จะผ่านมากี่ปีก็ยังคงจึ้งกับ เทรนด์ผิวHealthy Skinที่เน้นงานผิว Light อิ่มน้ำ ดูสุขภาพดีแบบออนนี่เกาหลีเกาใจ ยิ่งเวลาเห็นหน้านางเอกซีรีส์ทีไรนะคืออิจฉามากกก อยากได้ผิวหน้าเริ่ดๆ แบบนั้นกับเค้าบ้าง แต่ถ้าจะให้ประโคมสกินแคร์ก็ดันใช้เวลานานเกินไป ไม่ทันใจ ไหนใครเป็นเหมือนกันบ้างงง?
ทางออกง่ายนิดเดียวค่ะซิส เพราะสมัยนี้หัตถการคือฮิตเวอร์ ยิ่งวงการบิวตี้เดี๋ยวนี้เค้าก็ไม่เคยหยุดที่จะพัฒนา อย่างล่าสุดมีเทคโนโลยี Skin Hydrator จากอเมริกาซึ่งใช้เทคโนโลยี Vycross ที่เป็นลิขสิทธิ์เฉพาะจากบริษัทผู้นำด้านนวัตกรรมความงามจากอเมริกามาใช้พัฒนาสารเติมเต็มงานผิว ความพิเศษของเค้าคือเนื้อเจลจะมีความเรียบเนียนสม่ำเสมอ สามารถกลืนเข้ากันกับเนื้อเยื่อเราได้ดี ทำให้ผลลัพธ์หลังการฉีดดูเป็นธรรมชาติสุดๆ เรียกว่าเป็นเทคโนโลยีที่มาเพื่อช่วยกอบกู้ปัญหาผิวเราแบบครอบคลุมหลายด้าน แอบกระซิบบอกว่างานนี้คนหน้าแห้งหน้าโทรมรับรองเลิฟแน่นอน จะเริ่ดแค่ไหน เดี๋ยวซิสเล่าให้ฟัง!
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
≡ อายุ 25 ก็เริ่มดูแลผิวหน้าได้แล้วนะ! ≡
พอเราอายุมากขึ้น อะไรหลายๆ อย่างก็เริ่มจะถดถอยลงไปไม่เว้นแม้แต่ความนุ่มแน่นของผิวที่ก็จะค่อยๆ เหี่ยวไปตามเวลาเช่นกัน ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะ
Hyaluronic Acid
ที่มีความสามารถในการช่วยเก็บกักความชุ่มชื้นให้แก่ผิวตามธรรมชาติ ทำให้ผิวเรามีความยืดหยุ่นมากขึ้น และเป็นสารสำคัญที่ร่างกายสามารถสร้างขึ้นเองได้ในชั้นผิวหนังแท้ ซึ่งจะเริ่มผลิตได้น้อยและช้าลงเมื่ออายุมากขึ้น
ซึ่งถ้าผิวขาด Hyaluronic Acid ก็จะส่งผลให้ผิวดูหมองคล้ำ แห้งกร้าน ขาดน้ำ สูญเสียความชุ่มชื้น และถ้าหากไม่รีบแก้ไข ปล่อยให้ผิวขาด Hyaluronic Acid มาก ๆ ก็จะเกิดริ้วรอย ร่องลึก และทำให้ผิวเราแก่เร็วขึ้นได้ด้วยนั่นเองจ้า
≡ สารเติมเต็มงานผิว ต่างจากสารเติมเต็มทั่วไป ควรเริ่มเมื่อไหร่? ≡
สารเติมเต็มจะถูกแบ่งออกเป็นหลากหลายชนิดด้วยกันเลยค่ะ ไม่ว่าจะเป็น HA (Hyaluronic Acid), Collagen จากสัตว์, Transplanted Fat หรือการฉีดไขมัน, Biosynthetic polymers เป็นกลุ่มของซิลิโคนเหลว แต่สารเติมเต็มชนิดเดียวที่ปลอดภัยที่สุดและผ่านการรับรอง คือ Hyaluronic Acid โดยองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (US FDA) ได้อนุมัติว่า Hyaluronic Acid เป็นสารที่มีความปลอดภัย และนิยมนำมาใช้ในวงการแพทย์และด้านความงาม
มาถึงตรงนี้สำหรับใครที่กำลังกลัวหน้าเหี่ยวเพราะขาด Hyaluronic Acid ในผิวไปก็ไม่ต้องกังวลแล้ว เพราะปัจจุบัน Hyaluronic Acid ถูกนำมาใช้หลากหลายรูปแบบเลย ไม่ว่าจะใช้เป็นส่วนผสมหลักของสกินแคร์ วิตามินสำหรับรับประทาน หรือถูกพัฒนาให้อยู่ในรูปแบบของสารเติมเต็มที่ใช้ Hyaluronic Acid เป็นส่วนประกอบหลัก
