ถ้าให้นั่งนึกย้อนกลับไปในสมัยเรียนล่ะก็ .. นอกจากเพื่อนๆ และการบ้านที่ทำบ้างไม่ทำบ้างแล้ว อีกอย่างที่ฉันจำได้และคิดว่ามันทำให้อมยิ้มได้ไม่น้อย ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องความรักกุ๊กกิ๊กในสมัยเรียน แหนะ ! ทุกคนรู้ เพราะทุกคนเคยมี 555555 รักครั้งแรกของใครหลายๆ คนก็เกิดขึ้นตอนสมัยเรียนนี่แหละ รวมถึงฉันด้วย (ใช่ค่ะ คุณไม่ได้แก่แดดเพียงคนเดียว) และถ้าจะให้เทียบกับความรักในปัจจุบันแล้ว ฉันว่ารักแรกในช่วงวัยเรียนเนี้ยมีเสน่ห์ที่สุดแล้ว มันดูเป็นความรักที่เรียบง่าย เป็นความรักที่ไม่อาศัยปัจจัยอย่างอื่นเลย นอกจากหัวใจ (แหวะ) ลองคิดดูสิ พอโตมา มีความรักแต่ละทีต้องอาศัยปัจจัยตั้งหลายอย่าง นอกจากความรักแล้ว สิ่งที่คนสองคนต้องคิดคือ จะคบกันรอดไหม นิสัยใจคอเป็นอย่างไร ฐานะ ครอบครัวล่ะ สิ่งเหล่านี้มันมารความรักชัดๆ นั่นแหละเพราะมันเป็นความรักที่จริงจังขึ้นไง ความรักตอนสมัยเรียนฉันแทบไม่ได้คิดอะไรเลย นอกจากความชอบที่อยู่ๆ ก็ดันเกิดขึ้นมาทำให้ใจเต้นโครมคราม ความรักที่ไม่ต้องมองปัจจัยใดเลย นี่แหละที่ฉันบอกว่ามันมีเสน่ห์ เพราะมันเรียบง่ายและไม่ซับซ้อนยังไงล่ะ ..

รูปภาพ:

รักครั้งแรกของฉันเกิดขึ้นตอนที่ฉันอยู่ประถม 4 (ไวไฟดีจริงๆ) ถ้าถามว่ามันเกิดขึ้นมาได้ยังไงนั้น.. มันก็แค่มาจากการที่มีเด็กชายคนนึงเดินเข้ามาขอยืมสีไม้ฉัน อืม แค่นั้นแหละ..​แค่นั้นจริงๆ ง่ายไหมล่ะ แค่คำว่า "ขอยืมสีไม้หน่อยสิ เราไม่ทำหักหรอก" แล้วก็ยิ้มหนึ่งที มันก็ทำให้ฉันเห็นภาพสโลว์แล้วก็ตกหลุมรักเขาได้เลย แล้วที่น่าตลกไปกว่านั้นคืออะไรรู้ไหม? ของขวัญชิ้นแรกที่ฉันให้เขาคือ "ยาสีฟันเด็กโคโดโมะรสสตอเบอร์รี่" เพราะวันนั้นฉันดันทำดอกไม้ที่ขโมยมาจากสวนคุณปู่หายระหว่างทางเดินมาโรงเรียน สิ่งที่คิดได้ตอนนั้นคือต้องมีอะไรสักอย่างให้เขา ฉันเดินตรงเข้าร้านสหกรณ์พร้อมมองหาของที่แพงที่สุดเท่าที่ฉันจะซื้อได้ด้วยเงินสามสิบบาท และแน่นอนผลลัพธ์ก็คือยาสีฟันกล่องละยี่สิบห้าบาทกล่องนั้นนั่นแหละ ..

