อยากแต่งหน้าแต่ไม่รู้ว่าจะต้องแต่งแบบ "คูลโทน" หรือ "วอร์มโทน" ดี? ทุกคนเคยเจอปัญหานี้กันไหมคะ คือไม่รู้จะแต่งหน้าในโทนไหนดีให้เหมาะกับตัวเอง เราชอบโทนนึงแต่มีคนบอกว่าโทนที่เราชอบไม่เหมาะกับโทนสีผิวเรา เอ๊ะ แบบนี้ทำยังไงดีน้อ... งั้นเอาอย่างนี้ค่าชาวซิสและนักอ่านทุกคน เราขอชวนทุกคนมารู้จักเรื่อง คูลโทน VS วอร์มโทน นี้กันตั้งแต่เรื่องของ Undertone ไปจนวิธีทดสอบเลยว่าเราเหมาะกับคูลโทนหรือวอร์มโทนมากกว่ากัน เอาให้แบบกระจ่างที่สุดไปเลย พร้อมยังเอ่ย? ถ้าพร้อมแล้วก็มารู้จักเรื่องอันเดอร์โทนกันก่อนเลย Let's go!


♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥


Undertone คืออะไร?

รูปภาพ:

เบสิคการเริ่มแต่งหน้าที่ต้องได้ยินบ่อย ๆ มาก ๆ นั่นก็คือเรื่องของ Undertone หรือโทนสีผิวของเรานะคะ โดยหลัก ๆ เขาจะแบ่งออกเป็น 3 โทนสีผิวคือ Cool Tone (โทนอมชมพู), Warm Tone (โทนเหลือง) และ Neutral Tone (โทนธรรมชาติ) แต่ละโทนสีผิวก็สามารถสังเกตแบบคร่าว ๆ ด้วยการมองเส้นเลือดตรงข้อมือ/บนหน้านะคะ ถ้าเป็นโทนสีน้ำเงินเข้ม ๆ กับสีม่วง ๆ หน่อย อันนี้จะเป็นโทนอมชมพูหรือคูลโทน ถ้าเป็นโทนสีเขียว ๆ เข้ม ๆ หน่อยจะเป็นโทนเหลืองหรือวอร์มโทน และถ้าเป็นแนวผสม ๆ ทั้งเขียวทั้งน้ำเงินแสดงว่าเป็นโทนธรรมชาติ ซึ่ง Undertone พวกนี้จะบ่งบอกได้ว่าเราควรแต่งหน้าไปในโทนไหนบ้างนั่นเอง แล้วก็ขอเน้นย้ำว่าความเข้ม - สว่างของสีผิวไม่ใช่ตัวตัดสินว่าผิวเป็นโทนไหนนะเออ ผิวเข้มอาจจะอันเดอร์โทนเป็นอมชมพูก็ได้ อย่าคิดไปก่อนว่าจะเป็นโทนเหลืองเน้อ


คูลโทน และ วอร์มโทนคืออะไร?

รูปภาพ:

คูลโทน (Cool Tone) และวอร์มโทน (Warm Tone) ก็คือเฉดสีเครื่องสำอางที่แต่งบนหน้าเรานั่นเองจ้า พวกอายแชโดว์ มาสคาร่า อายไลเนอร์ ลิปสติก บลัชออน คอนทัวร์ต่าง ๆ อะไรแบบนี้นะคะ ถ้าให้แยกแบบเข้าใจง่าย ๆ ก็เหมือนวงล้อสีในวิชาศิลปินนั่นแหละค่ะ มีโทนร้อน - โทนเย็น เครื่องสำอางก็แบ่งแบบนั้นเหมือนกัน พวกโทนเย็นก็จะเป็นแบบโทนแดง ชมพู ฟ้า ม่วง เขียว ส่วนโทนร้อนก็จะเป็นแดง ส้ม น้ำตาล เหลือง แต่จริง ๆ ก็ยังมีอีกโทนคือโทนธรรมชาติ ๆ สีผสม ๆ กันของสองโทน แบบโทนพีช (ชมพูอมส้ม) โทนคอรัล (ส้มอมชมพู) ด้วยนะคะ


แล้ว Undertone ไหนควรแต่งแบบไหนมากกว่ากัน?

รูปภาพ:

เมื่อเรารู้เรื่องของ Undertone แล้วว่าโทนสีผิวของเราเป็นแบบไหน เราก็จะมาเริ่มตัดสินใจแล้วว่าควรแต่งคูลโทนหรือวอร์มโทน โดยทั่วไปใครที่มีผิวแบบโทนอมชมพูก็มักจะแต่งโทนคูลกันไป ส่วนใครที่มีผิวโทนเหลืองก็มักจะแต่งโทนวอร์มและใครที่มีผิวเป็นโทนธรรมชาติก็จะสามารถใช้ได้ทั้ง 2 โทนรวมไปถึงโทนที่ผสม ๆ กันอะไรแบบนี้นะคะ แต่ทีนี้มันก็เกิดคำถามในใจอีกเพราะว่าช่วงนี้การแต่งหน้าคูลโทนมันกำลังมาแรงมาก ในฐานะชาวผิวติดเหลืองก็อยากจะแก้มอมชมพูน่ารัก ๆ บ้างอะไรบ้าง เบื่อแล้วแก้มส้ม ๆ เราก็อยากจะบอกว่าอย่าไปซีเรียสกับ Undertone เยอะเกินไป รวมไปถึง Personal Color ด้วยนะคะ คืออย่าไปยึดติดว่ามันเป็นแบบนั้น เราต้องแต่งแบบนี้เท่านั้น เราอยากแต่งอะไรแต่งเลยค่ะ ขอแค่มั่นใจก็พอ ลองผิดลองถูกกันไป เชื่อว่ายังไงสักวันเราก็ต้องเจอโทนการแต่งหน้าที่เหมาะกับตัวเองนะคะ จะแต่งตาวอร์ม ปากคูลโทนก็ได้ ก็เรามั่นใจ อย่าไปสนคำพูดใครค่ะ เชิ่ดไว้ชาวซิส!


