ขึ้นชื่อว่าสกินแคร์ ฟังยังไงมันก็ต้องดีต่อผิวอยู่แล้วจริงมะ
ถ้าใช้ให้ถูกกับสภาพผิว ไม่มีส่วนผสมอะไรที่เราแพ้
รับรองว่ามีแต่จะทำให้หน้าเราสวย สวย สวย และสวยขึ้นเท่านั้น ( สวยพี่สวย! )
และแน่นอนว่า
ปัญหาผิวที่สาวๆ มักให้ความสำคัญ และพยายามกำจัดทิ้ง
ส่วนใหญ่คงหนีไม่พ้น
เรื่องริ้วรอย และผิวหมองคล้ำ
ฉะนั้นถ้ามีอะไรพอจะช่วยได้ ก็อยากจะใช้
ยิ่งเห็นผลเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี
ซึ่งหลายคนก็ไปรู้มาว่า
เอ้อ ตัวนี้ช่วยเรื่องริ้วรอย เอ้อ ตัวนี้ช่วยเรื่องผิวใส งั้นก็เอามาใช้ด้วยกันเลยจะได้เห็นผลเร็วๆ
ตืดๆ !
( เสียงสัญญาณบอกว่าผิด )
ก็จริงอยู่ว่า ปกติเวลาเราใช้สกินแคร์ที่ละหลายๆ ตัวก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร ถ้าไม่แพ้
ซึ่งก็จริง แต่สกินแคร์บางตัวก็ใช่ว่าจะใช้ด้วยกันได้ไปซะหมดนี่นา ( ใช่มะ ไม่มีใครเคยบอกไว้นี่เน้อ ) ฉะนั้นจริงๆ แล้ว
สกินแคร์บางอย่าง ไม่สามารถใช้ด้วยกันได้ ถึงแม้ว่าตอนใช้เดี่ยวๆ จะดีแค่ไหน แต่ถ้าใช้ด้วยกันแล้วอาจทำหน้าคุณพังทันที
อย่ารอให้หน้าพัง รีบไปเช็ค
4 สกินแคร์ ที่ห้ามใช้คู่กันเด็ดขาด ไม่งั้นหน้าจะพังก่อนสวย จะซวยเอานะ!
ใช้ด้วยกันแล้วพัง! รวม 4 สกินแคร์ ห้ามเอามาใช้คู่กันเด็ดขาด!
1. RETINOL + AHAS/BHA
ถ้าใครเคยรู้มาว่าทั้งสองตัวนี้ล้วนเป็นประเภทสกินแคร์ที่ดีต่อเรื่องริ้วรอย คุณเข้าใจถูกต้องแล้ว เพราะAHAs ( glycolic and lactic acid ) และ BHA ( salicylic acid ) ต่างก็ทรงพลังในแง่ของการผลัดเซลล์ผิวทั้งคู่ส่วนRetinol ( วิตามินเอในอีกรูปแบบหนึ่ง ) ก็มีความสามารถในการทำให้การหมุนเวียนของเซลล์ผิวเป็นไปอย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น( ถ้าจะให้พูดตามศัพท์แสงทางวิทยาศาสตร์ก็คือ เร่งกระบวนการผลัดเซลล์ผิวธรรมชาติให้เร็วขึ้นนั่นแหละ )และเพราะเหตุผลนี้นี่แหละ เราจึงไม่ควรเอามาจับคู่กันเด็ดขาดส่วนผสมทั้งสองอย่างนี้ ต่างช่วยในเรื่องกำจัดเซลล์ผิวที่แก่แล้ว เซลล์ผิวที่หมองคล้ำ หรือเซลล์เสียหาย ให้ออกไปจากผิวของเรา และแทนที่ด้วยเซลล์ใหม่ที่สุขภาพดีกว่า และสดใสไฉไลกว่า
ซึ่งถ้าใช้ทีละอย่าง แน่นอนว่ามันให้ประโยชน์ตามนั้นแหละ
แต่ถ้าใช้ด้วยกันเมื่อไหร่ล่ะก็ ดูเหมือนจะช่วยทำให้ผิวเรากลายเป็นรอยแดง และระคายเคืองซะมากกว่า
เอ้อ!
