้างทั้งที่ก็รู้สึกขุ่นเคืองใจเพราะว่าหากหญิงสาวมารับประทานมื้อค่ำเพียงคนเดียวแล้วเจ้าไก่บ้านั่นมาพอดี เเค่คิดก็รู้สึกหงุดหงิดจึงให้พ่อบ้านมงคลจัดที่รับประทานอาหารใหม่ไว้สำหรับท่านเทพเลย
“มีเรื่องที่จะคุยเหรอคะ” มิราวดีถามในขณะที่พ่อบ้านมงคลเดินเข้ามาจัดเตรียมอาหารให้ เธอยิ้มขอบคุณก่อนที่เขาจะเดินออกไปจากห้องอาหารปล่อยให้เจ้านายสนทนากันเพียงลำพัง
“กินเถอะ คุณคงหิวแล้ว”
โปรดติดตามตอนต่อไป...
ขอบคุณที่ติดตามนะคะ กลับมาแล้ววว หลังจากที่หลายไปหลานวันเพราะต้องส่งงานเค้าโรงพิมพ์ แถม ! พิมพ์มาเเล้วไม่พอ เลยต้องพิมพ์เพิ่ม เเพ็กยาว ๆ วนไปค่าาา อิอิ ตอนนี้ก็มีพอให้ทุกคนมาเปย์เเล้วนะ !
ฝากสนับสนุนเป็นค่าขนมให้นักเขียนด้วยนะคะ ขอบคุณทุก ๆ คนที่ติดตามค่ะ