1. SistaCafe
  2. ทฤษฎี 3 เดือน คืออะไร ทำไมหลายคนมักหยิบมาใช้กับเรื่องความรัก ?

ฮัลโหลลลล~ สวัสดีค่าชาวซิสแล้วก็สวัสดีนักอ่านท่านอื่น ๆ ที่แวะเวียนมาอ่านบทความนี้กันด้วยนะคะ ไหน ๆ มีใครเคยได้ยินเรื่องของ " ทฤษฎี 3 เดือน " กันบ้างไหมคะ เชื่อว่าบางคนอาจจะเคยได้ยินมาบ้างแต่บางคนก็ยังแอบงงอยู่ว่ามันคืออะไรกันน้อ? ซึ่งคนที่เคยได้ยินมาอาจจะได้ยินมาเกี่ยวกับเรื่องของความรักใช่ไหมละคะ หลาย ๆ คนชอบหยิบเจ้าทฤษฎีนี้มาพูดสัมพันธ์กับเรื่องรัก ๆ ตลอด แต่มันใช้ได้จริง ๆ เหรอ มันเวิร์กจริง ๆ ไหม แล้วปรับใช้กับอะไรได้บ้าง ถ้าอยากรู้แล้วละก็... งั้นทุกคนมาเริ่มทำความรู้จักเจ้า "ทฤษฎี 3 เดือน" กันเล้ยยยย!


♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥


ทฤษฎี 3 เดือน คืออะไร ?

ทฤษฎี 3 เดือนก็คือแนวคิดที่เชื่อกันว่าช่วงเวลา 3 เดือนแรกจะเป็นช่วงเวลาของการเริ่มต้นทำอะไรใหม่ ๆ และมักจะเป็นช่วงเวลาที่ผ่านพ้นไปได้ยากที่สุด เนื่องจากช่วง 3 เดือนแรกทุกคนจะอยู่ในช่วงปรับตัว ทำให้อะไรหลาย ๆ ยังไม่เห็นผลชัดเจนหรือยังไม่เห็นผลสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน ความรัก การเรียน รวมไปถึงธุรกิจอีกด้วย ซึ่งถ้าผ่านพ้น 3 เดือนไปได้ก็จะถือว่ามีโอกาสที่จะเห็นภาพชัดเจนขึ้นหรือเห็นผลสำเร็จนั่นเองค่ะ เพื่อให้เข้าใจมากขึ้นลองฟังคุณเขื่อนพูดสั้น ๆ เพิ่มเติมได้น้า


• • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • •


ทฤษฎี 3 เดือน ใช้กับเรื่องอะไรได้บ้าง ?

จริง ๆ ต้องบอกก่อนว่ามันขึ้นอยู่กับเราในการปรับใช้เลยค่ะ เพราะมันไม่ได้เป็นทฤษฎีที่มีกฎตายตัวหรือบังคับอะไร แต่ถ้าจะให้แนะนำเลยก็...


ใช้กับเรื่อง 'ความรัก'

หลาย ๆ คนหยิบเจ้าทฤษฎี 3 เดือนมาใช้พูดถึงเรื่องความรักบ่อย ๆ เพราะเขาว่ากันว่าช่วงเวลา 3 เดือนมันคือช่วงเวลาโปรโมชันและการปรับตัว ถ้าเรารักใคร คุยกับใครประมาณ 3 เดือนแล้วเราแฮปปี้ มีความสุข อยู่กับเขาแล้วเป็นตัวเองโดยไม่ต้องฝืน เขาก็ไม่ต้องฝืน นั่นก็อาจจะแปลได้ว่าความสัมพันธ์ครั้งนี้มันอาจจะไปได้ยาวมากกว่าที่คิด แต่ถ้าพ้นจาก 3 เดือนหรือในช่วง 3 เดือนนั้นไม่มีความสุขในการอยู่ด้วยกันเลย ก็แปลได้ว่าความรักครั้งนี้อาจจะมันไม่เวิร์กได้เหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่น คุณดา เอ็นโดรฟิน นักร้องสาวเสียงมีเสน่ห์ก็ได้พูดในรายการคลับฟรายเดย์โชว์ว่าถ้าเธอคบใครหรือคุยกับใครในช่วง 3 เดือนแล้วไม่เวิร์ก เธอก็จะเลือกจบความสัมพันธ์ทันที เพราะเธอคิดว่า 3 เดือนคือช่วงโปรโมชันที่จะเห็นเคมีในตัวเราและเขา ถ้า 3 เดือนเวิร์กยังไงก็ไปต่อไหวแน่นอน อย่างเธอกับสามีของเธอก็ใช้วิธีเหมือนกัน 3 เดือนเวิร์กก็คบต่อจนได้แต่งงานนั่นเอง