มีวิธีทดสอบง่าย ๆ ไหมว่าเราเหมาะกับคูลโทนหรือวอร์มโทนมากกว่ากัน?

รูปภาพ:

แต่สำหรับใครที่รู้สึกว่าก็อยากได้แนวทางอยู่ดีว่าแต่งแบบคูลหรือวอร์มดีกว่ากันหรือแบบว่าจะหาตัวเองยังไงว่าแต่งแบบไหนแล้วเข้ากับผิว เข้ากับตัวเอง เราแนะนำวิธีที่ง่ายที่สุดและไม่ต้องเสียเงินอะไรเยอะแยะเลย ก็คือการเอาเสื้อผ้าที่เรามีมาทาบบนตัวค่ะ ทาบโทนส้ม เหลือง น้ำตาลแล้วรู้สึกขับผิวแนะนำให้ไปวอร์มโทนได้เลย ส่วนใครทาบโทนฟ้า ชมพู ม่วงแล้วไบร์ทมากก็ไปคูลโทนได้เลยนะคะ หรือเสื้อโทนชมพูพีช ๆ แล้วเข้ามากอาจจะไปทางสายกลางแบบโทนธรรมชาติก่อนก็ได้นะคะ แล้วค่อย ๆ ปรับไปตามความชอบหรือเทรนด์ที่สนใจอีกที แบบนี้ก็น่าจะโอเคอยู่น้า~


ทำไมคนอื่นทาแล้วชมพู แต่ทำไมเราทาแล้วติดส้มล่ะ?

รูปภาพ:

ขอเพิ่มเติมอีกหนึ่งปัญหาที่เราคิดว่าหลายคนต้องเจอแน่ ๆ คือโอเคตัดสินใจละว่าฉันผิวติดเหลืองแต่ฉันจะแต่งคูลโทน ชอบโทนชมพูบาร์บี้ ๆ มาก แต่พอซื้อเครื่องสำอางโทนนี้มาแล้วแต่งลงบนหน้าปุ๊บ อ้าว... ทำไมมันติดส้มเนี่ย? ไหนเขาว่าเป็นโทนสีคูลไง ต้องบอกแบบนี้ค่ะว่าผิวคนเราไม่ใช่กระดาษเอสี่ที่มีความขาวเป็นค่ากลางปัดสีอะไรก็เป็นสีนั้น 100% ผิวเรามันมีอันเดอร์โทนกับความเข้ม - สว่างของผิวอยู่ การที่เราแต่งหน้าหรือปาดเครื่องสำอางลงบนผิวแล้วมันไม่เหมือนที่เห็นในผลิตภัณฑ์ก็เพราะพื้นสีผิวของเราด้วย แนะนำสำหรับชาวผิววอร์มโทนแต่อยากได้งานแก้มอมชมพูให้ใช้โทนสีม่วงแทนนะคะ จะปัดออกมาได้โทนชมพูพอดีเลยเพราะบลัชสีม่วงจะหักล้างสีเหลืองในผิวเรานั่นเองจ้า


♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥


เป็นยังไงกันบ้างคะ ทุกคนได้รู้จักเรื่องของการแต่งหน้า คูลโทน VS วอร์มโทน ไปแล้ว กระจ่างมากขึ้นเลยใช่ไหมล่า~ รู้แบบนี้แล้วทุกคนก็ลองเอาวิธีที่เราแนะนำไปปรับใช้กับตัวเองดูนะคะเพราะอย่างที่บอกไปแหละค่ะ เอาที่ตัวเราชอบหรือแฮปปี้จะดีที่สุด อย่าไปซีเรียสหรือยึดติดกับมันมากไปว่า Undertone แบบนี้ต้องแต่งแบบนี้เท่านั้น การแต่งหน้ามันก็คือศิลปะแบบนึง ไม่ควรมีขอบเขตมาจำกัดว่าแต่งแบบไหน ดังนั้นปล่อยใจค่ะ อยากแต่งอะไรแต่งไปเลยขอแค่ทุกคนมั่นใจก็พอ ส่วนตอนนี้ทางเราก็หมดหน้าที่แล้วค่าต้องลาทุกคนไปก่อน แล้วกลับมาพบกันใหม่ในบทความหน้านะคะ บ๊ายบาย


บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