รูปภาพ:

หลังจากที่วันนั้นฉันได้ให้ของขวัญสุดแหวกแนวไปแล้ว อยู่ๆ เขาก็ตกลงปลงใจเป็นแฟนกับฉันซะงั้น (ง่ายอีกละ) พอเป็นแฟนกัน ฉันก็ศึกษาถึงขั้นตอนของความรักอีกรูปแบบหนึ่งนั้นก็คือ "กลอนรักสื่อใจ" เมื่อก่อนนิตยสารมักจะมีคอลัมน์รวมกลอนความรักจากทางบ้าน ฉันก็อาศัยหัวคิดของคนอื่นนั้นแหละ ลอกกลอนส่งหากัน (น่ารักซะไม่มี) โดยวิธีการส่งก็ไม่มีอะไรยุ่งยากอีกเช่นกัน นั่นก็คือการฝากเพื่อนส่งต่อไปให้ และแน่นอนกว่าจะถึงมือเขาคนนั้น เพื่อนทั้งชั้นก็รู้กันหมดแล้ว

รูปภาพ:รูปภาพ:

เชื่อไหมว่าฉันยังเก็บจดหมายพวกนั้นไว้จนถึงทุกวันนี้ นานๆทีเปิดออกมาอ่านก็เล่นเอาอกสั่นขวัญหายอยู่เหมือนกัน ไม่เข้าใจว่าเมื่อก่อนกล้าเขียนไปได้ยังไง มีอยู่กลอนนึงที่ฉันจำได้แม่นเลยคือ "คิดถึงเธอจังเลยนะคนดี ห่างไกลกันอย่างนี้มันเหงาๆ อยากใกล้ข้างๆเหมือนวันเก่า ให้สองเราได้คุยความในใจ" อิ้วววววววว มาร่วมขนลุกไปด้วยกัน 55555555555555

รูปภาพ:

แน่นอนสเต็ปต่อมาของคนเป็นแฟนก็ต้องโทรหากันน่ะสิ เมื่อก่อนยังไม่มีสมาร์โฟนหรือโซเชี่ยลมีเดียที่จะพิมพ์ส่งหากันได้สะดวกเหมือนทุกวันนี้ จะมีก็แต่โทรศัพท์บ้านที่ต้องคอยแอบคุยกันตอนที่คนในบ้านเข้านอนกันหมดแล้ว

รูปภาพ:

และแล้ว.. ความรักของฉันที่ดำเนินอย่างงุ้งงิ้งมาเป็นเวลา 2 ปี ก็มาถึงคราวร้างลา ตอนจบประถม 6 ต่างคนต่างต้องแยกย้ายไปเรียนกันคนละที่ ฉันสอบได้โรงเรียนมัธยมหญิงล้วน ส่วนเขาก็ต้องไปเรียนอีกโรงเรียนนึง ซึ่งแม้กระทั่งตอนจบของรักแรกฉันมันก็ดูง่ายเสียนี่กระไร ฉันทำเพียงแค่โบกมือลาแล้วรีบจูงมือแม่กลับบ้านเพราะหิวข้าว ...ช่างเป็นตอนจบของความรักที่แสนจะเรียบง่าย ถึงแม้ตอนนี้เขาจะเปลี่ยนสถานะจากเพื่อนชายมาเป็นเพื่อนสาวแล้ว (ใช่ค่ะ.. อ่านไม่ผิดหรอก เพื่อนสาว) เขาก็ยังทำหน้าที่ได้ดีในฐานะเพื่อนที่รู้จักกันมานานคนนึง

สิ่งที่อยากจะบอกคือ เมื่อโตขึ้น เราอาจกำลังบวกเอาปัจจัยความยุ่งยากต่างๆ มาเป็นตัววัดความสุขที่อาจเกิดขึ้น อย่างนั้นมันจะทำให้ความรักดูไม่น่าจะรักเอาซะเลย  ลองย้อนกลับไปนึกถึงตอนที่เคยมีรักครั้งแรก รักที่ไม่เคยหวังอื่นใด นอกจากความชุ่มชื้นหัวใจที่ได้จากมัน เพราะอย่าลืมว่าความรักเกิดจากความจริงใจที่มีให้กัน ไม่ใช่ปัจจัยทางสังคมที่ตีกรอบให้ความสุขนั้นแคบลง