ใช้กับเรื่อง 'การเรียนรู้สิ่งที่สนใจ'

เรื่องนี้ขอเหมารวมทั้งการเรียนหนังสือและการเรียนรู้สิ่งที่สนใจเลยนะคะ เพราะว่าการเรียนรู้ไม่มีสิ้นสุด วัยไหน เพศไหนก็สามารถเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้ตลอดเวลา แต่การจะเรียนรู้ในด้านการตั้งใจเรียน เรียนรู้เนื้อหาวิชานั้น ๆ แน่นอนว่าถ้าอ่านแค่ก่อนสอบไม่กี่วันมันก็อาจจะไม่ได้สามารถทำให้เราจดจำหรือรู้ว่าเราชอบมันได้มากขนาดนั้น เราจะต้องใช้เวลาในการอ่านบ่อย ๆ ซึมซับเรื่อย ๆ อยู่กับมันไป และการหยิบทฤษฎี 3 เดือนมาใช้กับสิ่งนี้ก็จะทำให้เราเข้าใจเนื้อหาการเรียนมากขึ้น จดจำมันได้แม่นยำ แล้วก็อาจจะทำให้ได้รู้ว่าเราชอบหรือไม่ชอบวิชานี้ได้เลย ส่วนเรื่องการเรียนรู้สิ่งที่สนใจ อันนี้ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นเนื้อหาที่จริงจัง อาจจะเป็นความชอบอื่น ๆ ก็ได้ เช่น ชอบการ์ตูน ชอบดนตรี ชอบการเต้น ชอบอ่านนิยาย ชอบวาดรูป ฯลฯ ถ้าเราชอบ เราตั้งใจศึกษา ตั้งใจเรียนรู้กับสิ่ง ๆ นั้นไปเรื่อย ๆ จากสิ่งที่สนใจ ถ้าใช้เวลาแบบทฤษฎี 3 เดือนก็อาจจะทำให้เกิดความรู้สึกชอบขึ้นมาก็ได้นะคะ


ใช้กับเรื่อง 'การสร้างนิสัย'

จริง ๆ แล้ว การสร้างนิสัยเนี่ยมีวิจัย (โดยฟิลิปปา แลลลี นักวิจัยด้านสุขภาพที่ University College London) ออกมาบอกว่าการเริ่มต้นทำอะไรสักอย่างประมาณ 18 วันแรกจะเกิดความเคยชิน แต่ถ้าอยากให้เป็นนิสัยและคุ้นชินมากขึ้นก็ต้องทำไปเรื่อย ๆ ต่อเนื่อง 66 วัน แต่ถ้าจะให้กลายเป็นนิสัยของเราจริง ๆ ก็จะต้องประมาณ 254 วันนะคะ แต่การใช้ทฤษฎี 3 เดือนก็เป็นการตั้งเป้าหมายนึงเพื่อสร้างนิสัยได้เหมือนกัน เพราะว่าถ้าผ่านพ้นช่วง 3 เดือนแรกไปได้ นิสัยนั้น ๆ ที่เราอยากจะสร้างหรืออยากจะเปลี่ยนแปลงมันก็จะทำได้ง่ายขึ้นหรือคุ้นชินขึ้นนั่นเอง ยกตัวอย่างเช่น อยากจะเป็นคนพูดเพราะ ไม่พูดคำหยาบคาย ก็พยายามเปลี่ยนการพูดจา ลดคำหยาบไปเรื่อย ๆ ช่วง 3 เดือนแรกก็จะยากหน่อยแต่ถ้าผ่านไปได้ปุ๊บ เราก็จะทำมันได้ง่ายขึ้นจนวันนึงหรือเมื่อครบ 254 วันก็จะกลายเป็นนิสัยจนเราเป็นคนที่พูดเพราะ ไม่พูดคำหยาบได้ในที่สุด