ซึ่งสารกรดไฮยาลูโรนิกในสารเติมเต็มจะถูกผลิตขึ้นเพื่อเลียนแบบสารกรดไฮยาลูโรนิกที่อยู่ในร่างกาย เพื่อใช้ทดแทนที่ร่างกายสูญเสียไป และนำมาใช้ปรับแก้ไขรูปหน้าให้สมส่วน ช่วยยกกระชับใบหน้า และไม่ใช่แค่เติมเต็มร่องลึกได้เท่านั้นนะ แต่เค้าก็ยังสามารถนำมาใช้ในการเพิ่มความชุ่มชื้นถึงผิวชั้นลึก เลยช่วยปรับสภาพผิวทำให้ผิวหน้ายืดหยุ่นมากขึ้น ดูเรียบเนียนขึ้น ริ้วรอยแลดูตื้นขึ้น ผิวกระชับขึ้น
หลายคนอาจจะมีคำถามว่าแล้วอายุเท่าไหร่ถึงจะควรฉีดล่ะ? คือปกติผิวของคนเราจะเริ่มเสื่อมตามวัยเมื่ออายุเกิน 20 ปี เพราะฉะนั้นเราก็สามารถเริ่มฉีดสารเติมเต็มได้ตั้งแต่ช่วงนั้นเลยค่ะ ยิ่ง 20 กลางๆ ยิ่งแนะนำเลย เรียกว่ากันไว้ก่อนแก่ เดี๋ยวจะกลายเป็นแก้ไม่ทันเอา!
≡ สารเติมเต็มไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด ≡
บอกเลยว่าการฉีดสารเติมเต็มดีกว่าการบำรุงผิวด้วยสกินแคร์ทั่วๆ ไป เพราะ เจ้า Hyaluronic acid เค้าจะเข้าไปแก้จุดที่มีปัญหาได้โดยตรง ช่วยให้ผิวเรากลับมาดูดี ดูสวยเหมือนเดิมแบบไม่ต้องรอนาน ซึ่งสารเติมเต็มก็จะมีหลายยี่ห้อที่นำเข้ามาจากประเทศต่างๆ และมีข้อดีข้อเสียต่างกันออกไปอย่างสารเติมเต็มงานผิวจากอเมริกาที่ถือเป็นสารเติมเต็มยอดนิยม เค้าก็จะมีความพิเศษตรงที่สามารถทำให้ผิวดูอิ่มน้ำ ฉ่ำลึก ชุ่มนานเพราะมีอควาพอรินที่ทำหน้าที่ควบคุมการไหลของน้ำทั้งภายในและระหว่างเซลล์ในผิวหนังชั้นลึกลงไป เลยช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นในชั้นผิวหนังได้ลึกขึ้นและนานขึ้น (Hydrate deeper longer with dual effect)เหมาะกับทุกสภาพผิว ไม่ว่าจะผิวแห้งหรือผิวมัน ฉีดครั้งเดียวแล้วเห็นผลลัพธ์ทันทีอยู่ได้ยาวนาน 9 เดือนสวยจบในครั้งเดียว ไม่ต้องต้องคอยไปทำซ้ำๆ ทุกเดือน
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
การทำงานของสารเติมเติมงานผิวจากอเมริกา จะมี 3 คุณสมบัติหลัก ๆ คือ
❶อิ่มน้ำ (Hydrate)มี Dual effect ที่ช่วยให้ผลลัพธ์แบบดับเบิ้ลx2 อย่างแรกเลยคือ ไฮยารูโรนิคแอซิด (HA) จะช่วยอุ้มน้ำและกักเก็บความชุ่มชื้นในชั้นผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างที่สองเพิ่มปริมาณ AQP-3 (อควาพอริน-3) ที่ทำหน้าที่เป็นเหมือนประตูนำพาโมเลกุลน้ำ และสารให้ความชุ่มชื้น โดยสามารถรับส่งโมเลกุลน้ำได้มากถึง 3,000 ล้านโมเลกุลต่อวินาที จึงช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นในชั้นผิวหนังได้ลึกขึ้นและนานขึ้น ทำให้ผิวมีความชุ่มชื้นจากผิวชั้นลึกสู่ผิวชั้นนอก บอกเลยว่าเหมาะมากกับคนหน้าแห้ง คนที่ทาครีมอะไรก็ไม่หายแห้ง หรือแต่งหน้าไม่ติด นอนดึกผิวโทรม เพราะเค้าจะช่วยให้ผิวหน้าเราดูอิ่มน้ำ ดูผิวสุขภาพดีมากขึ้น➋ ฉ่ำลึก (Deeper)ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นจากผิวชั้นลึก ทำให้ผิวเรียบเนียน ริ้วรอยแลดูตื้นขึ้น ทำให้ผิวมีคุณภาพดีจากภายในสู่ภายนอก➌ ชุ่มนาน (Longer)ช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นยาวนานถึง 9 เดือน หลังฉีดเพียงครั้งเดียวเท่านั้น