แถมยังทำให้ผิวของเราไวต่อแดดมากขึ้นกว่าเดิมอีกต่างหากนะ
การจับคู่ของสองตัวนี้ ช่วยอธิบายข้อเสียของความโลภได้ดีเลยนะเนี่ย
วิธีแก้ไข :ใช้ทั้ง 2 ตัวนี้แยกกัน โดยอาจจะเว้นเวลากัน เว้นวันกัน หรือเว้นอาทิตย์ไปเลย
อย่างเช่นใช้กรดไกลโคลิก ในตอนเช้า แล้วใช้เรตินอลในตอนกลางคืน หรือจะใช้กรดไกลโคลิกในวันจันทร์ แล้ววันอังคารค่อยใช้เรตินอล แบบนี้ก็ได้เช่นกัน
2. RETINOL + BENZOYL PEROXIDE
เรตินอลเจ้าเก่ามาอีกแล้วก็ช่วยไม่ได้ อยากเป็นสกินแคร์ที่สาวๆ ต้องการทำไมล่ะเนอะ แต่คุณรู้รึเปล่าว่าจริงๆ แล้วเรตินอล ที่สาวๆ คลั่งไคล้กันนั้น นอกจากจะช่วยเรื่องริ้วรอยแล้ว ยังสามารถรักษาสิวได้เช่นกัน
ในขณะเดียวกันbenzoyl peroxide ก็มีความสามารถในการลอกผิว เพื่อทำให้รูขุมขนไม่อุดตัน เพื่อประโยชน์ในการฆ่าแบคทีเรียและนั่นแหละ ที่ทำให้สกินแคร์ตัวนี้สามารถรักษาสิวได้
แต่benzoyl peroxide ก็แรงด้วยตัวของมันเองอยู่แล้วและนั่นแหละที่เป็นสาเหตุที่เจ้าตัวนี้ควรใช้กับสิวเท่านั้น
แล้วคุณลองคิดดูสิว่าขนาด benzoyl peroxide ยังรุนแรงขนาดนั้น แล้วถ้าไปใช้คู่กับ Retinol จะรุนแรงขนาดไหน๊!?ผิวคุณจะลอกเป็นแผ่นๆ, ผิวเป็นรอยแดง และระคายเคืองด้วยนะต้องการผิวแบบนั้นจริงๆ เรอะ?
วิธีแก้ไข:
1.
เลือกเอาอันไหนสักอัน!
2. ถ้าคุณมีเพียงแค่สิวอันดื้อด้าน ก็เลือก
ใช้เพียงแค่ benzoyl peroxide ทาลงบนส่วนที่เป็นสิวอย่างเดียว ส่วนเรตินอล ก็ใช้ส่วนอื่นที่ไม่ใช่สิว
แต่ทางที่ดี
ลองใช้ตัวเลือกอื่นอย่างsalicylic acid or sulfur ไว้ปราบสิวก่อนน่าจะดีกว่า
3. RETINOL + VITAMIN C
เรตินอล และวิตามิน Cสำหรับผู้หญิงแล้ว น่าจะเป็นส่วนผสมตัวโปรดทั้งคู่ เพราะทั้ง 2 ตัวนี้ต่างก็ทรงพลังในการทำให้ผิวเราสวยขึ้นได้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะต่อต้านสารอนุมูลอิสระ, กระตุ้นกระบวนการสร้างคอลลาเจน ( ซึ่งดีต่อเรื่องริ้วรอยมาก ) และนอกจากนี้ยังช่วยทำให้ผิวใสสว่างขึ้นได้ด้วย
แต่ถึงแม้จะดีทั้งคู่ยังไง ก็ไม่ได้หมายความว่าจะดีถ้าใช้พร้อมกันทั้งคู่!
เรตินอลจะทำหน้าที่ได้ดีที่สุด ในระดับความเป็นกรดด่างที่ pH of 5.5-6 แต่ วิตามิน C ( วิตามินซีบริสุทธิ์ในรูปแบบl-ascorbic acid) ต้องการ pH ที่ 3.5 หรือต่ำกว่านั้น....เริ่มเห็นปัญหาแล้วอ๊ะยัง?