ใช้กับเรื่อง 'การทำงาน'

แน่นอนว่าถ้าเราได้เริ่มทำงานใหม่ ๆ ไม่ว่าจะย้ายงานหรือเพิ่งจบใหม่แล้วกำลังจะเข้าทำงาน ส่วนใหญ่จะต้องเจอเกณฑ์การผ่านโปรฯ (Probation Period) หรือช่วงทดลองงานประมาณ 3-6 เดือนใช่ไหมละคะ ซึ่งคล้ายกับเรื่องของทฤษฎี 3 เดือนเลย นั่นก็เป็นเพราะว่ามันเป็นช่วงเวลาในปรับตัวที่กำลังดี ไม่มากและไม่น้อยเกินไป ทำให้เราได้รู้จักงานที่ทำมากขึ้น รู้จักเพื่อนร่วมงานมากขึ้น ได้ปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม เนื้อหางาน การทำงานและเพื่อน ๆ ในที่ทำงานได้มากขึ้น ถ้าเราผ่านพ้นช่วง 3 เดือนแรกไปได้แล้วยังมีความสุขที่จะทำต่อแม้มันจะยากแค่ไหน นั่นก็อาจจะแปลได้ว่าเราแฮปปี้หรืออาจจะเรียกได้ว่าชอบการทำงานนี้นั่นเอง


ใช้กับเรื่อง 'การเปลี่ยนแปลงชีวิต'

การเปลี่ยนแปลงชีวิตเนี่ยค่อนข้างกว้างเลยค่ะ ไม่ว่าจะเปลี่ยนที่อยู่อาศัย เปลี่ยนที่ทำงาน ลดน้ำหนัก ออกกำลังกาย แต่งงาน ฯลฯ และแน่นอนว่าเราสามารถหยิบทฤษฎี 3 เดือนมาปรับใช้ได้นะคะ คล้ายกับการสร้างนิสัยเลยค่ะ เพราะมันก็คือการสร้างความเคยชินและจะต้องผ่านพ้นช่วงที่ยังไม่เคยชิน ช่วงปรับตัวนี้ไปให้ได้ อย่างการเปลี่ยนที่อยู่อาศัย บางคนต้องย้ายไปทำงานต่างจังหวัด บางคนย้ายไปทำงานต่างประเทศ แน่นอนว่าช่วงแรก ๆ หลายคนอาจจะยังไม่คุ้นชิน ยังปรับตัวไม่ได้ แต่เมื่อเราอดทนจนผ่านช่วง 3 เดือนไปได้ ก็อาจจะแปลได้ว่าเราเอนจอยที่จะอยู่ที่นี่ เอนจอยกับการเปลี่ยนแปลงนี้นั่นเองนะคะ


• • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • •


แล้วทฤษฎี 3 เดือน ใช้ได้จริงไหม ?