นอกจากนี้ยังมีจุดเด่นตรง Skin Hydrator สารเติมเต็มงานผิวจากอเมริกา ที่ต่างจาก Skin booster ตัวอื่นๆ เลยคือ เค้าจะช่วยยกกระชับใบหน้าหลังการฉีดได้อย่างเป็นธรรมชาติด้วยเทคโนโลยี Vycross ที่เป็นลิขสิทธิ์เฉพาะจากอเมริกา และเป็น Hyarulonic Acid งานผิวชนิดฉีดตัวแรกและเป็นเพียงตัวเดียวในตอนนี้ที่ได้รับการรับรองคุณภาพจาก องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (USFDA)ใครที่กลัวเจ็บหรือกลัวเข็ม ก็สามารถสบายใจได้เลย เพราะ Skin Hydrator สารเติมเต็มงานผิวจากอเมริกาตัวนี้ มีส่วนผสมของยาชา ทำให้ช่วยลดความเจ็บระหว่างการฉีดได้ด้วยน้าถึงแม้สารเติมเต็มอย่าง Hyaluronic Acid เค้าจะจัดว่าปลอดภัย เพราะถูกสร้างเลียนแบบสารที่มีอยู่ในร่างกายตามธรรมชาติ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเพื่อความปลอดภัยก็ควรใช้สารเติมเต็มที่ได้มาตรฐาน ผ่านการรับรอง ใช้ในปริมาณที่เหมาะสมและจำเป็นต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ที่มีประสบการณ์เท่านั้น
≡ ก่อน - หลัง ฉีดสารเติมเต็มงานผิวจากอเมริกา ≡
♡
ตัวอย่างผลลัพธ์หลังจากการฉีด Skin Hydrator สารเติมเต็มงานผิวจากอเมริกา หลังทำ ผิว Light กระจ่างใสขึ้น ผิวอิ่มฟู ชุ่มชื้นขึ้น ผิวดูเรียบเนียนขึ้น รูขุมขนดูเล็กลง
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
ประโคมอะไรหน้าก็ไม่ใสซักที บอกเลยว่านาทีนี้หัตถการคือคำตอบสุดท้าย! การเติมสารเติมเต็มเข้าผิว อย่างSkin Hydratorสารเติมเต็มงานผิวจากอเมริกาที่ซิสแนะนำไปวันนี้เค้ามาแรงแซงปัญหาผิวไปมาก จะผิวแห้ง ผิวโทรม รูขุมขนกว้างเค้าเก็บเรียบ แถมอยู่นานถึง 9 เดือน ไม่ต้องฉีดหลายครั้งให้เสียเวลาปลอดภัยทำแล้วสบายใจสุดๆ ใครที่อยากตื่นมาแล้วหน้าใส ฟีลฉ่ำๆ แบบ I woke up like this ต้องลอง ทำชาตินี้สวยชาตินี้เลยไม่ต้องรอนาน! เพื่อนๆ สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมกันได้ พกความมั่นใจแล้วพุ่งตรงไปลองทำที่คลินิกได้เลยค่ะซิส
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
เครดิตอ้างอิง
1. Nakab L et al. Plast Reconstr Surg Glob Open. 2020;8(3):e2723.
2. Papakonstantinou E et al. Dermato-Endocrinolog. 2012;4:253–8. HA
3. Niforos F et al. Clin Cosmet Investig Dermatol. 2019;12:791–98.
4. Safa M et al. Clin Cosmet Investig Dermatol. 2022;15:411–26.
5. Draelos Z. J Clin Aesthet Dermatol. 2012;5(7):53–56.
6. Nakab L et al. Plast Reconstr Surg Glob Open. 2020;8(3):e2723.
7. Draelos Z. J Clin Aesthet Dermatol. 2012;5(7):53–56.
8. Ogilvie P et al. J Cosmet Dermatol. 2020;19:1065–70.
9. Coimbra DD. Health Sci Rep. 2021;4(4):e399.
10. Humphrey S et al. Dermatol Surg. 2021;41:974–81.
11. Michalak et al. Nutrients. 2021; 13:203.
12. Goldie K et al. Clin Cosmet Investig Dermatol. 2021;14:643–54.