จริงๆ มันแค่เป็นอะไรที่ยาก หากจะหาโปรดักส์ตัวไหนที่สามารถมีค่า pH ที่ตรงกับที่สกินแคร์ทั้ง 2 ตัวนี้ต้องการแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าอยู่ด้วยกันแล้วจะไร้ประโยชน์ซะดีเดียวหรอกนะ( มีโปรดักส์ดีๆ หลายตัวที่มีส่วนผสมทั้ง 2 ตัวนี้ อยู่ในอันเดียว )คือก็ยังทำงานได้อยู่ แค่จะไม่ให้ผลดีที่สุด ตามที่ประสิทธิภาพของทั้ง 2 ตัวนี้ควรจะเป็น
วิธีแก้ไข :
1.
ใช้เรตินอล และวิตามิน C ในคนละช่วงเวลา / คนละวัน / คนละอาทิตย์
2.
เลือกโปรดักส์ที่ให้เวลาในการออกฤทธิ์สารทั้ง 2 ตัวนี้ให้รอบคอบ
ถ้าจะให้ง่ายๆ เลยก็คือ เ
รตินอลอาจจะมาในรูปแบบแคปซูล ซึ่งจะค่อยๆ ออกฤทธิ์กับผิวอย่างช้าๆ กินเวลาหลายชั่วโมง ในขณะที่วิตามิน C จะส่งตรงถึงผิวในคราวเดียว
ซึ่งในขณะที่วิตามินถูกซึมไปแล้ว เรตินอลก็ยังคงทำการผลักเข้าสู่ผิวอยู่นั่นเอง
3.
ใช้วิตามิน C ชนิดอื่นเป็นทางเลือก
อย่างเช่น
Magnesium Ascorbyl Phosphate ที่จะมีค่า pH อยู่ที่ 7-8.5 ซึ่งจะเข้าคู่กับเรตินอลได้ดีกว่า โดยไม่ลดทอนประสิทธิภาพ
4. NIACINAMIDE + VITAMIN C
อันนี้สาวๆ ส่วนใหญ่ที่เคยลองใช้แล้ว อาจจะพบกับปัญหาด้วยตัวเองแล้วก็เป็นได้อย่างแรกเลยNiacinamide หรือวิตามิน B3 เมื่อผสมกับ วิตามิน C จะทำให้วิตามิน C กลายเป็นสีเหลือง ซึ่งทำให้ไร้ประสิทธิภาพและสาวๆ อาจจะไม่กล้าใช้ตั้งแต่มันเปลี่ยนเป็นสีเหลืองแล้วก็เป็นได้อย่างที่สองเมื่อผสม Niacinamide กับ วิตามิน C ก็จะทำให้กลายเป็น Niacin สสารที่ทำให้ผิวเกิดอาการชาได้ชั่วคราว ในรายที่มีผิวไหม้ หรือผื่นแดงอยู่แล้วฉะนั้นใครที่มีผื่นแดง อย่าได้ใช้ทั้ง 2 ตัวนี้พร้อมกันเชียวนะจ๊ะ แต่เดี๋ยวเรามีวิธีใช้ดีๆ ด้านล่างวิธีแก้ไข :1. ถ้าจำเป็นต้องใช้ทั้งคู่ให้ทิ้งระยะห่างสัก 30 นาที จึงค่อยทาอีกตัวหนึ่ง2. แต่ในกรณีที่ต้องใช้ตอนเช้า แล้วไม่มีเวลารอ 30 นาทีก็ใช้คนละเวลา / คนละวัน / คนละอาทิตย์ไปเลยก็ได้
ถึงแม้ว่าสกินแคร์จะดีต่อผิวเราก็จริง แต่ถ้าใช้ผิดวิธีก็หน้าพัง
ขึ้นมาไม่ทันตั้งตัวเลยนะเนี่ย ถ้าอยากมีผิวดี แนะนำให้ค่อยๆ ใช้สกินแคร์อย่างระมัดระวัง
ถ้าจะใช้แบบแรงๆ เพื่อรักษา แก้ปัญหาผิวหน้าแบบทั้ง 4 ข้อนี้ ใช้อย่างค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปดีกว่า ถึงจะช้า แต่ผิวก็ออกมาสวยแน่นอนเนอะ
Cr. THE SKINCARE INGREDIENTS YOU SHOULD NEVER USE TOGETHER?
http://www.beautifulwithbrains.com/skincare-ingredients-shouldnt-match/