ก็ต้องบอกกันตามตรงว่าทฤษฎี 3 เดือนยังไม่มีวิจัยที่ไหนที่ทำออกมาแล้วบอกว่ามันทำได้จริง ๆ นะ น่าเชื่อถือนะ แต่มันเป็นสิ่งที่คนพูดต่อ ๆ กันมาว่าเขาใช้ทฤษฎี 3 เดือนกับเรื่องนั้นเรื่องนี้แล้วมันสามารถทำได้จริง ๆ หลาย ๆ คนก็เลยหยิบมาทำตามไปเรื่อย ๆ ดังนั้นเราก็ขอพูดให้เข้าใจง่าย ๆ เลยก็คือกับบางเรื่อง กับบางสิ่งเราอาจจะหยิบเจ้าทฤษฎี 3 เดือนมาปรับใช้ได้หรือตั้งเป็นเป้าหมายสั้น ๆ ในการทำสิ่งต่าง ๆ ได้ เช่น การสร้างนิสัย การเปลี่ยนแปลงตัวเอง เปลี่ยนแปลงชีวิต การเรียน ฯลฯ แต่กับบางเรื่องเราอาจจะต้องใช้วิจารณญาณเข้ามาร่วมด้วยในการตัดสินใจ เช่น ความรัก ความสัมพันธ์ การทำงาน การเริ่มทำธุรกิจ การเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ฯลฯ มันอาจจะไม่สามารถใช้ช่วงเวลา 3 เดือนในการตัดสินได้ชัดเจนมากนัก แต่ก็อาจจะพอช่วยทำให้เราเข้าใจอะไรบางอย่างคร่าว ๆ ได้ เช่น การทำงาน เริ่มทำงานได้ 3 เดือน ก็รู้สึกว่าทำได้ แฮปปี้กับหลาย ๆ อย่างแต่ยังไม่มั่นใจว่าชอบ เราก็อาจจะลองทำต่อไปก่อนก็ได้ ไม่ได้แปลว่าครบ 3 เดือนปุ๊บงั้นลาออกเลยอะไรแบบนั้นนะคะ อยากให้ทุกคนใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจทำสิ่งต่าง ๆ เสมอนะคะ


• • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • •


สรุปเราควรให้เวลาตัวเองในแต่ละเรื่องนานแค่ไหน ต้องทำยังไงให้เวิร์ก ?

ทุกอย่างมันขึ้นกับตัวบุคคล ทั้งสภาพร่างกายและจิตใจ รวมไปถึงปัจจัยแวดล้อมด้วยว่าเราจะให้เวลาตัวเองในแต่ละเรื่องนานแค่ไหน บางคนอาจจะให้เวลาตัวเองในการเปลี่ยนนิสัยแค่ 3 เดือนก็เห็นการเปลี่ยนแปลงแล้วเพราะตัวเขาตั้งใจทำ จิตใจเขาแน่วแน่ แถมสภาพแวดล้อมก็เอื้อให้ทำได้ แต่บางคน 3 เดือนก็ยังทำไม่ได้เลยก็มี เพราะจิตใจไม่แน่วแน่พอหรือสภาพแวดล้อมไม่เอื้อให้ทำ ยกตัวอย่างง่าย ๆ เลยก็คือ การลดน้ำหนัก บางคนทำงานไม่หนักมาก มีเวลาออกกำลังกาย มีเงินเดือนที่ดี สามารถเลือกซื้ออาหารที่ดีต่อสุขภาพมาก ๆ ได้ อีกทั้งรอบข้างก็มีแต่คนให้กำลังใจ ก็มีโอกาสที่เขาจะลดน้ำหนักได้ แต่กับบางคนต้องทำงานหนัก ไม่มีเงินทองมากมาย ไม่มีเวลาได้ออกไปไหน ก็ทำให้เขาไม่มีเวลาออกกำลังกายหรือซื้ออาหารที่ดีต่อสุขภาพ เนื่องจากอาหารที่ดีต่อสุขภาพราคาสูง หรือถ้าจะต้องมาทำกินเองก็ต้องใช้เวลา บางคนก็ไม่สะดวกทำ ดังนั้นมันไม่ได้มีอะไรตายตัวที่ตอบได้ชัดเจนว่าสิ่งนี้ใช้เวลาเท่านี้ สิ่งนั้นใช้เวลาเท่านั้น ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับปัจจัยของแต่ละบุคคลเลยค่ะ

แต่ถ้าถามว่าแล้วแบบนี้จะทำยังไงให้เวิร์ก ทำให้เห็นผล มันไม่สามารถทำได้จริง ๆ เหรอ? ก็ต้องบอกว่ามันทำได้ค่ะ เพียงแต่ว่าอันดับแรกต้องมีใจจะทำก่อนเลย ไม่ว่ากับเรื่องอะไร ถ้าจิตใจเข้มแข็งแน่วแน่ก็สามารถทำได้แน่นอน ต่อมาก็อาจจะต้องดูในเรื่องของสภาพร่างกายเพราะบางสิ่งที่หลาย ๆ คนอยากปรับอาจจะมีเรื่องของร่างกายมาเกี่ยวข้อง เช่น ลดน้ำหนัก ออกกำลังกาย การทำงาน ฯลฯ และสิ่งสุดท้ายก็คือปัจจัยต่าง ๆ ทั้งสถานที่ บุคคลรอบตัว เวลา การใช้ชีวิตต่าง ๆ ถ้าปัจจัยต่าง ๆ เอื้อให้เราทำ ระยะเวลาประมาณ 3 เดือนตามทฤษฎีก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้และเวิร์กได้นั่นเองค่ะ


♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥


เป็นยังไงกันบ้างคะสำหรับ " ทฤษฎี 3 เดือน " ได้รู้จักและเข้าใจมันมากขึ้นแล้วใช่ม้า? ก็หวังว่าทุกคนจะได้รับข้อมูลและประโยชน์ไปปรับใช้กันนะคะ ถึงแม้ยังไม่ได้มีการวิจัยที่ออกมาว่ามันทำได้จริง แต่การลองปรับเปลี่ยนอะไรบางอย่างในช่วง 3 เดือน กับบางเรื่องก็เป็นการกระทำที่อาจจะไม่ได้เสียหายมากมายนัก ถ้าทำแล้วไม่เดือดร้อนตัวเอง ไม่เดือดร้อนใครก็ลองทำกันได้นะคะ เป็นการตั้งเป้่าหมายระยะสั้นที่ถือว่าระยะเวลากำลังดีเลยล่ะ ว่าแล้วเราก็ขอตัวไปตั้งเป้าหมายระยะสั้นตามทฤษฎี 3 เดือนบ้างดีกว่า ดูซิว่ามันจะเวิร์กไหม ถ้าใครทำแล้วเวิร์กก็ลองมารีวิวในซิสป้ายยากันได้นะคะ เผื่อเพื่อน ๆ ชาวซิสคนไหนแวะมาอ่านอาจจะได้กำลังใจดี ๆ ไปลองตั้งเป้าหมายทำตามก็ได้ ส่วนตอนนี้ลาไปก่อนแล้วค่า บ๊ายบาย :-D


ขอบคุณภาพปกจากเว็บไซต์ soompi.com ภาพประกอบบทความจากเว็บไซต์ soompi.com, koreaboo.com และข้อมูลจากเว็บไซต์ timesofindia.indiatimes.com, thairath.co.th

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


แนะนำบทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ!

เว็ปไซต์นี้ใช้คุกกี้

SistaCafe ให้ความสำคัญต่อข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน เพื่อการพัฒนาและปรับปรุงเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้โดยไม่มีการปรับตั้งค่าใดๆ แสดงว่าท่านยินยอมที่จะรับคุกกี้บนเว็บไซต์และนโยบายสิทธิส่วนบุคคลของเรา และ นโยบายการใช้คุกกี้

🔮 ดูดวงกับ SistaCafe ผ่าน Line Official !
รูปภาพสำหรับป๊อปอัพลอย:1